สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3 ปี 2558 (กรกฎาคม - กันยายน 2558)(เศรษฐกิจไทย)

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday November 19, 2015 16:36 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ส่วนของเศรษฐกิจไทยในปี 2558 ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศหรือ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 ขยายตัวร้อยละ 2.8 ชะลอตัวลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 ที่ขยายตัวร้อยละ 3.0 แต่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.9 โดยปัจจัยที่ทำให้ชะลอตัวจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 คือการหดตัวต่อเนื่องของการผลิตในภาคเกษตรโดยเฉพาะหมวดพืชผลขณะที่ภาคนอกเกษตรชะลอลง เนื่องจากสาขาอุตสาหกรรมที่หดตัวประกอบกับสาขาก่อสร้างชะลอลง ส่วนภาคบริการต่างๆ ยังคงขยายตัว

ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 หดตัวร้อยละ 0.7 หดตัวจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2558 ที่ขยายตัวร้อยละ 2.3 และทรงตัวจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2557 ที่หดตัวร้อยละ 0.7 เช่นกัน โดยเป็นผลมาจากการส่งออกลดลง และความต้องการในประเทศขยายตัวต่ำ โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ลดลงประกอบด้วย อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ ยานยนต์ สิ่งทอ และเสื้อผ้าสำเร็จรูป

สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2558 จะขยายตัวร้อยละ 2.7-3.2 จากปี 2557 ที่ขยายตัวร้อยละ 0.9

สำหรับตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 พบว่า บางตัวมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงไตรมาสเดียวกันของปี 2557 เช่นดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมและอัตราการใช้กำลังการผลิตโดยอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ ยานยนต์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น ส่วนอุตสาหกรรมที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 ได้แก่ Hard Disk Drive โทรทัสน์สี อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น ส่วนมูลค่าการส่งออกในภาพรวมหดตัวร้อยละ 4.98 (ม.ค.-ก.ย.58) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น

ในส่วนของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 ส่วนการลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2557 สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2557

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production lndex : MPl) (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 156.6 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (153.3) ร้อยละ 2.2 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (166.8) ร้อยละ 6.1

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ ยานยนต์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป เครื่องประดับเพชรพลอย ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 ได้แก่ Hard Disk Drive โทรทัสน์สี อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เสื้อผ้าสำเร็จรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2557 ร้อยละ 4.4 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ Hard Disk Drive โทรทัศน์สี เครื่องประดับเพชรพลอย อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็นต้น

ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment lndex) แสดงทิศทางของระดับการจำหน่ายสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 174.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (163.2) ร้อยละ 6.6 แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (180.60) ร้อยละ 3.7

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ยานยนต์ น้ำตาล Hard Disk Drive ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม เม็ดพลาสติก เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 ได้แก่ Hard Disk Drive โทรทัศน์สี อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์เหล็ก เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ดัชนีการส่งสินค้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2557 ร้อยละ 4.3 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าลดลง ได้แก่ Hard Disk Drive โทรทัศน์สี อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์เหล็ก เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพื่อไม่ให้สินค้าขาดแคลน (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 184.1 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (184.7) ร้อยละ 0.3 และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (194.9) ร้อยละ 5.5

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่น้ำตาล ยานยนต์ การผลิตยางนอกและยางใน เบียร์ เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 ได้แก่ Hard Disk Drive อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์เหล็ก โทรทัศน์สี เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2557 ร้อยละ 8.2 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีลดลง ได้แก่ อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ยานยนต์ Hard Disk Drive เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เบียร์ เป็นต้น

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตเต็มที่ (ตารางที่ 1) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับร้อยละ 58.5 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 55.6) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (ร้อยละ 60.5)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ ยานยนต์ อาหารสัตว์สำเร็จรูป ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ผลิตภัณฑ์ทางเภสัชกรรม เป็นต้น

สำหรับอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 ได้แก่ Hard Disk Drive โทรทัศน์สี อาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง ผลิตภัณฑ์เหล็ก เส้นใยสิ่งทอ เป็นต้น

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยอุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงได้แก่ โทรทัศน์สี Hard Disk Drive เส้นใย สิ่งทอ ผลิตภัณฑ์เหล็ก ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเฉลี่ยรวมมีค่า 72.6 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (75.5) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (79.2) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสการหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ทั้ง 3 ดัชนีปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2557 นอกจากนี้เมื่อพิจารณาดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมเป็นรายเดือน จะเห็นว่า ดัชนีในเดือนกันยายน 2558 ปรับตัวลดลงทุกรายการ เนื่องจากผู้บริโภคมีความวิตกกังวลต่อความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกการส่งออกที่ยังไม่ฟื้นตัวขึ้นรวมทั้งราคาสินค้าเกษตรที่ยังทรงตัวต่ำอย่างไรก็ตาม คาดว่าการฟื้นตัวของการบริโภคน่าจะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้นหลังจากเม็ดเงินจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลเข้าไปหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากขึ้นตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2558 เป็นต้นไป

เมื่อแยกพิจารณาในแต่ละดัชนี พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวมไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 มีค่า 61.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (64.9) และยังอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภควิตกกังวล

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 มีค่า 67.8 ลดลงจากไตรมาสผ่านมา (70.3) และยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวการณ์จ้างงานโดยรวมยังไม่ดีมากนักซึ่งสอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ยังปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 มีค่า 88.1 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (91.4) และอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่าผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจในรายได้ในอนาคตของตนแต่ระดับความมั่นยังคงสูงกว่าความเชื่อมั่นต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมและโอกาสหางานทา

จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 มีค่าเท่ากับ 46.7 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (48.2) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (49.2) โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ดัชนีโดยรวมมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่า ความเชื่อมั่นทางธุรกิจไม่ดี ผู้ประกอบการมองว่าภาวการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตมีแนวโน้มที่ไม่ดีสำหรับดัชนีที่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2557 คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมดของบริษัท การลงทุนของบริษัท การจ้างงานของบริษัท และการผลิตของบริษัท

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ดัชนีโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ การลงทุนของบริษัท

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (Thai Industries Sentiment Index : TISI)

จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 4) พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 82.7 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (85.2) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (88.2) การที่ค่าดัชนีอยู่ระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมมีความเชื่อมั่นต่อการประกอบการในระดับที่ไม่ดี นอกจากนี้เดือนกันยายน 2558 ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 82.8 จากระดับ 82.4 ในเดือนสิงหาคม 2558 เป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน โดยค่าดัชนีที่ปรับเพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นขององค์ประกอบดัชนีด้านยอดคำสั่งซื้อโดยรวม ยอดขายโดยรวม ปริมาณการผลิต ต้นทุนประกอบการ และผลประกอบการ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2558 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือ การที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นเพื่อจำหน่ายในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โดยเฉพาะคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต่างขยายตลาดและการลงทุนไปยังกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่องประกอบกับการอ่อนค่าของเงินบาทเป็นปัจจัยบวกต่อภาคการส่งออกในเดือนนี้ซึ่งผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ ได้แก่ขอให้ภาครัฐเร่งการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะงบลงทุนในโครงการที่รัฐบาลได้อนุมัติไปแล้วกำหนดแผนปฏิบัติงานให้เป็นรูปธรรมและเป็นไปตามนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเร่งเจรจาการค้ากับประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจเพื่อขยายตลาดและลดอุปสรรคทางการค้าระหว่างกัน รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชนหรือรูปแบบ PPP (Public-Private Partnership) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ

ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic lndex : LEl) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้าปรากฏว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนกันยายน 2558 อยู่ที่ระดับ 153.8 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.6 จากเดือนสิงหาคม 2558 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 152.8 ตามการเพิ่มขึ้นของเงินทุนจดทะเบียนนิติบุคคลจัดตั้งใหม่ พื้นที่รับอนุญาตก่อสร้างในเขตเทศบาล ปริมาณเงินตามความหมายกว้าง ณ ราคาคงที่ ปี 2543 และดัชนีส่วนกลับราคาน้ำมัน

สำหรับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 มีค่าเฉลี่ย 153.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 151.4

ดัชนีพ้องเศรษฐกิจ

ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทาโดยธนาคารแห่งประเทศไทยปรากฏว่าในเดือนกันยายน 2558 อยู่ที่ระดับ 127.93 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนสิงหาคม 2558 ร้อยละ 0.05 ที่ระดับ 127.86 ตามการเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรม และภาษีมูลค่าเพิ่ม ณ ราคาคงที่ ปี 2543

สำหรับดัชนีพ้องเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 มีค่าเฉลี่ย 127.3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 จากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่าเฉลี่ย 125.3

การใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภค

ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 5) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 มีค่า 111.9 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา (111.6) แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (113.1) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ปริมาณการกระแสไฟฟ้าในกิจการขนาดใหญ่ ปริมาณการจำหน่ายน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ และปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 ดัชนีการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมเฉลี่ยร้อยละ 111.2 ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลง คือ ปริมาณการจำหน่ายโซดาและน้ำดื่มบริสุทธิ์ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ทั้งรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์ และจำนวนผู้ประกันตนภาคบังคับ

การลงทุนภาคเอกชน

การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาจากปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ และการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ พบว่า ไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมมีค่า 118.5 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ระดับ 118.2 และไตรมาสเดียวกันของปี 2557 ที่ระดับ 117

หากแยกตามรายการสินค้า พบว่า ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2557

ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เชิงพาณิชย์ในประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557

ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557

การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557

ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2558 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2557 ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่

ภาวะราคาสินค้า

จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค และดัชนีราคาผู้ผลิต โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ พบว่าไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ดัชนีราคาผู้บริโภคมีค่าเท่ากับ 106.4 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา (106.5) และไตรมาสเดียวกันของ ปี 2557 (107.6) การที่ราคาผู้บริโภคปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา เป็นผลจากการลดลงของราคาหมวดอาหารและเครื่องดื่มตามราคาแป้งและผลิตภัณฑ์จากแป้ง ผักสด นมและผลิตภัณฑ์นม รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของกลุ่มอาหารสดและพลังงาน

ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 มีค่าเท่ากับ 102.5 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (103.6) และไตรมาสเดียวกันของปี 2557 (106.5) โดยราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมและผลิตภัณฑ์จากเหมืองลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2557 ส่วนราคาในหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2557

แรงงานในภาคอุตสาหกรรม

จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สามของปี 2558 (ข้อมูลเดือนกันยายน 2558) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.65 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 38.32 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 99.14 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.3 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงานร้อยละ 0.78)

สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่สามของปี 2558 มีจำนวน 6.237 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 16.28 ของผู้มีงานทำทั้งหมด

การค้าต่างประเทศ

มูลค่าการค้าต่างประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนกลับมาขยายตัวเล็กน้อยและเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมูลค่าการค้ายังคงลดลงเนื่องจากสถานการร์เศรษฐกิจโลกซึ่งเศรษฐกิจของหลายประเทศที่เป็นคู่ค้าสำคัญของไทยอยู่ในภาวะชะลอตัวส่งผลให้ทั้งการส่งออกและการนำเข้ามีมูลค่าลดลง สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 3 นี้เกินดุลการค้าเป็นมูลค่า 4,285.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

สถานการณ์การค้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหดตัวลง เนื่องจากทั้งการส่งออกและการนำเข้ามีมูลค่าลดลง โดยการส่งออกใน ไตรมาสที่ 3 นี้มีมูลค่าลดลงร้อยละ 5.26 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสำหรับการนำเข้ามีมูลค่าลดลงร้อยละ 15.27 โดยการค้าต่างประเทศของไทยในไตรมาสที่ 3 มีมูลค่าทั้งสิ้น 105,129.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 54,707.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 50,421.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสที่ 2 ของปี 2558 นั้น มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.27 สำหรับมูลค่าการนำเข้ายังคงลดลงต่อเนื่องที่ระดับร้อยละ 1.99 สำหรับดุลการค้าในไตรมาสที่ 3 นี้ อยู่ในสภาวะเกินดุลการค้าโดยมีมูลค่า 4,285.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามูลค่าการส่งออกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนยังคงลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกของเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า 18,222.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 3.56 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ต่อมาในเดือนสิงหาคมการส่งออกมีมูลค่า 17,669.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ลดลงร้อยละ 6.69 และการส่งออกในเดือนกันยายนมีมูลค่าลดลงร้อยละ 5.51 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าการส่งออก 18,815.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โครงสร้างการส่งออก

การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ประกอบด้วยสินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 43,214.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็น ร้อยละ 78.99) ซึ่งเป็นหมวดสินค้าที่มีการส่งออกมากที่สุด รองลงมาคือสินค้าเกษตรกรรม 4,957.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 9.06) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร 4,227.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.73) และสินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออก 2,309.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.22)

เมื่อเปรียบเทียบมูลค่าการส่งออกในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จะพบว่าการส่งออกในหมวดสินค้าสำคัญทุกหมวดมีมูลค่าลดลง โดยสินค้าอุตสาหกรรมการเกษตรมีมูลค่าลดลงร้อยละ 1.95 สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 2.56 สินค้าเกษตรกรรมมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 11.14 และสินค้าแร่ และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 34.07 ซึ่งเป็นผลมาจากราคาเชื้อเพลิงในตลาดโลกยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่าปีก่อน

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 3 มีมูลค่าลดลงร้อยละ 2.56 เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม 10 รายการหลัก ได้แก่ สินค้าเครื่องอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออก 8,332.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 19.28 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม) ยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 8,207.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 18.99) เครื่องใช้ไฟฟ้า 5,498.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 12.72) อัญมณีและเครื่องประดับ 3,267.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.56) เม็ดพลาสติก 2,138.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.95) สิ่งทอ 1,733.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.01) เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่อง 1,700.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.94) ผลิตภัณฑ์ยาง 1,658.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.01) เคมีภัณฑ์ 1,526.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.84) และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์มีมูลค่าการส่งออก 1,298.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.00) โดยมูลค่าการส่งออกทั้ง 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 35,362.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 81.83 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมทั้งหมด

ตลาดส่งออก

การส่งออกไปยังตลาดหลักในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 ซึ่งได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็น ร้อยละ 66.78 ของการส่งออกทั้งหมด โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกไปยังตลาดหลักส่วนใหญ่มีมูลค่าลดลง ยกเว้นการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาที่ยังคงมีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.19 สำหรับการส่งออกไปยังประเทศจีนกลับมาหดตัวลงร้อยละ 1.00 การส่งออกไปยังสหภาพยุโรปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 3.72 การส่งออกไปยังญี่ปุ่น และกลุ่มประเทศอาเซียนมีมูลค่าลดลงร้อยละ 7.79 และ 10.60 ตามลำดับ

โครงสร้างการนำเข้า

การนำเข้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 เป็นการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ซึ่งมีมูลค่าการนำเข้า 20,022.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 39.71) รองลงมาเป็นการนำเข้าสินค้าทุน โดยมีมูลค่า 14,058.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 27.88) สินค้าเชื้อเพลิง 7,488.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 14.85) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,482.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.87) สินค้าหมวดยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง 3,317.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.58) และสินค้าอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่นๆ 52.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.10) ตามลำดับ

โดยมูลค่าการนำเข้าในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พบว่าการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้ายานพาหนะ และอุปกรณ์ขนส่งเป็นเพียงสินค้าหมวดเดียวที่ยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.27 สำหรับการนำเข้าสินค้าในหมวดสินค้าอุปโภคบริโภคมีมูลค่าลดลงเล็กน้อยที่ระดับร้อยละ 0.75 การนำเข้าสินค้าหมวดอาวุธ ยุทธปัจจัย และสินค้าอื่นๆ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 3.64 การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 10.71 การนำเข้าสินค้าทุน และสินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่าลดลงร้อยละ 13.87 และ 39.26 ตามลำดับ

แหล่งนำเข้า

ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 แหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน (9 ประเทศ) ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา ซึ่งมีสัดส่วนนำเข้ารวมคิดเป็นร้อยละ 49.81 เมื่อพิจารณามูลค่าการนำเข้าเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการนำเข้าสินค้าจากทุกแหล่งนำเข้าสำคัญมีมูลค่าลดลง โดยในไตรมาสที่ 3 นี้ มูลค่าการนำเข้าสินค้าจากกลุ่มประเทศในอาเซียนลดลงร้อยละ 6.31 การนำเข้าสินค้าจากสหภาพยุโรปมีมูลค่าลดลงร้อยละ 9.15 การนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นมีมูลค่าลดลงร้อยละ 13.39 และการนำเข้าสินค้าจากสหรัฐอเมริกามีมูลค่าลดลงร้อยละ 23.30

การลงทุนจากต่างประเทศ

การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทยการลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมมีมูลค่ารวม48,294.5 ล้านบาท ซึ่งการลงทุนโดยตรงสุทธิในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่า 33,418.0 ล้านบาท สำหรับเดือนสิงหาคมมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 14,876.5 ล้านบาท เมื่อพิจารณาการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมตลอดทั้ง 2 เดือนแรกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 นั้นพบว่ามูลค่าการลงทุนในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 8,266.6 ล้านบาทและในเดือนสิงหาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 7,787.5 ล้านบาทโดยการลงทุนรวมในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของสาขาอุตสาหกรรมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 16,054.0 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 20.33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 20,149.5 ล้านบาท

ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 การลงทุนในกิจกรรมการผลิตหรือสาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 16,054.0 ล้านบาท โดยเป็นการลงทุนในอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์รถพ่วง และรถกึ่งพ่วงมากที่สุดซึ่งมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 7,380.6 ล้านบาท รองลงมาคือการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทัศนศาสตร์มีมูลค่าลงทุนสุทธิ 6,386.9 ล้านบาท การผลิตเคมีภัณฑ์มีมูลค่าลงทุนสุทธิ 4,690.4 ล้านบาท การผลิตยาง และพลาสติกมีมูลค่าลงทุนสุทธิ 2,379.2 ล้านบาท และการผลิตเครื่องดื่มเป็นมูลค่าสุทธิ 2,055.4 ล้านบาท

ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม 2558 คือประเทศญี่ปุ่นซึ่งมีเงินลงทุนสุทธิ 18,190.2 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศสิงคโปร์และประเทศจีนโดยมีมูลค่าเงินลงทุนสุทธิ 9,021.2 ล้านบาท และ 7,199.8 ล้านบาท ตามลำดับ

สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2558 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 515 โครงการ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวนโครงการ 452 โครงการ การลงทุนในกิจการต่างๆ มีมูลค่าเงินลงทุนทั้งสิ้น 252,940 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการลงทุน 243,240 ล้านบาท โดยโครงการลงทุนในไตรมาสที่ 3 ปี 2558 ประกอบด้วยโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 176 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 52,420 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 123 โครงการ เป็นเงินลงทุน 136,170 ล้านบาท และโครงการที่ลงทุนจากไทย 100% จำนวน 216 โครงการ เป็นเงินลงทุน 64,350 ล้านบาท

เมื่อพิจารณาตามหมวดของการเข้ามาลงทุนพบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนที่มีเงินลงทุนมากที่สุด คือ หมวดกิจการบริการ และสาธารณูปโภคมีเงินลงทุน 89,480 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดการผลิตเคมีภัณฑ์ พลาสติก และกระดาษมีเงินลงทุน 61,860 ล้านบาท และหมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักร และอุปกรณ์ขนส่งมีเงินลงทุน 38,610 ล้านบาท

สำหรับแหล่งทุนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2558 พบว่านักลงทุนจากประเทศหลักที่มีมูลค่าการลงทุนมากที่สุดคือ ประเทศญี่ปุ่นโดยได้รับการอนุมัติส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 97 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 29,708 ล้านบาท รองลงมาคือประเทศสิงคโปร์ได้รับการอนุมัติลงทุนจำนวน 34 โครงการ มีเงินลงทุน 19,526 ล้านบาท ประเทศมาเลเซียมีจำนวน 8 โครงการที่ได้รับอนุมัติซึ่งมีเงินลงทุน 19,193 ล้านบาท และประเทศจีนมีจำนวนโครงการได้รับอนุมัติ 24 โครงการ โดยคิดเป็นเงินลงทุน 18,054 ล้านบาท

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ