ภาคอุตสาหกรรมปิโตรเคมีของไทยได้เปิดดำเนินการโรงงานผลิต Polyether polyols กำลังการผลิต 200,000 ตัน/ปี เพื่อใช้ในโครงสร้างสาธารณูปโภค การขนส่งและงานก่อสร้าง
การเปิดดำเนินการโรงงานผลิตโซเดียมไบคาร์บอเนตกำลังการผลิต 100,000 ตัน/ปี เพื่อตอบสนองการขยายตัวของอุปสงค์ในตลาดผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ อาหาร และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะในตลาดทวีปยุโรป
โครงการ Upstream Project for Hygiene & Value-Added Product (UHV) เป็นการปรับแผนการผลิตเพื่อมุ่งสู่การผลิตสินค้าปิโตรเคมีเกรดพิเศษ ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในช่วงปลายปี 2558 โดยโพรพิลีนที่ผลิตได้จากโครงการจะใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับโครงการขยายกำลังการผลิต PP เพิ่มขึ้นอีก 300,000 ตัน/ปี (PP 160,000 ตัน/ปี และคอมพาวด์ของ PP 140,000 ตัน/ปี) โดยโครงการส่วนขยายนี้มีกำหนดเสร็จในปี 2560
โครงการร่วมทุนกับประเทศญี่ปุ่นเพื่อก่อสร้างโรงงานผลิตพอลิยูริเทน(PU) ในไทยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ร่วมกันซึ่งผลการศึกษาจะนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจลงทุนขั้นสุดท้ายในปี 2559 หากโครงการแล้วเสร็จจะทำให้มีกำลังการผลิตโพรพิลีนออกไซด์ (PO) และพอลิอีเทอร์พอลิออล200,000 และ 130,000 ตัน/ปี ตามลำดับ ทั้งนี้ พอลิออลจะใช้เป็นวัตถุดิบหลักสำหรับการผลิตโฟม PU ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ เฟอร์นิเจอร์ เครื่องนอน ก่อสร้าง เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
การค้าระหว่างประเทศ
การส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไตรมาสที่ 3 ปี 2558 ทั้งระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำมีมูลค่ารวม1,746.97 ล้านเหรียญสหรัฐฯมีอัตราการขยายตัวโดยรวมลดลงร้อยละ 28.75 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนและลดลงร้อยละ 8.70 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2558 โดยผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นขั้นกลาง และขั้นปลายมีการส่งออกลดลงร้อยละ 46.99, 51.06 และ 19.11 ตามลำดับเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับการส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีช่วง 9 เดือนของปี 2558 ทั้งระดับต้นน้ำ กลาง น้ำ และปลายน้ำมีมูลค่ารวม 5,536.32 ล้านเหรียญสหรัฐฯมีอัตราการขยายตัวโดยรวมลดลงร้อยละ 21.74 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีไตรมาสที่ 3ปี 2558 ทั้งระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีมูลค่ารวม743.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯมีอัตราการขยายตัวโดยรวมลดลงร้อยละ 19.50 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนแต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.02 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ปี 2558 โดยผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้น ขั้นกลาง และขั้นปลาย มีการนำเข้าลดลงร้อยละ 47.49 , 3.04 และ 18.48 ตามลำดับเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
สำหรับการนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีช่วง 9 เดือนของปี 2558 ทั้งระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำมีมูลค่ารวม2,241.89 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการขยายตัวโดยรวมลดลงร้อยละ 11.55 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ราคาเอธิลีนในตลาดเอเชียในไตรมาสที่ 3ปี 2558 ราคาเฉลี่ยตลอดไตรมาสอยู่ที่ 30.72 บาทต่อกิโลกรัม และราคาโพรพิลีนเฉลี่ยตลอดไตรมาสอยู่ที่ 28.80 บาทต่อกิโลกรัม โดยราคาของผลิตภัณฑ์เอธิลีนและโพรพิลีนมีแนวโน้มปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า
ในช่วงไตรมาส 3ปี 2558 ราคาเม็ดพลาสติก (ราคาเฉลี่ย SE Asia CFR) LDPE, HDPE, และ PP เฉลี่ยอยู่ที่ระดับ44.79, 43.82 และ 39.98 บาท/กิโลกรัมตามลำดับ ทั้งนี้ LDPE, HDPE และ PP มีระดับราคาเฉลี่ยลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา
สรุปและแนวโน้ม
อุตสาหกรรมปิโตรเคมีไตรมาสที่ 3 ปี 2558 มีอัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าและส่งออกที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าเกิดจากการขยายกำลังการผลิตของผู้ผลิตในต่างประเทศทำให้ลดการพึ่งพิงจากต่างประเทศลงโดยเฉพาะประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก ได้เริ่มทยอยเปิดดำเนินการโครงการในประเทศทำให้ลดการพึ่งพิงการนำเข้าผลิตภัณฑ์จากไทยลงอย่างไรก็ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความเปราะบางโดยเฉพาะเศรษฐกิจในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา และจีน ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อุตสาหกรรมต้องติดตามอย่างใกล้ชิด
แนวโน้มการขยายตัวของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีไทยทั้งปี 2558 คาดว่าอัตราการขยายตัวจะลดลงเมื่อเทียบกับปี 2557 ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญน่าจะมาจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศและประเทศที่เป็นตลาดส่งออกหลักของไทยได้แก่ ประเทศจีน และประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการขยายตัวลดลงอย่างไรก็ตาม สภาวะทางเศรษฐกิจของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริการวมทั้งภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่อุตสาหกรรมต้องติดตาม ดังนั้นผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อม โดยการวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศและภาวะเศรษฐกิจโลก และลดความเสี่ยงโดยการพัฒนาไปสู่การผลิตสินค้าปิโตรเคมีเกรดพิเศษเพิ่มมากขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--