ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2560

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday August 23, 2017 14:50 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

สรุปประเด็นสำคัญ

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวร้อยละ 3.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอุตสาหกรรมสำคัญที่ขยายตัว อาทิ เครื่องยนต์สำหรับรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ยางแผ่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์

อุตสาหกรรมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เดือนกรกฎาคม ปี 2560 ขยายตัวเนื่องจาก IC เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการพัฒนาสินค้าที่มีการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น

อุตสาหกรรมรถยนต์ เดือนกรกฎาคม ปี 2560 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปี 2559 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของตลาดในประเทศเนื่องจากเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมช่วง 7 เดือนแรกของปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 0.6

การแจ้งประกอบกิจการและการจำหน่ายทะเบียนโรงงานเดือนกรกฎาคม 2560 มีโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบกิจการจำนวน 321 ราย ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ร้อยละ 17.9 มีจำนวนการจ้างงานลดลงร้อยละ 48.4 และมียอดเงินลงทุนรวมลดลงร้อยละ 9.8 โดยอุตสาหกรรมที่สำคัญ ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ จำนวนเงินทุน 5,288 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนมีโรงงานที่ได้รับใบอนุญาตและแจ้งประกอบกิจการลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2559 ร้อยละ 0.3 สำหรับโรงงานที่จำหน่ายทะเบียนโรงงานมีจำนวน 260 ราย มากกว่าเดือนมิถุนายน 2560 ร้อยละ 132.1 และมากกว่าเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 233.3

การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทยในเดือนกรกฎาคม 2560 การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ มีมูลค่า 1,434.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 3.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องยนต์ เพลาส่งกำลังและส่วนประกอบ เครื่องจักรและอุปกรณ์ใช้ในการแปรรูปยางหรือพลาสติกและเครื่องจักรสิ่งทอ ที่ขยายตัว

ด้านการนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า 6,759.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 11.5 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามการนำเข้าเคมีภัณฑ์ อุปกรณ์ ส่วนประกอบเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก ที่ขยายตัว

การใช้ไฟฟ้าของภาคอุตสาหกรรมการผลิตในเดือนกรกฎาคม 2560 มีปริมาณทั้งหมดจำนวน 10,687.5 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง ลดลงจากเดือนที่ผ่านมาร้อยละ 0.8 ที่ปริมาณ 10,773.8 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมง แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2559 ร้อยละ 3.0 ที่ปริมาณ 10,380.9 ล้านกิโลวัตต์-ชั่วโมงหากพิจารณาแยกการใช้ไฟฟ้าตามขนาดของกิจการ พบว่า กิจการขนาดเล็ก และขนาดกลางมีปริมาณการใช้ไฟฟ้าลดลงจากเดือนที่ผ่านมา แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2559 ส่วนกิจการขนาดใหญ่ มีปริมาณการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาและช่วงเดียวกันของปี 2559

การผลิตในภาคอุตสาหกรรมไทยเมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI)เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวร้อยละ 3.7 อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลด้านบวกต่อดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเช่นการผลิตส่วนประกอบยานยนต์ และเครื่องยนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์ยางอื่น ๆ การผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ การผลิตเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์จากเนื้อสัตว์ การผลิตอาหารทะเลกระป๋องและแช่แข็ง เป็นต้น

ขณะที่การผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศไต้หวันขยายตัวร้อยละ 2.9

การผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศเกาหลีใต้หดตัวร้อยละ 0.1

สำหรับข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซีย และอินโดนีเซีย ประจำเดือนกรกฎาคม 2560 ยังไม่มีการเผยแพร่ โดยในเดือนมิถุนายน 2560 การผลิตในภาคอุตสาหกรรมประเทศมาเลเซียขยายตัวร้อยละ 4.7ขณะที่ประเทศอินโดนีเซียหดตัวร้อยละ 4.0

สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2560

ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายน 2560 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 321 ราย ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 391 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 17.9 มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 24,883 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งมีการลงทุน 27,582 ล้านบาท ร้อยละ 9.8 และมีการจ้างงานจำนวน 8,428 คน ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2560 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 16,335 คน ร้อยละ 48.4 ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการน้อยกว่าเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 322 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ 0.3 แต่มียอดเงินลงทุนรวมเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งมีการลงทุน 20,099 ล้านบาท ร้อยละ 23.8 และมีการจ้างงานรวมเพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2559 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 6,659 คน ร้อยละ 26.6

  • อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม 2560 คือ อุตสาหกรรมการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต จำนวน 31 โรงงาน รองลงมา คือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอกกรวด ทราย หรือดิน จำนวน 21 โรงงาน
  • อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2560 คืออุตสาหกรรมการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานน้ำ จำนวนเงินทุน 5,288 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอกกรวด ทราย หรือดิน จำนวนเงินทุน 4,572.97 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2560 คืออุตสาหกรรมการเลื่อย ไส ซอย เซาะร่อง หรือการแปรรูปไม้ จำนวนคนงาน 1,196 คน รองลงมา คือ อุตสาหกรรมการทำยางแผ่นรมควัน การทำยางเครป ยางแท่ง จำนวนคนงาน 686 คน

ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมิถุนายน 2560 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 260 ราย มากกว่าเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 112 ราย คิดเป็นร้อยละ 132.1 มีเงินทุนของการเลิกกิจการรวม 11,875 ล้านบาท มากกว่าเดือนมิถุนายน 2560 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 4,874 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงาน จำนวน 5,497 คน มากกว่าเดือนมิถุนายน 2560 ซึ่งมีการเลิกจ้างงานจำนวน 4,758 คน

ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคม 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 78 ราย คิดเป็นจำนวนมากกว่าร้อยละ 233.3 มีเงินทุนของการเลิกกิจการมากกว่าเดือนกรกฎาคม 2559 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 632 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงานมากกว่าเดือนกรกฎาคม 2559 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 1,442 คน

  • อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนกรกฎาคม 2560 คือ อุตสาหกรรมการซ่อมแซมยานที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ จำนวน 44 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมโรงงานทำเครื่องเรือนหรือเครื่องตบแต่งในอาคารจากไม้เฟอร์นิเจอร์ไม้ จำนวน 30 โรงงาน
  • อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2560 คืออุตสาหกรรมการทำยาฆ่าเชื้อโรค หรือยาดับกลิ่น เงินทุน 8,227 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการทำน้ำดื่ม เงินทุน 605 ล้านบาท
  • อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2560 คือ อุตสาหกรรมการตัดหรือการเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า ผ้าพันคอ จำนวนคนงาน 1,084 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการทอหรือการเตรียมเส้นด้ายยืนสำหรับการทอ จำนวนคนงาน 660 คน
1.อุตสาหกรรมอาหาร

ภาวะการผลิต และมูลค่าการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหารปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเฉพาะการผลิตสับปะรดกระป๋องที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมากเพื่อรองรับผลผลิตที่ล้นตลาด อีกทั้งอุตสาหกรรมอาหารยังได้รับแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการส่งออกที่ความต้องการบริโภคขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และการบริโภคในประเทศปรับตัวเพิ่มขึ้นจากภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง

1. การผลิต

ภาวการณ์ผลิตกลุ่มสินค้าอาหารเดือนกรกฎาคม 2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.5 แบ่งเป็น

1) กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดส่งออกคือ สับปะรดกระป๋องปรับตัวเพิ่มขึ้นมากจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 79.7 เพื่อรองรับวัตถุดิบที่ล้นตลาด ประกอบกับไก่แปรรูป และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ4.4 และ 2.5 ตามลำดับ เนื่องจากต่างประเทศเพิ่มคำสั่งซื้อย่างต่อเนื่อง

2) กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดภายในประเทศ คือ น้ำมันปาล์ม ไก่สด แช่เย็นแช่แข็ง และอาหารสัตว์ (ไก่) การผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก เดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 41.0 13.0 และ 2.5 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

2. การตลาด

1) ตลาดในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารในประเทศเดือนกรกฎาคม 2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 2.1เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้นทำให้การบริโภคเพิ่มขึ้น

2) ตลาดต่างประเทศ ภาพรวมมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหารเดือนกรกฎาคม 2560 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 10.1 ในกลุ่มสินค้าที่สำคัญ เช่น ไก่แช่เย็นแช่แข็ง ข้าวโพดหวานกระป๋อง ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง บะหมี่กึ่งสำเร็จ กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง ไก่แปรรูป และผลิตภัณฑ์ข้าวปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 23.6 24.9 19.1 18.3 12.9 11.9 และ 9.5 ตามลำดับ เนื่องจากการเพิ่มคำสั่งซื้อของประเทศผู้นำเข้า

2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
"การผลิตกลุ่มสิ่งทอและผ้าผืน หดตัว เนื่องจากมีสินค้าคงคลังเพียงพอจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก ในขณะที่เครื่องนุ่งห่ม เพิ่มขึ้นจากเสื้อผ้ากีฬาสำหรับการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ระหว่างวันที่ 19-30 สิงหาคม 2560 สำหรับการส่งออกสิ่งทอยังขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9"
1.การผลิต
  • ผลิตภัณฑ์กลุ่มสิ่งทอเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกลุ่มเส้นใยสิ่งทอ และผ้าผืนหดตัว ร้อยละ 2.0 และ 7.7 ตามลำดับจากสภาพตลาดในประเทศชะลอตัว ประกอบกับมีสินค้าคงคลังเพียงพอจากการผลิตที่เพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม การผลิตเพื่อการส่งออกยังคงขยายตัวได้ดี
  • ผลิตภัณฑ์กลุ่มเครื่องนุ่งห่มเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.8 ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการผลิตเสื้อผ้ากีฬาสำหรับนักกีฬาทีมชาติไทยและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เพื่อเตรียมใช้ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 29 ระหว่างวันที่ 19-30 สิงหาคม 2560 ที่ประเทศมาเลเซีย
2.การจำหน่าย
  • การจำหน่ายในประเทศ เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนกลุ่มเส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป หดตัว ร้อยละ 10.8 7.5 และ 0.7ตามลำดับ โดยสินค้าในกลุ่มเส้นใยสิ่งทอและผ้าผืน หดตัวตามความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่องในประเทศในส่วนเสื้อผ้าสำเร็จรูปหดตัวจากการนำเข้าสินค้าจากจีน และเวียดนาม มาใช้ทดแทนสินค้าในประเทศ
  • การส่งออกเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์เส้นใยสิ่งทอเพิ่มขึ้น ร้อยละ 6.0 ซึ่งขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9 นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น จากการส่งออกเส้นใยสำหรับผลิตเสื้อผ้ากีฬาของผู้ประกอบการรายใหญ่ ส่วนผ้าผืนขยายตัว ร้อยละ 1.5 โดยตลาดหลักที่ขยายตัว ได้แก่ เวียดนาม บังคลาเทศ และ เมียนมา เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มในตลาดดังกล่าวขยายตัว สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูปลดลง ร้อยละ 8.5 ในตลาดหลัก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป อย่างไรก็ตาม การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปยังตลาดอาเซียน และจีน ยังคงขยายตัวได้ดี

3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

1.การผลิต

สถานการณ์การผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนกรกฎาคม 2560 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 127.50 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.35 การบริโภคในประเทศมีปริมาณ 1.24 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 20.2 โดยเป็นการลดลง 7 เดือนติดต่อกัน ตั้งแต่เดือนมกราคม 2560-กรกฎาคม 2560 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้ามีปริมาณ 0.83 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 28.7 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การส่งออกมีปริมาณ 0.12 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 โดยเป็นการเพิ่มขึ้น 8 เดือนติดต่อกัน ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2559 - กรกฎาคม 2560 โดยสามารถแบ่งตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ ดังนี้

  • ดัชนีผลผลิตในกลุ่มเหล็กทรงแบนมีค่า 119.59 ลดลงร้อยละ 1.41 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กแผ่นเคลือบโครเมี่ยม ลดลงร้อยละ 55.20 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ลดลงร้อยละ 11.22 และจากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า การบริโภคเหล็กทรงแบนในประเทศ ประมาณ 879,579 ตัน ลดลงร้อยละ 10.3 โดยเหล็กแผ่นหนารีดร้อน ลดลงร้อยละ 41.6 รองลงมาคือเหล็กแผ่นเคลือบโครเมี่ยม ลดลงร้อยละ 37.7 สำหรับการนำเข้า มีปริมาณ 625,684 ตัน ลดลงร้อยละ 26.5 โดยเหล็กแผ่นบางรีดร้อน (Carbon steeI) ลดลงร้อยละ 82.4 และการส่งออกมีปริมาณ 48,826 ตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 โดยเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เพิ่มขึ้นร้อยละ 956 โดยเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีส่งออกไปยัง สหรัฐอเมริกา พม่า และ ลาว
  • ดัชนีผลผลิตในกลุ่มเหล็กทรงยาวมีค่า 137.21 เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.13 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นเดือนแรกหลังจากลดลงติดต่อกัน 3 เดือนก่อนหน้านี้ (เมษายน-มิถุนายน) โดยราคาเหล็กในเดือนกรกฎาคมเริ่มปรับตัวสูงขึ้น จึงมีคำสั่งซื้อเพิ่มมากขึ้น โดยเหล็กลวด เพิ่มขึ้นร้อยละ 64.38 รองลงมาคือ เหล็กเส้นกลม เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.06 และจากข้อมูลของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า การบริโภคเหล็กทรงยาวในประเทศ ประมาณ 356,211 ตัน ลดลงร้อยละ 37.3 โดยเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ลดลงร้อยละ 47.9 รองลงมาคือเหล็กลวด ลดลงร้อยละ 22.7 สำหรับการนำเข้า มีปริมาณ 202,123 ตัน ลดลงร้อยละ 34.7 โดยเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน (AIIoy- steeI) ลดลงร้อยละ 99.4 การส่งออก มีปริมาณ 71,254 ตัน ลดลงร้อยละ 2.4 โดยเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน ชนิด(AIIoy steeI, StainIess steeI) ลดลงร้อยละ 100 โดยเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน ส่งออกไปยัง มาเลเซีย สิงคโปร์ และแอฟริกาใต้
2. ราคาเหล็ก

จากข้อมูลดัชนีราคาเหล็กต่างประเทศของสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย พบว่า การเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (BIack Sea) ในเดือนสิงหาคม 2560 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ดังนี้ เหล็กแท่งเล็ก (BiIIet) เพิ่มขึ้นจาก 75.29 เป็น 114.26 เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.75 เหล็กแท่งแบน เพิ่มขึ้นจาก 73.26 เป็น 103.63 เพิ่มขึ้นร้อยละ 41.46 เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้นจาก 75.49 เป็น 103.08 เพิ่มขึ้นร้อยละ 36.55 เหล็กเส้น เพิ่มขึ้นจาก 75.53 เป็น 102.39 เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.56 และเหล็กแผ่นรีดเย็น เพิ่มขึ้นจาก 75.70 เป็น 102.45 เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.34

4. อุตสาหกรรมยานยนต์

รถยนต์

อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปี 2559 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของตลาดในประเทศเนื่องจากเศรษฐกิจปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง

1.การผลิตรถยนต์

จำนวน 159,091 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งมีการผลิต 153,950 คัน ร้อยละ 3.34 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถยนต์กระบะ 1 ตัน และอนุพันธ์

2.การจำหน่ายรถยนต์

จำนวน 65,178 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งมีการจำหน่าย 60,635 คัน ร้อยละ 7.49 โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง และรถยนต์กระบะ 1 ตัน

3.การส่งออกรถยนต์

จำนวน 90,015 คัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งมีการส่งออก 99,155 คัน ร้อยละ 9.22 โดยเป็นการลดลงในประเทศแถบเอเชียตะวันออกกลาง ยุโรปและอเมริกากลางและอเมริกาใต้

รถจักรยานยนต์

อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนกรกฎาคม 2560 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2559 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของตลาดในประเทศและตลาดส่งออก

1.การผลิตรถจักรยานยนต์

จำนวน 171,526 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งมีการผลิต 142,516 คัน ร้อยละ 20.36โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบอเนกประสงค์ และแบบสปอร์ต

2.การจำหน่ายรถจักรยานยนต์*

จำนวน 140,500 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม2559 ซึ่งมีการจำหน่าย 127,331 คัน ร้อยละ 10.34

3.การส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป(CBU)

จำนวน 29,301 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2559 ซึ่งมีการส่งออก 19,399 คัน ร้อยละ 51.04 โดยตลาดส่งออกมีการขยายตัวในประเทศสหรัฐอเมริกาเนเธอร์แลนด์และเมียนมาร์

5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในภาพรวมการผลิตมีทิศทางที่ดีขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่การจำหน่ายในประเทศหดตัวลง เนื่องจากปัจจัยฤดูกาลการเกิดภาวะน้ำท่วม การแข่งขันในตลาดสูง สำหรับการส่งออกมีการปรับตัวลดลง

1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ

เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตปูนซีเมนต์ในประเทศ (ไม่รวมปูนเม็ด) เดือนกรกฎาคม 2560 ลดลงร้อยละ 1.7 ส่วนการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ (ไม่รวมปูนเม็ด) เดือนกรกฎาคม 2560 ลดลงร้อยละ 5.7 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ยังอยู่ในระยะฟื้นตัว การชะลอตัวในภาคการก่อสร้างเนื่องจากยังอยู่ในช่วงฤดูฝนทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมในหลายจังหวัดทำให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงไป การได้รับสินเชื่อจากธนาคารเพื่อซื้ออสังหาริมทรัพย์เป็นไปได้ยากขึ้น มีภาวะการแข่งขันสูงจากสินค้าที่มีมากในตลาดและคู่แข่งรายใหม่ ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อปูนซีเมนต์ในประเทศชะลอตัว

2. การส่งออก

การส่งออกรวมของปูนซีเมนต์ในเดือนกรกฎาคม 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีมูลค่าการส่งออกลดลง ที่ร้อยละ 13.1 เนื่องจากคำสั่งซื้อจากบังคลาเทศ เมียนมา และลาวปรับลดคำสั่งซื้อลงไป โดยตลาดส่งออกปูนซีเมนต์ที่สำคัญ 3 อันดับแรกของไทยในเดือนนี้ คือ กัมพูชา บังคลาเทศ และเมียนมา ตามลำดับ รวมมูลค่า 27.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 66.9 ของมูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์ทั้งหมดของไทย

6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

ภาพรวมภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในเดือนกรกฎาคม 2560 ปรับตัวลดลง ร้อยละ 1.28 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้าปรับตัวลดลงร้อยละ 13.74 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการผลิตเครื่องปรับอากาศ พัดลม และตู้เย็น ปรับตัวลดลง โดยอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.66 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากการผลิต Semiconductor, IC และ HDD ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น

1.การผลิต

ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกรกฎาคม 2560 มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 111.17 ลดลงร้อยละ 1.28 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยอุตสาหกรรมไฟฟ้ามีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 98.46 ลดลง ร้อยละ 13.74 โดยกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการปรับตัวลดลงคือ เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนคอนเดนซิ่ง เครื่องปรับอากาศแบบแยกส่วนแฟนคอยล์ยูนิต คอมเพรสเซอร์ พัดลม ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ กระติกน้ำร้อน และหม้อหุงข้าว ลดลงร้อยละ 29.63, 26.55, 13.47, 6.76, 9.05, 9.24, 12.58 และ 15.21ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้ประกอบการผลิตเครื่องปรับอากาศบางรายมีปริมาณการผลิตลดลง รวมถึงส่งออกไปตลาดหลักปรับตัวลดลง

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.66 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมาจากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลัก ได้แก่ Semiconductor, MonoIithic IC, Other IC และ HDD เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.69, 0.49, 5.71และ 8.27 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก IC เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการพัฒนาสินค้าที่มีการใช้เทคโนโลยีที่สูงขึ้น

2. การส่งออก

มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนกรกฎาคม 2560 มีมูลค่า 4,738.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.99 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนจากการส่งออกไปตลาดหลักทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.93, 8.20, 8.06, 5.32 และ 1.74 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ

สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการส่งออก 1,891.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.13 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปตลาดหลักส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.48, 9.38 และ 1.84 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดยสินค้าที่มีการส่งออกมากที่สุด ได้แก่ ตู้เย็น มีมูลค่าการส่งออก 149.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.15 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปตลาดหลักเกือบทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป และอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.75, 38.88, 36.40, 28.41 และ 12.60 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ รองลงมาคือ แผงสวิตซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า มีมูลค่าการส่งออก 134.76 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.81 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปตลาดหลักเกือบทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 101.40, 40.19, 26.13 และ 21.45 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ แต่สินค้าหลักที่มีการส่งออกลดลง คือ เครื่องปรับอากาศ มีมูลค่าส่งออก 295.11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 13.98 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการส่งออกไปตลาดหลักปรับตัวลดลง ได้แก่ อาเซียน และสหภาพยุโรป ลดลงร้อยละ 45.59 และ 32.26 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออก 2,847.09 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.62 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปตลาดหลักทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหภาพยุโรป อาเซียน และสหรัฐอเมริกา เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.61, 10.87, 9.75, 6.89 และ 5.90 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด คือ วงจรรวม (IC) มีมูลค่าส่งออก 687.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.70 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปตลาดหลักทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สหภาพยุโรป จีน อาเซียน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.15, 16.29, 6.58, 5.87 และ 4.13 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ส่วนสินค้าหลักที่มีการส่งออกลดลง ได้แก่ อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีมูลค่าส่งออก 1,039.98 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 3.07 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาปรับตัวลดลงร้อยละ 8.60 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน

--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ