แท็ก
อุตสาหกรรม
สรุปประเด็นสำคัญ
ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนกันยายน 2550
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) = 181.22 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 (175.94) ร้อยละ 3.0 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.89) ร้อยละ 10.6
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2550 ได้แก่ การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ การผลิตยานยนต์ การผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ การผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ การผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง
- อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย = 67.65 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 (66.93) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของ ปีก่อน (68.26)
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2550
- อุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล ขณะที่
การจำหน่ายสินค้าในประเทศอาจมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
- อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มมีเข้ามาและแผนการผลิตล่วงหน้าสำหรับการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะเสื้อเชิ้ตชายจากผลของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) มีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ขณะที่การจำหน่ายสินค้าในประเทศ จะเพิ่มเพียงเล็กน้อยหรือทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภคยังชะลอการใช้จ่าย
- อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กในเดือน ตุลาคม 2550 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในส่วนของการผลิตเหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่าจะยังคงทรงตัวเนื่องจากการทรงตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่เหล็กทรงแบนคาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ตามความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังคงมีอยู่
- อุตสาหกรรมยานยนต์ ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2550 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2550 เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลขาย สำหรับการจำหน่ายในเดือนตุลาคมประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 50 และส่งออกร้อยละ 50
- อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ในเดือนตุลาคม และเดือนพฤศจิกายน 2550 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเพิ่มการผลิตเพื่อรองรับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความชัดเจนทางการเมืองเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักยังคงขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาส 4 ปี 2550 ประมาณการจากแบบจำลองภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าปริมาณการจำหน่ายของเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยดูจากดัชนีการส่งสินค้า ขยายตัวเล็กน้อยประมาณร้อยละ 2-4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดในประเทศชะลอตัว และสินค้าบางชนิด เช่น เครื่องปรับอากาศชะลอลงตามฤดูกาล ประกอบกับสินค้าในกลุ่มภาพและเสียงในช่วงไตรมาส 4 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณการว่า เครื่องรับโทรทัศน์สีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับ 21 นิ้ว จะปรับตัวลดลง ร้อยละ 2 ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีเดิมไปเป็นเทคโนโลยีใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดส่งออกโดยเฉพาะในตลาดอียู ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ทำให้ปริมาณจำหน่ายโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงไตรมาส 4 (ตุลาคม- ธันวาคม 2550) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากการส่งออก HDD และ IC ที่ขยายตัวสูงขึ้น โดยประมาณการว่าปี 2550 จะขยายตัวได้ในแง่ของปริมาณจำหน่ายถึงร้อยละ 24.00 และ 9.52 เนื่องจากเศรษฐกิจของตลาดส่งออกที่เป็นคู่ค้าที่สำคัญอย่างกลุ่มอียูขยายตัวดีในปีนี้ ถึงแม้ตลาดสหรัฐจะชะลอตัวลงก็ตาม
ดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3 ปี 2550
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 174.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (162.3) ร้อยละ 7.7 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (160.10) ร้อยละ 9.2
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวน (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.5 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชี และเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรมโดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 67.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (64.8) แต่ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (68.0)
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ยกเว้นปุ๋ยและสารประกอบไนโตรเจน อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 65.76 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2549 (67.74) โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทอ และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)
ส.ค. 50 = 175.94
ก.ย. 50 = 181.22
โดยอุตสาหกรรมหลัก ที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ การ - ผลิตยานยนต์
- การผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์
- อัตราการใช้กำลังการผลิต
ส.ค. 50 = 66.93
ก.ย. 50 = 67.65
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตยานยนต์
- การผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง การ - จัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทอ
1. อุตสาหกรรมอาหาร
ภาวะการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรม อาหารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน สำหรับการจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย จากการปรับขึ้นราคาน้ำมัน
1. การผลิต
ภาวะการผลิตโดยรวม (ไม่รวมน้ำตาล) ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.5 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 3.9 โดยปริมาณสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
ได้แก่ แป้งมันสำปะหลัง ร้อยละ 25.5 กุ้งแช่เย็นแช่แข็งร้อยละ 37.4 และสับปะรดกระป๋อง ร้อยละ 32.5 เนื่องจากวัตถุดิบขาดแคลน ในส่วนการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ สินค้าน้ำมันปาล์มและอาหารไก่ มีการผลิตลดลงจากปีก่อนร้อยละ 3.2และ 13.8 ตามลำดับ สำหรับน้ำมันถั่วเหลืองมีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ สินค้าอาหารและเกษตร มีปริมาณจำหน่ายลดลงจากเดือนก่อนและปีก่อนร้อยละ 10.9 และ 2.0 จากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ และจากความกังวลในภาวะเศรษฐกิจที่ยังซบเซาเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้ผู้บริโภคยังคงชะลอการจับจ่ายใช้สอย
2) ตลาดต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อน ร้อยละ 0.5 และ 3.7 เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลที่คำสั่งซื้อต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าไก่แปรรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.0 อย่างไรก็ตามผลจากการแข็งค่าของเงินบาท ประกอบกับการขาดแคลนวัตถุดิบ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอื่นๆ ของไทย ได้แก่ สับปะรดกระป๋อง และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงจากปีก่อนร้อยละ 40.5 และ 7.3 ตามลำดับ นอกจากนี้การส่งออกน้ำตาลมีมูลค่าส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 57.3 เนื่องจากราคาตลาดโลกตกต่ำ
3. แนวโน้ม
คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล ขณะที่การจำหน่ายสินค้าในประเทศอาจมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
..ปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มมีเข้ามาและแผนการผลิตล่วงหน้าสำหรับส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะเสื้อเชิ้ตชายจากผลข้อตกลง JTEPA...
1. การผลิต
การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯ เดือนกันยายน ลดลงร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และร้อยละ 12.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจาก ผ้าทอที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และร้อยละ 7.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่จะมาถึง ประกอบกับผู้ประกอบการมีแผนเพิ่มการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น จากผลของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) ซึ่งมีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 พ.ย. 2550
2. การตลาด
การจำหน่ายในประเทศ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอส่วนใหญ่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน ยกเว้นเพียงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าทอ
การส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอเดือนกันยายน ส่วนใหญ่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ผ้าผืน ด้าย และเส้นใยประดิษฐ์ เส้นใยประดิษฐ์และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ลดลงร้อยละ 4.0, 7.4, 15.0 และ 19.9 ลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 15.6 ตลาดสหภาพยุโรป ร้อยละ 14.8 อาเซียน ร้อยละ 13.8 และญี่ปุ่นร้อยละ 6.6 เป็นผลจากการแข็งค่าของเงินบาท
3. แนวโน้ม
คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มมีเข้ามาและแผนการผลิตล่วงหน้าสำหรับส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะเสื้อเชิ้ตชายจากผลของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) มีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 พ.ย. 2550 ขณะที่การจำหน่ายสินค้าในประเทศ จะเพิ่มเพียงเล็กน้อยหรือทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภคยังชะลอการใช้จ่าย
3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
1.การผลิต
จากรายงานของบริษัทที่ปรึกษา McKinsey เชื่อว่า สมดุลของอุปสงค์/อุปทานจะดีขึ้นในระยะกลาง จากการลงทุนใหม่ในเหมืองแร่เหล็กและถ่านหิน จึงทำให้ราคาของวัตถุดิบจะยังคงสูงในระยะใกล้ และในอนาคตคาดการณ์ว่าราคาอาจจะลดลง นอกจากนี้ McKinsey ยังเตือนว่าจาก กำลังการผลิตเหล็กที่กำลังขยายตัวตามความต้องการใช้อยู่ อาจทำให้เกิดกำลังการผลิตส่วนเกินได้ในปี 2553
ภาวะการผลิตเหล็กในช่วงเดือน ก.ย. 50 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 1.28 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 132.18 เมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวมีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.06 โดยเหล็กเส้นข้ออ้อยและเหล็กเส้นกลมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.98 และ 17.36 ตามลำดับ เนื่องจากเมื่อเดือนที่แล้วผู้ผลิตบางรายได้หยุดการผลิตลงเป็นระยะสั้นๆ เนื่องจากเครื่องจักรบางตัวมีปัญหา ประกอบกับต้องการที่จะระบายสินค้าคงคลัง จึงมีผลทำให้ปริมาณการผลิตในเดือนที่แล้วลดลง แต่ในเดือนนี้การผลิตเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงของปริมาณการผลิตในเดือนนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้วปรับตัวสูงขึ้น สำหรับเหล็ก ทรงแบนมีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 2.92 โดยเหล็กแผ่นรีดเย็นมีการผลิตที่ลดลงมากที่สุด ร้อยละ 23.49 และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี มีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 16.70 เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศที่ลดลง
ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ภาวะการผลิตลดลง ร้อยละ 3.24 โดยเหล็กทรงยาว ได้แก่ เหล็กเส้นข้ออ้อยและเหล็กเส้นกลมมีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 21.81 และ 13.75 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ราคาวัตถุดิบคือเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ตปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์เหล็ก คือ เหล็กเส้นข้ออ้อยและเหล็กเส้นกลมไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ในประเทศที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันทางการตลาดของผู้ค้า จึงมีผลทำให้ผู้ผลิตบางรายชะลอการผลิตลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเกรงว่าจะไม่คุ้มต้นทุนในการผลิต สำหรับเหล็กทรงแบน ได้แก่ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุกและเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี มีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 46.21 และ 14.17 ตามลำดับ
2.ราคาเหล็ก
การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (Black Sea) ในช่วงเดือนตุลาคม 2550 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ราคาโดยเฉลี่ยของวัตถุดิบสำหรับเหล็กทรงแบนและผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนเพิ่มขึ้น โดย เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้นจาก 564 เป็น 588 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.21 รองลงมาคือ เหล็กแท่งแบน เพิ่มขึ้นจาก 529 เป็น 530 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.24 เหล็กแผ่นรีดเย็นมีราคาที่ทรงตัวคือ 635 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่วัตถุดิบสำหรับเหล็กทรงยาวและผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวกลับมีราคาที่ลดลง โดยเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต ลดลงจาก 520 เป็น 504 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 3.13 เหล็กเส้น ลดลงจาก 566 เป็น 555 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 1.99 โดยคาดการณ์ว่าในระยะสั้นราคาวัตถุดิบในการผลิตเหล็กส่วนใหญ่ จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป เนื่องจากผู้ผลิตหลายรายในตลาดโลกมีการขยายกำลังการผลิตจึงทำให้แข่งกันซื้อวัตถุดิบ นอกจากนี้จากรายงานของบริษัทที่ปรึกษา McKinsey เชื่อว่า สมดุลของอุปสงค์/อุปทานจะดีขึ้นในระยะกลาง จากการลงทุนใหม่ในเหมืองแร่เหล็กและถ่านหิน จึงทำให้ ราคาของวัตถุดิบจะยังคงสูงในระยะใกล้ และในอนาคตคาดการณ์ว่าราคาอาจจะลดลง สุดท้าย McKinsey เตือนว่าจากกำลังการผลิตเหล็กที่กำลังขยายตัวตามความต้องการใช้อยู่ อาจทำให้เกิดกำลังการผลิตส่วนเกินได้ในปี 2553
3. แนวโน้ม
สถานการณ์เหล็กในเดือน ต.ค. 2550 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในส่วนของการผลิตเหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่าจะยังคงทรงตัวเนื่องจากการทรงตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่เหล็กทรงแบน คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ตามความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังคงมีอยู่
4. อุตสาหกรรมยานยนต์
รถยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนกันยายน 2550 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนกันยายน ดังนี้
- การผลิตรถยนต์ จำนวน 117,171 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการผลิต 103,219 คัน ร้อยละ 13.52 และมีปริมาณการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 7.02
- การจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 53,491 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการจำหน่าย 49,383 คัน ร้อยละ 8.32 แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 1.24
- การส่งออกรถยนต์ จำนวน 64,563 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการส่งออก 49,804 คัน ร้อยละ 29.63 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการส่งออกรถยนต์ตามคำสั่งซื้อที่คงค้างอยู่ของผู้ประกอบการรายหนึ่ง แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 1.63
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2550 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2550 เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลขาย สำหรับการจำหน่ายในเดือนตุลาคมประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 50 และส่งออกร้อยละ 50
รถจักรยานยนต์
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนกันยายน 2550 ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 อันเนื่องมาจากการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ภายในประเทศที่ยังชะลอตัว อย่างไรก็ดี การส่งออกรถจักรยานยนต์ยังสามารถขยายตัวได้ โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนกันยายน ดังนี้
- การผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 124,347 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการผลิต 159,778 คัน ร้อยละ 22.18 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 5.82
- การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จำนวน 117,210 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการจำหน่าย 159,430 คัน ร้อยละ 26.48 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 14.27
- การส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU) มีจำนวน 7,145 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการส่งออก 6,427 คัน ร้อยละ 11.17 แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 0.89 โดยประเทศที่มีการนำเข้ารถจักรยานยนต์จากไทยสูง 3 อันดับแรก คือ เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ตามลำดับ
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนตุลาคม 2550 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2550
5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
“การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ ในประเทศชะลอตัวลง เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคง ซบเซา สำหรับการส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักในแถบอาเซียนขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ
เดือนกันยายน 2550 ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ลดลงร้อยละ 6.28 และ 2.09 ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ ลดลงร้อยละ 7.23 และ 12.69 ตามลำดับ การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศลดลงตามการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ชะลอตัวลง เนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
2.การส่งออก
มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์เดือนกันยายน 2550 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.67 และ 26.81 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่ายังคงขยายตัวได้ดี
3.แนวโน้ม
ในเดือนตุลาคม และเดือนพฤศจิกายน 2550 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเพิ่มการผลิตเพื่อรองรับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความชัดเจนทางการเมืองเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักยังคงขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกันยายน 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.27 เป็นผล จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.23 โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ HDD และ other IC และสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าบางรายการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ
- มูลค่าส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนกันยายน 2550 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 2.64 และปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.59 โดยมูลค่าการส่งออกรวม มีมูลค่า 3,963.48 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดที่ส่งออกขยายตัวได้แก่
ตลาดอียูโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และตลาดจีนที่มีความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างสูง
1.การผลิต
ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกันยายน 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 338.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.97 ขณะที่ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.27 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.23 โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ HDD และ other IC และสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าบางรายการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ โดยในส่วน HDD เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.96 เนื่องจากภาวะความต้องการของตลาดโลกของสินค้าเทคโนโลยีค่อนข้างสูง แต่สภาพการแข่งขันของชิ้นส่วนค่อนข้างสูงในตลาดทำให้มีการแข่งขันด้านราคามากขึ้น และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมากทำให้รุ่นเก่าๆอาจราคาตกต่ำเร็วมาก แต่เนื่องจากความหลากหลายและผสมผสานฟังก์ชั่นต่างๆในเครื่องเดียวกันทำให้ราคาสินค้าสำเร็จรูปสูงขึ้น
2. การตลาด
มูลค่าส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนกันยายน 2550 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 2.64 และปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.59 โดยมูลค่าการส่งออกรวม มีมูลค่า 3,963.48 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดที่ส่งออกขยายตัวได้แก่ ตลาดอียูโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และตลาดจีนที่มีความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างสูง สำหรับมูลค่าการส่งออกรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วง 9 เดือนแรก (เดือนม.ค.-ก.ย.50) มีมูลค่า 33,137.92 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.93 จากมูลค่าส่งออกและการขยายตัวเพิ่มขึ้นของเครื่องปรับอากาศ เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับตัดต่อป้องกันวงจรไฟฟ้า ตู้เย็น กล้องถ่ายโทรทัศน์ กล้องถ่ายบันทึกวีดีโอ เตาอบไมโครเวฟ อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ IC และเครื่องส่ง-เครื่องรับวิทยุโทรเลข วิทยุโทรศัพท์ 6.59 โดยมูลค่าการส่งออกรวม มีมูลค่า
ตลาดที่มีการขยายตัวในช่วง 9 เดือนแรก ได้แก่ อียู จีน และตะวันออกกลาง ขยายตัว 22.76% 39.38% และ24.65%ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่างอียูค่อนข้างดี และสภาพอากาศที่ร้อนทำให้เครื่องปรับอากาศที่ส่งออกไปอียูเป็นสินค้าหลักที่ทำให้การขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพทำให้คู่ค้าหันกลับมาซื้อไทยหลังจากสั่งซื้อจากจีน
3. แนวโน้ม
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาส 4 ปี2550 ประมาณการจากแบบจำลองภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าปริมาณการจำหน่ายของเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยดูจากดัชนีการส่งสินค้า ขยายตัวเล็กน้อยประมาณร้อยละ 2-4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดในประเทศชะลอตัว และสินค้าบางชนิด เช่น เครื่องปรับอากาศชะลอลงตามฤดูกาล ประกอบกับสินค้าในกลุ่มภาพและเสียงในช่วงไตรมาส 4 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณการว่า เครื่องรับโทรทัศน์สีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับ 21 นิ้ว จะปรับตัวลดลง ร้อยละ 2 ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีเดิมไปเป็นเทคโนโลยีใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดส่งออกโดยเฉพาะในตลาดอียู ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ทำให้ปริมาณจำหน่ายโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น
ตารางที่1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลักที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับต้นๆ ในเดือน ก.ย. 2550
เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า CPM CPY
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 1,523.26 0.36 15.14
IC 695.30 -4.92 9.60
เครื่องปรับอากาศ 188.50 -24.48 24.09
เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า 125.24 -20.20 -10.83
รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3,963.48 -2.64 6.59
ขณะที่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงไตรมาส 4 (ต.ค.-ธ.ค.50) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากการส่งออก HDD และ IC ที่ขยายตัวสูงขึ้น โดยประมาณการว่าปี 2550 จะขยายตัวได้ในแง่ของปริมาณจำหน่ายถึงร้อยละ 24.00 และ 9.52 เนื่องจากเศรษฐกิจของตลาดส่งออกที่เป็น คู่ค้าที่สำคัญอย่างกลุ่มอียูขยายตัวดีในปีนี้ ถึงแม้ตลาดสหรัฐจะชะลอตัวลงก็ตาม
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในเดือนกันยายน 2550 มีค่า 181.22 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 (175.94) ร้อยละ 3.0 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.89) ร้อยละ 10.6
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของ ปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมการผลิต เครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ เป็นต้น
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนกันยายน 2550 มีค่า 67.65 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 (66.93) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (68.26)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอ สิ่งทอ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น
สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2550
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2550 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 399 ราย เพิ่มขึ้นในจำนวนที่ น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 401 รายหรือน้อยกว่าร้อยละ -0.50 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุน มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 10,024.81 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งมีการลงทุน 13,175.82 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -23.92 สำหรับการจ้างงานรวมมีจำนวน 8,061 คน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 8,357 คน หรือลดลงร้อยละ -3.54
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 595 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ —32.94 และมีการจ้างงานลดลงจากเดือนกันยายน 2549 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 19,126 คน ร้อยละ -57.85 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุนลดลงจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการลงทุน 31,271.66 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -67.94
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมขุดหรือลอก กรวด ทรายหรือดิน จำนวน 48 ราย รองลงมาคือ อุตสาหกรรมซ่อมยานที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หรือส่วนประกอบ จำนวน 24 ราย
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า มีเงินทุน 1,679 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำชิ้นส่วนพิเศษสำหรับรถยนต์หรือรถพ่วง มีเงินทุน 1,364 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิต ซ่อมเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเรดาร์ คาปาซิเตอร์ 693 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำชิ้นส่วนพิเศษสำหรับรถยนต์หรือรถพ่วง คนงาน 604 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2550 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 112 ราย น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 153 ราย คิดเป็นร้อยละ -26.80 ในส่วนของเงินทุนมีจำนวน 1,395.19 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 2,908.48 ล้านบาท สำหรับการเลิกจ้างงานมีจำนวน 2,453 คน น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งเลิก จ้างงานจำนวน 3,869 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 185 รายคิดเป็นร้อยละ -39.46 ในส่วนการเลิกจ้างงานน้อยกว่าเดือนกันยายน 2549 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 4,781 คน และในส่วนของเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน 2549 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 4,267.49 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิตรองเท้าหรือชิ้นส่วนรองเท้า ซึ่งมิได้ทำจากไม้ ยางอบแข็ง พลาสติก จำนวน 10 ราย รองลงมาคือ อุตสาหกรรมขุดหรือลอก กรวด ทรายหรือดิน และอุตสาหกรรมทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต คอนกรีตผสม ผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม ปูนปลาสเตอร์ทั้ง 2 อุตสาหกรรมเท่ากัน จำนวน 9 ราย
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนกันยายน 2550 คืออุตสาหกรรมทำพลาสติกเป็นเม็ด แท่ง ท่อ หลอด แผ่น ชิ้น ผง หรือรูปทรงต่าง ๆ เงินทุน 512 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต คอนกรีตผสม ผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม ปูนปลาสเตอร์ เงินทุน 180 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิตรองเท้าหรือชิ้นส่วนรองเท้า ซึ่งมิได้ทำจากไม้ ยางอบแข็ง พลาสติกคนงาน 420 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์ คนงาน 306 คน
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2550 มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น 100 โครงการ น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ที่มีจำนวน 149 โครงการ ร้อยละ -32.89 และมีเงินลงทุน 47,600 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ที่มีเงินลงทุน 86,700 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ -45.1
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท.มากกว่าเดือนกันยายน 2549 ที่มีจำนวน 75 โครงการ ร้อยละ 33.34 และมีเงินลงทุนมากกว่าเดือนกันยายน 2549 ที่มีเงินลงทุน 8,900 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 434.83
- การกระจายหุ้นของโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย.2550
การร่วมทุน จำนวน(โครงการ) มูลค่าเงินลงทุน(ล้านบาท)
1.โครงการคนไทย 100% 351 190,600
2.โครงการต่างชาติ 100% 354 153,700
3.โครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ 312 192,400
- ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย.2550 คือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 144,200 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดเคมี กระดาษ และพลาสติก มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 142,800 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-
ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนกันยายน 2550
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) = 181.22 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 (175.94) ร้อยละ 3.0 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.89) ร้อยละ 10.6
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม 2550 ได้แก่ การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ การผลิตยานยนต์ การผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ การผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ การผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง
- อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย = 67.65 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 (66.93) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของ ปีก่อน (68.26)
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมในเดือนตุลาคม 2550
- อุตสาหกรรมอาหาร คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล ขณะที่
การจำหน่ายสินค้าในประเทศอาจมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
- อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มมีเข้ามาและแผนการผลิตล่วงหน้าสำหรับการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะเสื้อเชิ้ตชายจากผลของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) มีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2550 ขณะที่การจำหน่ายสินค้าในประเทศ จะเพิ่มเพียงเล็กน้อยหรือทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภคยังชะลอการใช้จ่าย
- อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กในเดือน ตุลาคม 2550 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในส่วนของการผลิตเหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่าจะยังคงทรงตัวเนื่องจากการทรงตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่เหล็กทรงแบนคาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ตามความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังคงมีอยู่
- อุตสาหกรรมยานยนต์ ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2550 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2550 เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลขาย สำหรับการจำหน่ายในเดือนตุลาคมประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 50 และส่งออกร้อยละ 50
- อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ในเดือนตุลาคม และเดือนพฤศจิกายน 2550 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเพิ่มการผลิตเพื่อรองรับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความชัดเจนทางการเมืองเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักยังคงขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ แนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาส 4 ปี 2550 ประมาณการจากแบบจำลองภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าปริมาณการจำหน่ายของเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยดูจากดัชนีการส่งสินค้า ขยายตัวเล็กน้อยประมาณร้อยละ 2-4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดในประเทศชะลอตัว และสินค้าบางชนิด เช่น เครื่องปรับอากาศชะลอลงตามฤดูกาล ประกอบกับสินค้าในกลุ่มภาพและเสียงในช่วงไตรมาส 4 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณการว่า เครื่องรับโทรทัศน์สีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับ 21 นิ้ว จะปรับตัวลดลง ร้อยละ 2 ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีเดิมไปเป็นเทคโนโลยีใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดส่งออกโดยเฉพาะในตลาดอียู ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ทำให้ปริมาณจำหน่ายโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในช่วงไตรมาส 4 (ตุลาคม- ธันวาคม 2550) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากการส่งออก HDD และ IC ที่ขยายตัวสูงขึ้น โดยประมาณการว่าปี 2550 จะขยายตัวได้ในแง่ของปริมาณจำหน่ายถึงร้อยละ 24.00 และ 9.52 เนื่องจากเศรษฐกิจของตลาดส่งออกที่เป็นคู่ค้าที่สำคัญอย่างกลุ่มอียูขยายตัวดีในปีนี้ ถึงแม้ตลาดสหรัฐจะชะลอตัวลงก็ตาม
ดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 3 ปี 2550
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 174.8 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (162.3) ร้อยละ 7.7 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (160.10) ร้อยละ 9.2
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวน (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.5 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชี และเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรมโดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 67.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (64.8) แต่ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (68.0)
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ยกเว้นปุ๋ยและสารประกอบไนโตรเจน อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 65.76 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2549 (67.74) โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทอ และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม)
ส.ค. 50 = 175.94
ก.ย. 50 = 181.22
โดยอุตสาหกรรมหลัก ที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ การ - ผลิตยานยนต์
- การผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์
- อัตราการใช้กำลังการผลิต
ส.ค. 50 = 66.93
ก.ย. 50 = 67.65
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตยานยนต์
- การผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง การ - จัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทอ
1. อุตสาหกรรมอาหาร
ภาวะการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรม อาหารคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน สำหรับการจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย จากการปรับขึ้นราคาน้ำมัน
1. การผลิต
ภาวะการผลิตโดยรวม (ไม่รวมน้ำตาล) ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 14.5 แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 3.9 โดยปริมาณสินค้าที่ผลิตเพื่อส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน
ได้แก่ แป้งมันสำปะหลัง ร้อยละ 25.5 กุ้งแช่เย็นแช่แข็งร้อยละ 37.4 และสับปะรดกระป๋อง ร้อยละ 32.5 เนื่องจากวัตถุดิบขาดแคลน ในส่วนการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการในประเทศ สินค้าน้ำมันปาล์มและอาหารไก่ มีการผลิตลดลงจากปีก่อนร้อยละ 3.2และ 13.8 ตามลำดับ สำหรับน้ำมันถั่วเหลืองมีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.2
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ สินค้าอาหารและเกษตร มีปริมาณจำหน่ายลดลงจากเดือนก่อนและปีก่อนร้อยละ 10.9 และ 2.0 จากราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นในช่วงเทศกาลถือศีลกินเจ และจากความกังวลในภาวะเศรษฐกิจที่ยังซบเซาเมื่อเทียบกับปีก่อน ทำให้ผู้บริโภคยังคงชะลอการจับจ่ายใช้สอย
2) ตลาดต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อน ร้อยละ 0.5 และ 3.7 เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลที่คำสั่งซื้อต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น สินค้าไก่แปรรูป เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.0 อย่างไรก็ตามผลจากการแข็งค่าของเงินบาท ประกอบกับการขาดแคลนวัตถุดิบ ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอื่นๆ ของไทย ได้แก่ สับปะรดกระป๋อง และกุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงจากปีก่อนร้อยละ 40.5 และ 7.3 ตามลำดับ นอกจากนี้การส่งออกน้ำตาลมีมูลค่าส่งออกลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 57.3 เนื่องจากราคาตลาดโลกตกต่ำ
3. แนวโน้ม
คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มเข้าสู่ฤดูกาล ขณะที่การจำหน่ายสินค้าในประเทศอาจมีแนวโน้มทรงตัวหรือปรับลดลงเล็กน้อยจากเดือนก่อน จากระดับราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
..ปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มมีเข้ามาและแผนการผลิตล่วงหน้าสำหรับส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะเสื้อเชิ้ตชายจากผลข้อตกลง JTEPA...
1. การผลิต
การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯ เดือนกันยายน ลดลงร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และร้อยละ 12.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขณะที่การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจาก ผ้าทอที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และร้อยละ 7.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าก่อนเทศกาลคริสต์มาสและปีใหม่ที่จะมาถึง ประกอบกับผู้ประกอบการมีแผนเพิ่มการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นมากขึ้น จากผลของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) ซึ่งมีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 พ.ย. 2550
2. การตลาด
การจำหน่ายในประเทศ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอส่วนใหญ่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน ยกเว้นเพียงเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าทอ
การส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอเดือนกันยายน ส่วนใหญ่ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ ผ้าผืน ด้าย และเส้นใยประดิษฐ์ เส้นใยประดิษฐ์และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ลดลงร้อยละ 4.0, 7.4, 15.0 และ 19.9 ลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา ร้อยละ 15.6 ตลาดสหภาพยุโรป ร้อยละ 14.8 อาเซียน ร้อยละ 13.8 และญี่ปุ่นร้อยละ 6.6 เป็นผลจากการแข็งค่าของเงินบาท
3. แนวโน้ม
คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนเป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เริ่มมีเข้ามาและแผนการผลิตล่วงหน้าสำหรับส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะเสื้อเชิ้ตชายจากผลของข้อตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจไทย-ญี่ปุ่น(JTEPA) มีผลเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 1 พ.ย. 2550 ขณะที่การจำหน่ายสินค้าในประเทศ จะเพิ่มเพียงเล็กน้อยหรือทรงตัว เนื่องจากผู้บริโภคยังชะลอการใช้จ่าย
3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
1.การผลิต
จากรายงานของบริษัทที่ปรึกษา McKinsey เชื่อว่า สมดุลของอุปสงค์/อุปทานจะดีขึ้นในระยะกลาง จากการลงทุนใหม่ในเหมืองแร่เหล็กและถ่านหิน จึงทำให้ราคาของวัตถุดิบจะยังคงสูงในระยะใกล้ และในอนาคตคาดการณ์ว่าราคาอาจจะลดลง นอกจากนี้ McKinsey ยังเตือนว่าจาก กำลังการผลิตเหล็กที่กำลังขยายตัวตามความต้องการใช้อยู่ อาจทำให้เกิดกำลังการผลิตส่วนเกินได้ในปี 2553
ภาวะการผลิตเหล็กในช่วงเดือน ก.ย. 50 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ร้อยละ 1.28 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 132.18 เมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวมีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.06 โดยเหล็กเส้นข้ออ้อยและเหล็กเส้นกลมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 18.98 และ 17.36 ตามลำดับ เนื่องจากเมื่อเดือนที่แล้วผู้ผลิตบางรายได้หยุดการผลิตลงเป็นระยะสั้นๆ เนื่องจากเครื่องจักรบางตัวมีปัญหา ประกอบกับต้องการที่จะระบายสินค้าคงคลัง จึงมีผลทำให้ปริมาณการผลิตในเดือนที่แล้วลดลง แต่ในเดือนนี้การผลิตเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ จึงทำให้การเปลี่ยนแปลงของปริมาณการผลิตในเดือนนี้เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนที่แล้วปรับตัวสูงขึ้น สำหรับเหล็ก ทรงแบนมีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 2.92 โดยเหล็กแผ่นรีดเย็นมีการผลิตที่ลดลงมากที่สุด ร้อยละ 23.49 และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี มีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 16.70 เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศที่ลดลง
ขณะเดียวกันเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ภาวะการผลิตลดลง ร้อยละ 3.24 โดยเหล็กทรงยาว ได้แก่ เหล็กเส้นข้ออ้อยและเหล็กเส้นกลมมีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 21.81 และ 13.75 ตามลำดับ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากเมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา ราคาวัตถุดิบคือเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ตปรับตัวสูงขึ้น ขณะที่ราคาผลิตภัณฑ์เหล็ก คือ เหล็กเส้นข้ออ้อยและเหล็กเส้นกลมไม่สามารถปรับราคาขึ้นได้ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความต้องการใช้ในประเทศที่ชะลอตัวลงและการแข่งขันทางการตลาดของผู้ค้า จึงมีผลทำให้ผู้ผลิตบางรายชะลอการผลิตลงเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเกรงว่าจะไม่คุ้มต้นทุนในการผลิต สำหรับเหล็กทรงแบน ได้แก่ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุกและเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี มีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 46.21 และ 14.17 ตามลำดับ
2.ราคาเหล็ก
การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (Black Sea) ในช่วงเดือนตุลาคม 2550 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ราคาโดยเฉลี่ยของวัตถุดิบสำหรับเหล็กทรงแบนและผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนเพิ่มขึ้น โดย เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้นจาก 564 เป็น 588 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.21 รองลงมาคือ เหล็กแท่งแบน เพิ่มขึ้นจาก 529 เป็น 530 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.24 เหล็กแผ่นรีดเย็นมีราคาที่ทรงตัวคือ 635 เหรียญสหรัฐต่อตัน แต่วัตถุดิบสำหรับเหล็กทรงยาวและผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวกลับมีราคาที่ลดลง โดยเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ต ลดลงจาก 520 เป็น 504 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลง ร้อยละ 3.13 เหล็กเส้น ลดลงจาก 566 เป็น 555 เหรียญสหรัฐต่อตัน ลดลงร้อยละ 1.99 โดยคาดการณ์ว่าในระยะสั้นราคาวัตถุดิบในการผลิตเหล็กส่วนใหญ่ จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไป เนื่องจากผู้ผลิตหลายรายในตลาดโลกมีการขยายกำลังการผลิตจึงทำให้แข่งกันซื้อวัตถุดิบ นอกจากนี้จากรายงานของบริษัทที่ปรึกษา McKinsey เชื่อว่า สมดุลของอุปสงค์/อุปทานจะดีขึ้นในระยะกลาง จากการลงทุนใหม่ในเหมืองแร่เหล็กและถ่านหิน จึงทำให้ ราคาของวัตถุดิบจะยังคงสูงในระยะใกล้ และในอนาคตคาดการณ์ว่าราคาอาจจะลดลง สุดท้าย McKinsey เตือนว่าจากกำลังการผลิตเหล็กที่กำลังขยายตัวตามความต้องการใช้อยู่ อาจทำให้เกิดกำลังการผลิตส่วนเกินได้ในปี 2553
3. แนวโน้ม
สถานการณ์เหล็กในเดือน ต.ค. 2550 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในส่วนของการผลิตเหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่าจะยังคงทรงตัวเนื่องจากการทรงตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทั้งโครงการของภาครัฐและภาคเอกชน ขณะที่เหล็กทรงแบน คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อย ตามความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ยานยนต์และเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ยังคงมีอยู่
4. อุตสาหกรรมยานยนต์
รถยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนกันยายน 2550 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนกันยายน ดังนี้
- การผลิตรถยนต์ จำนวน 117,171 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการผลิต 103,219 คัน ร้อยละ 13.52 และมีปริมาณการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 7.02
- การจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 53,491 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการจำหน่าย 49,383 คัน ร้อยละ 8.32 แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 1.24
- การส่งออกรถยนต์ จำนวน 64,563 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการส่งออก 49,804 คัน ร้อยละ 29.63 โดยส่วนหนึ่งเป็นผลจากการส่งออกรถยนต์ตามคำสั่งซื้อที่คงค้างอยู่ของผู้ประกอบการรายหนึ่ง แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 1.63
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนตุลาคม 2550 คาดว่าจะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2550 เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลขาย สำหรับการจำหน่ายในเดือนตุลาคมประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 50 และส่งออกร้อยละ 50
รถจักรยานยนต์
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนกันยายน 2550 ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 อันเนื่องมาจากการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ภายในประเทศที่ยังชะลอตัว อย่างไรก็ดี การส่งออกรถจักรยานยนต์ยังสามารถขยายตัวได้ โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนกันยายน ดังนี้
- การผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 124,347 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการผลิต 159,778 คัน ร้อยละ 22.18 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 5.82
- การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จำนวน 117,210 คัน ลดลงจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการจำหน่าย 159,430 คัน ร้อยละ 26.48 และลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 14.27
- การส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU) มีจำนวน 7,145 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการส่งออก 6,427 คัน ร้อยละ 11.17 แต่ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ร้อยละ 0.89 โดยประเทศที่มีการนำเข้ารถจักรยานยนต์จากไทยสูง 3 อันดับแรก คือ เนเธอร์แลนด์, สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย ตามลำดับ
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนตุลาคม 2550 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกันยายน 2550
5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
“การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ ในประเทศชะลอตัวลง เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคง ซบเซา สำหรับการส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักในแถบอาเซียนขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ
เดือนกันยายน 2550 ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ลดลงร้อยละ 6.28 และ 2.09 ตามลำดับ และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ ลดลงร้อยละ 7.23 และ 12.69 ตามลำดับ การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศลดลงตามการบริโภคและการลงทุนในประเทศที่ชะลอตัวลง เนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจ
2.การส่งออก
มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์เดือนกันยายน 2550 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.67 และ 26.81 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา ลาว และพม่ายังคงขยายตัวได้ดี
3.แนวโน้ม
ในเดือนตุลาคม และเดือนพฤศจิกายน 2550 คาดว่าการผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการเพิ่มการผลิตเพื่อรองรับความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความชัดเจนทางการเมืองเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนภายในประเทศเพิ่มขึ้น สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักยังคงขยายตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกันยายน 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.27 เป็นผล จากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.23 โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ HDD และ other IC และสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าบางรายการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ
- มูลค่าส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนกันยายน 2550 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 2.64 และปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.59 โดยมูลค่าการส่งออกรวม มีมูลค่า 3,963.48 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดที่ส่งออกขยายตัวได้แก่
ตลาดอียูโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และตลาดจีนที่มีความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างสูง
1.การผลิต
ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนกันยายน 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 338.50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.97 ขณะที่ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.27 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.23 โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ HDD และ other IC และสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าบางรายการที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ โดยในส่วน HDD เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.96 เนื่องจากภาวะความต้องการของตลาดโลกของสินค้าเทคโนโลยีค่อนข้างสูง แต่สภาพการแข่งขันของชิ้นส่วนค่อนข้างสูงในตลาดทำให้มีการแข่งขันด้านราคามากขึ้น และเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมากทำให้รุ่นเก่าๆอาจราคาตกต่ำเร็วมาก แต่เนื่องจากความหลากหลายและผสมผสานฟังก์ชั่นต่างๆในเครื่องเดียวกันทำให้ราคาสินค้าสำเร็จรูปสูงขึ้น
2. การตลาด
มูลค่าส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนกันยายน 2550 ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 2.64 และปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.59 โดยมูลค่าการส่งออกรวม มีมูลค่า 3,963.48 ล้านเหรียญสหรัฐ ตลาดที่ส่งออกขยายตัวได้แก่ ตลาดอียูโดยเฉพาะเครื่องปรับอากาศ และตลาดจีนที่มีความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ค่อนข้างสูง สำหรับมูลค่าการส่งออกรวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วง 9 เดือนแรก (เดือนม.ค.-ก.ย.50) มีมูลค่า 33,137.92 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.93 จากมูลค่าส่งออกและการขยายตัวเพิ่มขึ้นของเครื่องปรับอากาศ เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับตัดต่อป้องกันวงจรไฟฟ้า ตู้เย็น กล้องถ่ายโทรทัศน์ กล้องถ่ายบันทึกวีดีโอ เตาอบไมโครเวฟ อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ IC และเครื่องส่ง-เครื่องรับวิทยุโทรเลข วิทยุโทรศัพท์ 6.59 โดยมูลค่าการส่งออกรวม มีมูลค่า
ตลาดที่มีการขยายตัวในช่วง 9 เดือนแรก ได้แก่ อียู จีน และตะวันออกกลาง ขยายตัว 22.76% 39.38% และ24.65%ตามลำดับ ทั้งนี้เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าอย่างอียูค่อนข้างดี และสภาพอากาศที่ร้อนทำให้เครื่องปรับอากาศที่ส่งออกไปอียูเป็นสินค้าหลักที่ทำให้การขยายตัวเพิ่มมากขึ้น และที่สำคัญสินค้าไทยเป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพทำให้คู่ค้าหันกลับมาซื้อไทยหลังจากสั่งซื้อจากจีน
3. แนวโน้ม
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาส 4 ปี2550 ประมาณการจากแบบจำลองภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่าปริมาณการจำหน่ายของเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยดูจากดัชนีการส่งสินค้า ขยายตัวเล็กน้อยประมาณร้อยละ 2-4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดในประเทศชะลอตัว และสินค้าบางชนิด เช่น เครื่องปรับอากาศชะลอลงตามฤดูกาล ประกอบกับสินค้าในกลุ่มภาพและเสียงในช่วงไตรมาส 4 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ประมาณการว่า เครื่องรับโทรทัศน์สีขนาดมากกว่าหรือเท่ากับ 21 นิ้ว จะปรับตัวลดลง ร้อยละ 2 ซึ่งอาจจะเกิดจากการที่อยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงจากเทคโนโลยีเดิมไปเป็นเทคโนโลยีใหม่ด้วย อย่างไรก็ตาม ภาพรวมตลาดส่งออกโดยเฉพาะในตลาดอียู ยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ทำให้ปริมาณจำหน่ายโดยรวมปรับตัวสูงขึ้น
ตารางที่1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลักที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับต้นๆ ในเดือน ก.ย. 2550
เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า CPM CPY
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 1,523.26 0.36 15.14
IC 695.30 -4.92 9.60
เครื่องปรับอากาศ 188.50 -24.48 24.09
เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า 125.24 -20.20 -10.83
รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 3,963.48 -2.64 6.59
ขณะที่ในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ในช่วงไตรมาส 4 (ต.ค.-ธ.ค.50) จะขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้เนื่องจากการส่งออก HDD และ IC ที่ขยายตัวสูงขึ้น โดยประมาณการว่าปี 2550 จะขยายตัวได้ในแง่ของปริมาณจำหน่ายถึงร้อยละ 24.00 และ 9.52 เนื่องจากเศรษฐกิจของตลาดส่งออกที่เป็น คู่ค้าที่สำคัญอย่างกลุ่มอียูขยายตัวดีในปีนี้ ถึงแม้ตลาดสหรัฐจะชะลอตัวลงก็ตาม
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในเดือนกันยายน 2550 มีค่า 181.22 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 (175.94) ร้อยละ 3.0 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.89) ร้อยละ 10.6
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของ ปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมการผลิต เครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ เป็นต้น
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนกันยายน 2550 มีค่า 67.65 เพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 (66.93) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (68.26)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนสิงหาคม 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอ สิ่งทอ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก เป็นต้น
สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนกันยายน 2550
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2550 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 399 ราย เพิ่มขึ้นในจำนวนที่ น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 401 รายหรือน้อยกว่าร้อยละ -0.50 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุน มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 10,024.81 ล้านบาท ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งมีการลงทุน 13,175.82 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -23.92 สำหรับการจ้างงานรวมมีจำนวน 8,061 คน ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2550 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 8,357 คน หรือลดลงร้อยละ -3.54
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 595 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ —32.94 และมีการจ้างงานลดลงจากเดือนกันยายน 2549 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 19,126 คน ร้อยละ -57.85 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุนลดลงจากเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีการลงทุน 31,271.66 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -67.94
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมขุดหรือลอก กรวด ทรายหรือดิน จำนวน 48 ราย รองลงมาคือ อุตสาหกรรมซ่อมยานที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หรือส่วนประกอบ จำนวน 24 ราย
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิต ส่ง หรือจำหน่ายพลังงานไฟฟ้า มีเงินทุน 1,679 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำชิ้นส่วนพิเศษสำหรับรถยนต์หรือรถพ่วง มีเงินทุน 1,364 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิต ซ่อมเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเรดาร์ คาปาซิเตอร์ 693 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำชิ้นส่วนพิเศษสำหรับรถยนต์หรือรถพ่วง คนงาน 604 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2550 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 112 ราย น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 153 ราย คิดเป็นร้อยละ -26.80 ในส่วนของเงินทุนมีจำนวน 1,395.19 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 2,908.48 ล้านบาท สำหรับการเลิกจ้างงานมีจำนวน 2,453 คน น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ซึ่งเลิก จ้างงานจำนวน 3,869 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน 2549 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 185 รายคิดเป็นร้อยละ -39.46 ในส่วนการเลิกจ้างงานน้อยกว่าเดือนกันยายน 2549 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 4,781 คน และในส่วนของเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนกันยายน 2549 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 4,267.49 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิตรองเท้าหรือชิ้นส่วนรองเท้า ซึ่งมิได้ทำจากไม้ ยางอบแข็ง พลาสติก จำนวน 10 ราย รองลงมาคือ อุตสาหกรรมขุดหรือลอก กรวด ทรายหรือดิน และอุตสาหกรรมทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต คอนกรีตผสม ผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม ปูนปลาสเตอร์ทั้ง 2 อุตสาหกรรมเท่ากัน จำนวน 9 ราย
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนกันยายน 2550 คืออุตสาหกรรมทำพลาสติกเป็นเม็ด แท่ง ท่อ หลอด แผ่น ชิ้น ผง หรือรูปทรงต่าง ๆ เงินทุน 512 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต คอนกรีตผสม ผลิตภัณฑ์ยิปซั่ม ปูนปลาสเตอร์ เงินทุน 180 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนกันยายน 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิตรองเท้าหรือชิ้นส่วนรองเท้า ซึ่งมิได้ทำจากไม้ ยางอบแข็ง พลาสติกคนงาน 420 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์ คนงาน 306 คน
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนสิงหาคม 2550 มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น 100 โครงการ น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ที่มีจำนวน 149 โครงการ ร้อยละ -32.89 และมีเงินลงทุน 47,600 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนสิงหาคม 2550 ที่มีเงินลงทุน 86,700 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ -45.1
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนกันยายน 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท.มากกว่าเดือนกันยายน 2549 ที่มีจำนวน 75 โครงการ ร้อยละ 33.34 และมีเงินลงทุนมากกว่าเดือนกันยายน 2549 ที่มีเงินลงทุน 8,900 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 434.83
- การกระจายหุ้นของโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย.2550
การร่วมทุน จำนวน(โครงการ) มูลค่าเงินลงทุน(ล้านบาท)
1.โครงการคนไทย 100% 351 190,600
2.โครงการต่างชาติ 100% 354 153,700
3.โครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ 312 192,400
- ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในช่วงเดือน ม.ค.-ก.ย.2550 คือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 144,200 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดเคมี กระดาษ และพลาสติก มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 142,800 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-