ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม เดือนมีนาคม 2559 กลับมาขยายตัวเป็นบวกร้อยละ 1.83 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์และชิ้นส่วน เคมีภัณฑ์ เครื่องประดับ และเครื่องปรับอากาศ
อุตสาหกรรมรถยนต์ เดือนมีนาคม 2559 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 เนื่องจากมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้นประกอบกับผู้ประกอบการบางรายเร่งการผลิตรถยนต์กระบะ 1 ตันเพื่อรองรับวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์เดือนมีนาคม 2559 ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องโดยมีปริมาณการผลิตและจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการขยายตัวที่ดีของเศรษฐกิจและภาคก่อสร้างในประเทศซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐรวมถึงการเร่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
การเปิดปิดโรงงานเดือนมีนาคม 2559 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 378 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ร้อยละ 47.7 มียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.28 แต่มีจำนวนการจ้างงานลดลงร้อยละ 6.5 โดยอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวลมีจำนวน 5 โรงจำนวนเงินทุน 8,180 ล้านบาท และจำนวนคนงาน 99 คน เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2558 ร้อยละ 5.9 สำหรับโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมีจำนวน 209 รายน้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ร้อยละ 1.4 แต่มากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 54.8
การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย ในเดือนมีนาคม 2559 การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องยนต์ เพลาส่งกำลังและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว รวมถึงเครื่องจักรใช้ในการแปรรูปโลหะและส่วนประกอบที่ลดลง
ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า 5,971.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าด้ายและเส้นใย เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ รวมถึงอุปกรณ์ส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ลดลง
การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิต ในเดือนมีนาคม 2559 มีปริมาณทั้งหมดจำนวน 10,807.2 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ร้อยละ 15.7 (9,341.4 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) และร้อยละ 4.0 จากช่วงเดียวกันของปี 2558 (10,391.1 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง) หากแยกการใช้ไฟฟ้าตามขนาดของกิจการ พบว่า ทุกกิจการของปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา และช่วงเดียวกันของปี 2558
การผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยเมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวร้อยละ 1.8 อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลด้านบวกต่อดัชนี เช่น ส่วนประกอบยานยนต์ รถยนต์ เครื่องสำอาง เครื่องประดับเพชรพลอย เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น
ขณะที่การผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศไต้หวันหดตัวต่อเนื่องร้อยละ 4.2
การผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศเกาหลีใต้หดตัวร้อยละ 1.5
สำหรับข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประจำเดือนมีนาคม 2559 ยังไม่มีการเผยแพร่ แต่ยังมีแนวโน้มขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้า โดยในเดือนกุมภาพันธ์ 2559 การผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ขยายตัวร้อยละ 4.5 และ 2.9 ตามลำดับ
ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2559 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 378 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 256 ราย หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 47.7 มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 22,729 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งมีการลงทุน 21,589 ล้านบาท ร้อยละ 5.28 แต่มีการจ้างงานจำนวน 9,060 คน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 9,686 คน ร้อยละ 6.5
ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2559 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการมากกว่าเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 357 ราย หรือคิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 5.9 มียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการลงทุน 21,894 ล้านบาท ร้อยละ 3.8 แต่มีการจ้างงานรวมลดลงจากเดือนมีนาคม 2558 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 10,039 คน ร้อยละ 9.8
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2559 คือ อุตสาหกรรมขุดดินสำหรับใช้ในการก่อสร้าง จำนวน 47 โรงงาน รองลงมา คืออุตสาหกรรม ซ่อมรถยนต์ พ่นสีรถยนต์ จำนวน 32 โรงงาน
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนมีนาคม 2559 คือ อุตสาหกรรมผลิตและจำหน่ายพลังงานไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล จำนวนเงินทุน 8,180 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตแผ่นใยไม้อัดความหนาแน่นปานกลาง จำนวนเงินทุน 1,154 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนมีนาคม 2559 คือ อุตสาหกรรม ผลิตกุ้งแช่แข็ง แปรรูปสัตว์น้ำ การถนอมเนื้อสัตว์น้ำ แช่แข็ง จำนวนคนงาน 740 คน รองลงมา คือ อุตสาหกรรม ซ่อมรถยนต์ พ่นสีรถยนต์ จำนวนคนงาน 519 คน
ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2559 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2559 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 209 ราย น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 212 ราย คิดเป็นร้อยละ 1.4 แต่มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม 3,371 ล้านบาท มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 3,102 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงาน จำนวน 5,891 คน มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งมีการเลิกจ้างงานจำนวน 5,022 คน
ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2559 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 135 ราย คิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 54.8 มีเงินทุนของการเลิกกิจการมากกว่าเดือนมีนาคม 2558 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 1,432 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงานมากกว่าเดือนมีนาคม 2558 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 3,969 คน
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2559 คือ อุตสาหกรรม ซ่อมรถยนต์ พ่นสีรถยนต์ จำนวน 24 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมขุดดินสำหรับใช้ในการก่อสร้าง จำนวน 16 โรงงาน
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนมีนาคม 2559 คือ อุตสาหกรรมซ่อมรถยนต์ พ่นสีรถยนต์ เงินทุน 674 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า เงินทุน 632 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนมีนาคม 2559 คือ อุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์ จำนวนคนงาน 2,331 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมถักผ้า ผ้าลูกไม้ เครื่องนุ่งห่มด้วยด้ายหรือเส้นใย จำนวนคนงาน 615 คน
ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากวัตถุดิบออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ส่วนมูลค่าการส่งออกหดตัวเล็กน้อยจากการชะลอคำสั่งซื้อของประเทศผู้นำเข้า จากเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัวระดับราคาสินค้าในตลาดโลกปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันและมีผลผลิตส่วนเกินออกสู่ตลาดมาก ประกอบกับการทำประมงไทยเข้าข่ายการทำประมงผิดกฎหมายของสหภาพยุโรปและการยกเลิกสัมปทานน่านน้ำของประเทศอินโดนีเซีย
ภาวะการผลิตกลุ่มสินค้าอาหารสำคัญ (ไม่รวมน้ำตาล) เดือนมีนาคม 2559 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.1 แบ่งเป็น
1) กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดส่งออก สินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น แป้งมันสำปะหลัง สับปะรดกระป๋อง และไก่สดแช่เย็นแช่แข็งการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.8 11.4 และ 2.8 ตามลำดับ เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบเพิ่มขึ้น
2) กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดภายในประเทศ แบ่งเป็นสินค้าที่ใช้วัตถุดิบในประเทศ เช่น น้ำมันปาล์ม การผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4 ส่วนสินค้าที่ใช้วัตถุดิบนำเข้า คือ น้ำมัน ถั่วเหลืองการผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.2
1) ตลาดในประเทศปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารและเกษตรในประเทศ(ไม่รวมน้ำตาล)เดือนมีนาคม 2559 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.9 และความต้องการอาหารสัตว์โดยเฉพาะอาหารเลี้ยงไก่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.7
2) ตลาดต่างประเทศ ภาพรวมมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) เดือนมีนาคม 2559 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 0.1 สินค้าที่ปรับตัวลดลง เช่น ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ทูน่ากระป๋อง ผลิตภัณฑ์ข้าว และ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งปรับตัวลดลงร้อยละ 12.6 7.6 6.3 และ 0.5 ตามลำดับ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว และระดับราคาสินค้าในตลาดโลกปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมัน รวมทั้งมีผลผลิตส่วนเกินออกสู่ตลาดมาก อย่างไรก็ตาม ยังขาดแคลนวัตถุดิบในอุตสาหกรรมประมง ประกอบกับการประกาศแจ้งเตือนการทำประมงของไทยเข้าข่ายการทำประมงผิดกฎหมายของสหภาพยุโรป การยกเลิกสัมปทานน่านน้ำของประเทศอินโดนีเซีย และการปฏิบัติตามกฎหมายประมงฉบับใหม่ ทำให้เรือประมงบางส่วนต้องหยุดทำประมง อย่างไรก็ดี มีบางสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง สับปะรดกระป๋อง ข้าวโพดหวานกระป๋อง บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป และไก่แปรรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 50.6 32.1 20.1 10.6 และ 4.7 ตามลำดับ จากคำสั่งซื้อในต่างประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับมูลค่าการส่งออกน้ำตาลปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.0 จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในประเทศกลุ่มอาเซียน
การผลิตและการส่งออกในภาพรวมคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตเล็กน้อยโดยมีปัจจัยลบจากการใช้แรงงานผิดกฎหมาย และการทำประมงผิดกฎ IUU ของสหภาพยุโรป การที่อุปสงค์จากจีนชะลอตัวลง และราคาส่งออกปรับลดตามระดับราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยบวกในหลายกลุ่มสินค้า ได้แก่ สินค้าปศุสัตว์ (ไก่แปรรูป) ที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น สินค้าน้ำตาลทรายที่มีคำสั่งซื้อล่วงหน้าเพิ่มขึ้นสินค้าประมง เช่น กุ้ง จากสถานการณ์การผลิตกุ้งไทยฟื้นตัวจากโรค EMS ประกอบกับรัฐบาลใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบเร่งด่วน มาตรการช่วยเหลือทางการเงินให้กับ SMEs และมาตรการเร่งรัดการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษในรูปแบบต่างๆ รวมถึงการกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อการบริโภคอาหารในประเทศ อาจส่งผลให้การผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหารขยายตัวได้
"การผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเส้นใยเพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของการผลิตเส้นใยสังเคราะห์แต่ในส่วนของเส้นด้ายผลิตลดลงตามการผลิตในกลุ่มผ้าผืนที่ลดลง ส่วนกลุ่มเครื่องนุ่งห่ม ลดลงทั้งในกลุ่มเสื้อผ้าถักและเสื้อผ้าทอ"
ผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน การผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเส้นใยเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 จากการขยายตัวของการผลิตเส้นใยสังเคราะห์เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.7 แต่ในส่วนของเส้นด้ายผลิตลดลง ร้อยละ 8.7 ตามการผลิตในกลุ่มของผ้าผืนที่ลดลงร้อยละ 14.2
ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องนุ่งห่มเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปลดลงร้อยละ 21.5 ซึ่งเป็นการผลิตลดลงทั้งในกลุ่มเสื้อผ้าถักและเสื้อผ้าทอ ตามคำสั่งซื้อภายในและต่างประเทศ ประกอบกับมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากจีน กัมพูชา เวียดนาม และบังคลาเทศ 2559
ปริมาณการจำหน่ายในประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเส้นใยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.1 ในขณะที่กลุ่มผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีปริมาณการจำหน่ายลดลงร้อยละ 8.3 และ 6.1 ตามลำดับ ตามความต้องการผลิตที่ปรับลดลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลให้ประชาชนชะลอการใช้จ่ายสินค้าฟุ่มเฟือยลง
การส่งออกเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มูลค่าการส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มในภาพรวมลดลง ร้อยละ 3.8 แบ่งเป็นกลุ่มสิ่งทอเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 0.3 ได้แก่ ด้ายเส้นใยประดิษฐ์ เคหะสิ่งทอ เส้นใยประดิษฐ์ และสิ่งทออื่น ๆ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.5 5.5 6.2 และ 6.1 ตามลำดับ จากความต้องการในตลาดคู่ค้าเพิ่มขึ้น ได้แก่ เวียดนาม ตุรกี ปากีสถาน และบังคลาเทศ เป็นต้น ในส่วนผลิตภัณฑ์ผ้าผืน มีมูลค่าการส่งออกลดลง ร้อยละ 5.2 ในตลาดเวียดนาม เมียนมาร์ สปป.ลาว บังคลาเทศ และสหรัฐอเมริกา กลุ่มเครื่องนุ่งห่มลดลง ร้อยละ 10.8 โดยเฉพาะกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูปลดลง จากคำสั่งซื้อในตลาดอาเซียน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ยกเว้นตลาดญี่ปุ่นที่ยังขยายตัวเพิ่มขึ้น ในประเภทเสื้อผ้าสำเร็จรูปผลิตจากฝ้าย
คาดว่า การผลิตในกลุ่มเส้นใยสิ่งทอจะขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนที่ผ่านมา สำหรับการส่งออก คาดว่า จะขยายตัวได้ในส่วนเส้นใยสังเคราะห์ ในส่วนกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูป คาดว่า จะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้า ส่วนการนำเข้าผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอ คาดว่า เส้นใยสิ่งทอผ้าผืน จะนำเข้าใกล้เคียงกับเดือนที่ผ่านมา โดยกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูปคาดว่า จะนำเข้าเพิ่มขึ้นจากจีน กัมพูชา เวียดนาม และ บังคลาเทศ ในกลุ่มเสื้อเชิ้ต/เบลาส์สตรีและเด็กหญิง แจ็กแก็ต ชุดชั้นในและเสื้อคลุม และกางเกง/กระโปรงทั้งบุรุษและสตรี
สมาคมเหล็กและเหล็กกล้าโลก (World Steel) ได้เปิดเผยตัวเลขคาดการณ์ความต้องการใช้เหล็กโลกในปี 2016 ว่า หดตัว ร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ในปี 2017 คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้น ร้อยละ 0.4 โดย World Steel คาดว่าในปี 2016 นี้ อุตสาหกรรมเหล็กจะต้องเผชิญกับความต้องการใช้เหล็กของจีนที่มีแนวโน้มหดตัวลง สำหรับในภูมิภาคอื่นๆ เช่น NAFTA และ EU ความต้องการใช้ยังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่าในปี 2017 ความต้องการใช้เหล็กทั่วโลกจะฟื้นตัวขึ้น ยกเว้นความต้องการใช้เหล็กในตลาดจีนที่ยังลดลงอยู่
สถานการณ์การผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนมีนาคม 2559 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 122.93 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลง ร้อยละ 4.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุดังนี้
ดัชนีผลผลิตในกลุ่มเหล็กทรงแบน ลดลง ร้อยละ 3.24 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กแผ่นเคลือบโครเมียม ลดลง ร้อยละ 18.98 และเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ลดลง ร้อยละ 16.92 แต่เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 51.84 และจากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า ความต้องการใช้ในประเทศในส่วนของเหล็กทรงแบนมีจำนวน 965,902 ตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.9 โดยเหล็กแผ่นหนารีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 81.9 และเหล็กแผ่นบางรีดร้อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 22.5 ในส่วนของการนำเข้า พบว่า การนำเข้าเหล็กทรงแบน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 7.0 โดยเหล็กโครงสร้างชนิดขึ้นรูปเย็น เพิ่มขึ้น ร้อยละ 1,933.3 เหล็กแผ่นหนารีดร้อน Alloy steel เพิ่มขึ้น ร้อยละ 170.1 สำหรับการส่งออก พบว่า การส่งออกเหล็กทรงแบน ลดลง ร้อยละ 11.2 โดยเหล็กแผ่นบางรีดร้อน ลดลง ร้อยละ 93.5 และเหล็กแผ่นหนารีดร้อน Alloy steel ลดลง ร้อยละ 66.7
ดัชนีผลผลิตในกลุ่มเหล็กทรงยาวลดลง ร้อยละ 7.99 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กเส้นข้ออ้อย ลดลง ร้อยละ 10.24 และลวดเหล็กแรงดึงสูง ลดลง ร้อยละ 6.79 และจากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า ความต้องการใช้ในประเทศในส่วนของเหล็กทรงยาว เพิ่มขึ้น ร้อยละ 26.2 โดยเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 64.2 แต่เหล็กลวด ลดลง ร้อยละ 8.6 สำหรับการนำเข้า ลดลง ร้อยละ 6.3 โดยเหล็กเส้น stainless steel ลดลง ร้อยละ 51.1 และท่อเหล็กไร้ตะเข็บ ลดลง ร้อยละ 32.6 สำหรับการส่งออก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 39.2 โดยเหล็กลวด เพิ่มขึ้น ร้อยละ 58.1 และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน Alloy Steel เพิ่มขึ้น ร้อยละ 53.8
จากข้อมูลดัชนีราคาเหล็กต่างประเทศของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (Black Sea) ในเดือนเมษายน 2559 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่า ผลิตภัณฑ์เหล็กส่วนใหญ่มีการปรับตัวที่เพิ่มขึ้น เช่น เหล็กแท่งแบน เพิ่มขึ้น จาก 73.25 เป็น 78.37 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.99 เหล็กแท่งเล็ก Billet เพิ่มขึ้นจาก 86.35 เป็น 89.41 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.54 เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้น จาก 77.94 เป็น 80 เพิ่มขึ้น ร้อยละ 2.64 แต่เหล็กแผ่นรีดเย็น ลดลงจาก 85.98 เป็น 83.17 ลดลง ร้อยละ 3.27 และเหล็กเส้น ที่มีดัชนีราคาที่ทรงตัว คือ ร้อยละ 82.97
สถานการณ์การผลิตเหล็กของไทยในเดือนเมษายน 2559 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าการผลิตเหล็กโดยรวมจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากที่ผ่านมาราคาเหล็กมีทิศทางที่ลดลง จึงทำให้ผู้ซื้อชะลอการซื้อ ซึ่งปัจจุบันราคาเหล็กเริ่มนิ่งแล้ว ส่งผลให้ผู้ซื้อสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น จึงทำให้การผลิตเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
4. อุตสาหกรรมยานยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมีนาคม 2559 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 เนื่องจากมีการเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ออกสู่ตลาดเพิ่มขึ้น ประกอบกับผู้ประกอบการบางรายเร่งการผลิตรถยนต์กระบะ 1 ตัน เพื่อรองรับวันหยุดต่อเนื่องในช่วงเทศกาลสงกรานต์ อย่างไรก็ตามตลาดในประเทศและตลาดส่งออกยังคงชะลอตัว ซึ่งเป็นไปตามสภาพเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ
จำนวน 192,811 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการผลิต 178,217 คัน ร้อยละ 8.19 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถยนต์กระบะ 1 ตันและอนุพันธ์และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
จำนวน 72,646 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการจำหน่าย 74,117 คัน ร้อยละ 1.98 โดยเป็นการปรับลดลงของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ แต่มีการจำหน่ายรถยนต์กระบะ 1 ตันและรถยนต์ PPV รวมกับ SUV เพิ่มขึ้น
จำนวน 109,334 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการส่งออก 127,619 คัน ร้อยละ 14.33 โดยตลาดส่งออกมีการชะลอตัวในประเทศแถบอเมริกากลางและอเมริกาใต้ ตะวันออกกลาง และยุโรป
ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนเมษายน 2559 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเมษายน2558 สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนเมษายน2559 ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 38 และส่งออกร้อยละ 62
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนมีนาคม2559 ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2558 ซึ่งเป็นการลดลงของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
จำนวน 151,313 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการผลิต 184,373 คัน ร้อยละ 17.93 โดยเป็นการปรับลดลงของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบอเนกประสงค์
จำนวน 155,183 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการจำหน่าย 183,977 คัน ร้อยละ 15.65 โดยเป็นการปรับลดลงของการจำหน่ายรถจักรยานยนต์แบบครอบครัว และแบบสกูตเตอร์
จำนวน 28,031คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2558 ซึ่งมีการส่งออก 39,305 คัน ร้อยละ 28.68 โดยเป็นการปรับลดลงจากการส่งออกไปประเทศเนเธอร์แลนด์ ญี่ปุ่นและมาเลเซีย
ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน2559 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเมษายน 2558 สำหรับการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน 2559 ประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 70 และส่งออกร้อยละ 30
"อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีปริมาณการผลิตและจำหน่ายในประเทศเพิ่มขึ้นจากแนวโน้มการขยายตัวที่ดีของเศรษฐกิจและภาคก่อสร้างในประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ รวมถึงการเร่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ทำให้ภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้นสำหรับมูลค่าการส่งออกปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน เนื่องจาก บังคลาเทศซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศคู่ค้าที่สำคัญของไทยมีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์จากไทยเพิ่มขึ้น"
ในเดือนมีนาคม 2559 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการผลิตและจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ (ไม่รวมปูนเม็ด) เพิ่มขึ้น ร้อยละ 20.63 และร้อยละ 17.64 ตามลำดับ
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในส่วนของการจำหน่ายในประเทศ หากพิจารณาจากกราฟด้านซ้ายมือจะเห็นว่ามีมูลค่าสูงที่สุดในรอบห้าปีที่ผ่านมา แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มที่ดีของการขยายตัวของเศรษฐกิจและภาคก่อสร้างในประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐด้วยมาตรการต่างๆ รวมถึงการเร่งรัดการดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่และทางหลวงพิเศษ ซึ่งขณะนี้บางโครงการประกวดราคาแล้วเสร็จเป็นบางช่วงและคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ภายในไตรมาสที่ 2 นี้ ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศจึงขยายตัวและคาดว่าจะขยายตัวดีขึ้นอีกในระยะต่อไป
มูลค่าการส่งออกรวมของปูนซีเมนต์เดือนมีนาคม 2559 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 10.15 เนื่องจากบังคลาเทศซึ่งเป็นประเทศคู่ค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทยมีความต้องการใช้ปูนซีเมนต์จากไทยเพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในขณะที่เมียนมาร์ซึ่งเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญที่สุดของไทยยังคงปรับลดคำสั่งซื้อปูนซีเมนต์จากไทยอย่างต่อเนื่อง สำหรับเวียดนามซึ่งเคยเป็นตลาดส่งออกที่สำคัญแห่งหนึ่งของไทยวันนี้กลายเป็นฐานการผลิตปูนซีเมนต์ที่มีปริมาณการผลิตมากเกินความต้องการใช้ในประเทศจนต้องหาทางขยายตลาดส่งออกเช่นเดียวกันกับไทย แต่การมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าทำให้เวียดนามสามารถขายปูนซีเมนต์ได้ในราคาที่ต่ำกว่าไทย จึงเป็นที่น่าจับตามองว่าจะกระทบกับการขยายตลาดส่งออกของไทยในอนาคตหรือไม่
การผลิตและจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้นจากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ รวมถึงการเร่งก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ หลายโครงการ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น และภาคเอกชนมีความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น
สำหรับมูลค่าการส่งออก คาดว่าจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากฐานตัวเลขของปี 2558 ค่อนข้างสูงประกอบกับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศมีแนวโน้มสูงขึ้นจากความชัดเจนของการก่อสร้างในโครงการต่างๆ ของภาครัฐ ทำให้เศรษฐกิจในประเทศปรับตัวดีขึ้น ภาคเอกชนลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ความเจริญกระจายตัวออกสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น และดึงดูดนักลงทุนชาวต่างชาติสนใจเข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น
ภาพรวมภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในเดือนมีนาคม 2559 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.07 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการจำหน่ายในประเทศและการส่งออกไปอาเซียนเพิ่มขึ้น สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการผลิต IC เพิ่มขึ้น
ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือน มีนาคม 2559 มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 117.25 เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.07 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้ามีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 142.09 เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.10 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน กลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าส่วนใหญ่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบทั้งหมด เช่น เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนคอนเดนซิ่ง เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนแฟนคอยล์ยูนิต ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เตาไมโครเวฟ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.11 13.29 6.09 0.19 และ 36.70 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ เนื่องจากการจำหน่ายในประเทศเพิ่มสูงขึ้น และการส่งออกไปตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นมาก รวมถึงการส่งออกไปตลาดสหภาพยุโรปเริ่มกลับมาฟื้นตัวได้บ้าง ยกเว้นเครื่องรับโทรทัศน์ ลดลงร้อยละ 64.83 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากมีการย้ายฐานการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์จากไทยไปยังประเทศในอาเซียน
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ 101.77 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย Other IC เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นชิ้นส่วนสำคัญในสินค้าที่มีการพัฒนาเป็นระบบดิจิทัลมากขึ้น โดยการส่งออกไปจีน สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น สำหรับ HDD และ Semiconductor ลดลงร้อยละ 9.05 และ 15.77 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ค ลดลงอย่างต่อเนื่อง
มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนมีนาคม 2559 มีมูลค่า 4,543.89 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง ร้อยละ 2.63 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการส่งออก 2,024.22 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 1.83 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ ปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปจีนและสหรัฐอเมริกา ลดลงร้อยละ 7.02 และ 8.07 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ยกเว้นอาเซียน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.60 2.31 และ 6.78 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ สินค้าหลักที่ปรับตัวลดลง เช่น เครื่องปรับอากาศ มีมูลค่าส่งออก 455.36 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 0.73 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปจีน สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 52.41 5.71 และ 23.11 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ขณะที่ ตู้เย็น มีมูลค่า 139.86 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.44 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนจากการส่งออกไปตลาดหลักเกือบทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ อาเซียน สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ร้อยละ 21.29 6.57 13.24 และ 19.17 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ
สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออก 2,519.68 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 3.27 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ ปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปตลาดหลักทุกตลาดปรับตัวลดลง ได้แก่ อาเซียน สหภาพยุโรป จีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 8.74 4.18 19.22 1.99 และ 18.01 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด คือ อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีมูลค่าส่งออก 1,333.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 5.84 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปตลาดหลักเกือบทุกตลาดปรับตัวลง ได้แก่ สหภาพยุโรป จีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นลดลง ร้อยละ 11.47 26.02 14.63 และ 8.28 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน รองลงมา คือ แผงวงจรไฟฟ้า มีมูลค่าส่งออก 640.52 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.42 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปสหภาพยุโรป จีนและสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.49 10.73 และ 6.04 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ภาพรวมอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนเมษายน 2559 จากแบบจำลองดัชนีชี้นำที่จัดทำโดยสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการแนวโน้มการผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ลดลงร้อยละ 1.06 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของ ปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.88 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการจำหน่ายในประเทศเริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าทางความเย็น เช่น เครื่องปรับอากาศ และตู้เย็น รวมถึงการส่งออกไปตลาดอาเซียนมีการขยายตัวได้ดี สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะปรับตัวลดลงร้อยละ 5.99 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออก HDD ลดลงอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้คอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊คลดลง
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--