ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2561 ยังคงขยายตัวเป็นบวกต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 นับจากเดือนพฤษภาคม 2560 โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI)ขยายตัวร้อยละ 4.0 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการส่งออกที่ฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจโลกอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมเดือนเมษายน 2561 ขยายตัวร้อยละ 12.2 นอกจากนี้ในด้านของกำลังซื้อในประเทศก็มีทิศทางที่ดีเช่นกัน โดยในเดือนเมษายน 2561 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นอยู่ในระดับสูงสุดในรอบ 40 เดือนนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2558 ทั้งนี้ MPI ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัวร้อยละ 4.1 ซึ่งเป็นการปรับตัวดีขึ้นค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับช่วง 4 เดือนแรกของปี 2560 ที่ MPI หดตัวหรือติดลบร้อยละ 0.3
เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน(%YoY) ย้อนหลัง 3 เดือน MPI เดือนมกราคมเดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม2561 จะเห็นได้ว่าแนวโน้มการผลิตภาคอุตสาหกรรมขยายตัวอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด กล่าวคือ ในเดือนมกราคมมีอัตราการเปลี่ยนแปลงร้อยละ 4.7 เดือนกุมภาพันธ์ร้อยละ4.6 และเดือนมีนาคมร้อยละ 3.2 สะท้อนทิศทางการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมากขึ้น
สำหรับ 3 เดือนที่ผ่านมา เดือนมกราคม เดือนกุมภาพันธ์และเดือนมีนาคม 2561) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ MPI (%MoM) มีอัตราการเปลี่ยนแปลงตามปกติ กล่าวคือ ในเดือนมกราคมมีอัตราการเปลี่ยนแปลงร้อยละ 5.0 เดือนกุมภาพันธ์ร้อยละ -0.1 และเดือนมีนาคม ร้อยละ 10.5 ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลในรอบปี ที่ MPI จะชะลอตัวลงในเดือนกุมภาพันธ์เนื่องจากมีจำนวนวันทำงานน้อยกว่าเดือนอื่นในรอบปี และจะเร่งตัวขึ้นอีกครั้งในเดือนมีนาคมเพื่อรองรับคำสั่งซื้อก่อนที่โรงงานส่วนใหญ่จะปิดทำการช่วงเทศกาลสงกรานต์ในเดือนเมษายน
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนเมษายน 2561 ขยายตัว คือ
- น้ำตาลทรายเพิ่มขึ้นร้อยละ 44.1 จากการขยายพื้นที่เพาะปลูกและสภาพอากาศเอื้ออำนวยต่อการเจริญเติบโตทำให้มีวัตถุดิบอ้อยเข้าสู่โรงงานเป็นจำนวนมาก
- รถยนต์ ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากตลาดในประเทศและตลาดส่งออก เนื่องจากเศรษฐกิจในประเทศทยอยปรับตัวดีขึ้นรวมทั้งผู้บริโภคสิ้นสุดการถือครองรถยนต์ภายใต้โครงการรถยนต์คันแรก ประกอบกับตลาดส่งออกมีการขยายตัวในประเทศแถบตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกาเหนือ อเมริกากลางและอเมริกาใต้ทำให้ยอดขายในประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.2 และการส่งออกขยายตัวร้อยละ 5.3
- เม็ดพลาสติก เพิ่มขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของบางบริษัท รวมถึงผลิตเพื่อรองรับการส่งออกและตลาดในประเทศที่เพิ่มขึ้น ตามความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง อาทิ บรรจุภัณฑ์ ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า
- ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 จาก Hard Disk Drive ที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมยังเติบโตได้ดีและมีความต้องการใช้งานในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
- ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียมจากน้ำมันแก๊สโซฮอล 95 และน้ำมันดีเซลหมุนเร็ว เป็นหลัก ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มการบริโภคน้ำมันในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อการเดินทางคมนาคม
ในส่วนของการคาดการณ์ คาดว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในปี 2561 จะขยายตัวเป็นบวกเฉลี่ยประมาณร้อยละ3.0 (ปี 2560 ขยายตัวร้อยละ 2.5) โดยมีการส่งออกสินค้าและการท่องเที่ยวเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ขยายตัวอย่างชัดเจน ประกอบกับการใช้จ่ายภาครัฐยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ นอกจากนี้ ความคืบหน้าของโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่สำคัญ และการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ คาดว่าจะมีส่วนช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ภาคธุรกิจและกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนในประเทศได้มากขึ้น สำหรับการบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับแรงสนับสนุนจากรายได้ครัวเรือนนอกภาคเกษตรที่มีสัญญาณปรับตัวดีขึ้นตามการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการส่งออก
เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่นๆ เดือนเมษายน 2561
การนำเช้าชองภาคอุตสาหกรรมไทย
+ การนำเข้าเครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบในเดือนเมษายน 2561 มีมูลค่า 1,435.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 13.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการนำเข้าเครื่องยนต์ เพลาส่งกำลัง เครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว เครื่องกังหันไอพ่นและส่วนประกอบ เครื่องจักรใช้ในการแปรรูปโลหะ เครื่องจักรในอุตสาหกรรมการพิมพ์ ที่ขยายตัว
+ การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคา)ในเดือนเมษายน 2561 มีมูลค่า 7,454.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 15.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ตามการนำเข้าเคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ สินแร่โลหะอื่น ๆ และผลิตภัณฑ์ (ทองแดง อลูมิเนียม ดีบุก สังกะสี) ที่ขยายตัว
สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรม
+ จำนวนโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนเมษายน 2561 มีจำนวนทั้งสิ้น 311 โรงงาน ลดลงจากเดือนมีนาคม 2561 ร้อยละ 10.1 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.7 (%YoY)
+ มูลค่าเงินลงทุนรวมจากโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนเมษายน 2561 มีมูลค่ารวม 14,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2561 ร้อยละ 24.9 (%MoM)และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 17.5 (%YoY)
"อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนเมษายน 2561 คือ อุตสาหกรรมขุดตักดินลูกรังในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อนำไปใช้ในการก่อสร้าง และในการพาณิชย์(23 โรงงาน) รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซัม(16 โรงงาน)"
"อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในเดือนเมษายน 2561 คือ อุตสาหกรรมทำน้ำให้บริสุทธิ์ หรือจำหน่ายน้ำไปยังอาคารหรือโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนเงินทุน 1,851.00 ล้านบาท รองลงมาคืออุตสาหกรรมการทำแป้งจำนวนเงินทุน 1,248.6 ล้านบาท"
+ จำนวนโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการในเดือนเมษายน 2561 มีจำนวนทั้งสิ้น 68 ราย ลดลงจากเดือนมีนาคม 2561 ร้อยละ 45.6 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 28.3 (%YoY)
- เงินทุนของการเลิกกิจการในเดือนเมษายน 2561 มีมูลค่ารวม 2,220 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2561 ร้อยละ 19.6 (%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 213.5 (%YoY)
"อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานที่การเลิกกิจการมากที่สุด ในเดือนเมษายน 2561 คือ อุตสาหกรรมการกลึง เจาะ คว้าน กัด ไส เจียน หรือเชื่อมโลหะทั่วไป(7 โรงงาน) และอุตสาหกรรมการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีตผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซัม (6 โรงงาน) "อุตสาหกรรมที่มีการเลิกประกอบกิจการโดยมีเงินลงทุนสูงสุด ในเดือนเมษายน2561 คือ อุตสาหกรรมการทาภาชนะบรรจุมูลค่าเงินลงทุน 748 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการเลื่อย ไส ซอย เซาะร่อง หรือการแปรรูปไม้มูลค่าเงินลงทุน 468 ล้านบาท"
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรายสาขา เดือนเมษายน 2561
1. อุตสาหกรรมอาหาร
+ การผลิตกลุ่มสินค้าอาหารเดือนเมษายน 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น(%YoY) ร้อยละ 46.8 แบ่งเป็น
1) กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดส่งออก คือ น้ำตาลทรายดิบ และแป้งมันสำปะหลัง ปรับตัวเพิ่มขึ้น (%YoY) ร้อยละ 360.0 และ 5.7 ตามลำดับ เพื่อรองรับผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มขึ้นมาก โดยเฉพาะผลผลิตอ้อย ประกอบกับการผลิตทูน่ากระป๋อง ปรับตัวเพิ่มขึ้น (%YoY) ร้อยละ 15.8 จากความกดดันด้านราคาวัตถุดิบและราคาสินค้าคลายตัว ทำให้ประเทศคู่ค้าเพิ่มคำสั่งซื้อมากขึ้น
2) กลุ่มสินค้าที่อิงตลาดภายในประเทศ คือ น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์และน้ำมันปาล์มดิบ การผลิตปรับตัวเพิ่มขึ้น (%YoY) ร้อยละ 13.3 และ 21.3 ตามลำดับ เนื่องจากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการขยายพื้นที่ปลูก ประกอบกับการผลิตไก่แช่แข็งปรับตัวเพิ่มขึ้น(%YoY) ร้อยละ 3.4 จากความต้องการบริโภคปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และการส่งออกไปตลาดจีน (ยูนนาน) ได้เป็นครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
+ การจำหน่ายในประเทศปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารในประเทศ เดือนเมษายน 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น (%YoY) ร้อยละ 13.3 เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มดีขึ้น
+ ตลาดส่งออกภาพรวมมูลค่าการส่งออกสินค้าอาหาร เดือนเมษายน 2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้น (%YoY) ร้อยละ 16.1 ในกลุ่มสินค้าที่สำคัญ เช่น ข้าวหอมมะลิ ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ซาร์ดีนกระป๋อง ผลิตภัณฑ์ข้าว บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูป ปรับตัวเพิ่มขึ้น (%YoY) ร้อยละ 49.6 25.8 25.6 24.5 19.0 18.1 13.9 และ 10.8 ตามลำดับ เนื่องจากการส่งออกที่ฟื้นตัวอย่างเข้มแข็งและต่อเนื่องของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จีน รวมถึง กลุ่มประเทศ CLMV ซึ่งช่วยหนุนความต้องการสินค้าไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม
+ คาดการณ์แนวโน้มคาดว่าการผลิต ในภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารเดือนพฤษภาคม 2561 มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการส่งออกขยายตัวไปยังประเทศคู่ค้าหลักอย่าง ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และ CLMV รวมทั้งการขยายตลาดใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาทิ อาเซียน แอฟริกา และตะวันออกกลาง โดยเฉพาะสินค้าสำคัญ เช่น ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง และไก่แปรรูปที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องด้วยความมั่นใจในมาตรฐานสินค้าไทย และสินค้าประมง อาทิ ทูน่ากระป๋อง และซาร์ดีนกระป๋อง มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากความกังวลด้านราคาวัตถุดิบและราคาสินค้าเริ่มคลายตัว ประกอบกับสินค้าข้าว (ข้าวขาว และข้าวหอมมะลิ) ที่ประเทศคู่ค้ามีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
การผลิต
+ ผลิตภัณฑ์เส้นใยสิ่งทอและ เสื้อผ้าสำเร็จรูปขยายตัว ร้อยละ 4.24 และ 2.52 (%YoY) โดยเป็นการขยายตัวของเส้นใยสิ่งทอในกลุ่มเส้นใยสังเคราะห์ และเส้นใยสมบัติพิเศษต่าง ๆ เช่น เส้นใยคอลลาเจน เส้นใยคาร์บอน เส้นใยอาระมิด(เส้นใยสังเคราะห์ที่มีความแข็งแรง มีคุณสมบัติทนต่อความร้อนการขีดข่วน และแรงอัดกระแทกได้เป็นอย่างดี) เพื่อรองรับการส่งออกที่ขยายตัวในส่วนเสื้อผ้าสำเร็จรูป ขยายตัวตามความต้องการใช้ภายในประเทศ และส่งออกไปยังต่างประเทศ
- ผ้าผืนลดลงร้อยละ 2.78 (%YoY)ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากมีการนำเข้าผ้าผืนจากจีน เข้ามาใช้ในการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป
การจำหน่ายในประเทศ
- กลุ่มเส้นใยสิ่งทอลดลง ร้อยละ 5.43 (%YoY) เนื่องจากมีการนำเข้าผ้าผืนส่วนหนึ่งจากจีนมาใช้ในการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป ส่งผลให้ความต้องการเส้นใยสิ่งทอที่นำไปผลิตผ้าผืนลดลง
+ ผ้าผืนและเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.10 และ13.14 (%YoY) ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการขยายตัวของตลาดออนไลน์
การส่งออก
+ กลุ่มเส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืนและกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูป มีมูลค่าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.90 9.50 และ 0.92 ตามลำดับ โดยเส้นใยสิ่งทอขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 18 นับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2559 โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ คือ เส้นใยประดิษฐ์ และผ้าผืนที่ผลิตจากเส้นใยประดิษฐ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเส้นใยและผ้าผืนที่มีสมบัติพิเศษ ซึ่งไทยมีศักยภาพทั้งในการผลิตและการส่งออก โดยตลาดสำคัญ ได้แก่ เวียดนาม เมียนมา บังคลาเทศ และญี่ปุ่น ในส่วนเสื้อผ้าสำเร็จรูป ตลาดสำคัญ คือ สหรัฐอเมริกาญี่ปุ่น และเบลเยียม
คาดการณ์แนวโน้มเดือนพฤษภาคม 2561
+ แนวโน้มการผลิตกลุ่มเส้นใยสิ่งทอผ้าผืน และกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูปคาดว่า จะขยายตัวจากการส่งออกเส้นใยสังเคราะห์และผ้าผืนที่มีสมบัติพิเศษและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ประเภทชุดชั้นในไปยังตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้และสหภาพยุโรป ที่กำลังขยายตัวจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีทิศทางขยายตัว
3. อุตสาหกรรมยานยนต์
อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์
+ การผลิตรถยนต์ ในเดือนเมษายน ปี 2561 มีจำนวน 134,779 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 30.97 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.87 (%YoY) จากการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถยนต์นั่ง และรถยนต์กระบะ 1 ตัน และอนุพันธ์
+ การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศในเดือนเมษายน ปี 2561 มีจำนวน 79,206 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 16.70 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 25.19 (%YoY) จากการปรับเพิ่มขึ้นของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน รถยนต์เพื่อการพาณิชย์ และรถยนต์ PPV รวมกับ SUV เนื่องจากมีการแนะนำรถยนต์รุ่นใหม่ การลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้ง ผู้บริโภคทยอยสิ้นสุดการถือครองรถยนต์ภายใต้โครงการรถยนต์คันแรก
+ การส่งออกรถยนต์ในเดือนเมษายน ปี 2561 มีจำนวน 72,571 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 34.59(%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 5.29 (%YoY) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 โดยการส่งออกรถยนต์ขยายตัวในประเทศแถบตะวันออกกลาง แอฟริกา อเมริกาเหนือ และอเมริกากลางและใต้
"คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ในเดือนพฤษภาคม ปี 2561 จะขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม ปี 2560 เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจในประเทศ และเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการทยอยสิ้นสุดการถือครองรถยนต์คันแรก"
อุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์
- การผลิตรถจักรยานยนต์ ในเดือนเมษายน ปี 2561 มีจำนวน 127,830 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 28.20 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.59 (%YoY) จากการปรับลดลงของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบเอนกประสงค์ และแบบสปอร์ต
- การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ในเดือนเมษายน ปี 2561 มียอดจำหน่ายจำนวน 121,601 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 26.11 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 1.20 (%YoY)
- การส่งออกรถจักรยานยนต์ ในเดือนเมษายน ปี 2561 มีจำนวน 22,269 คัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 22.95 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.29 (%YoY) โดยตลาดส่งออกมีการชะลอตัวในประเทศสหรัฐอเมริกา เนเธอร์แลนด์ และออสเตรเลีย
"คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนพฤษภาคม ปี 2561 จะชะลอตัวเมื่อเทียบกับเดือนพฤษภาคม ปี 2560"
4. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์รวม
- การผลิตปูนซีเมนต์รวมในเดือนเมษายน ปี 2561 มีจำนวน 6.67 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 17.73 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.19 (%YoY) เนื่องจากตลาดในประเทศยังขยายตัวได้ไม่มากประกอบกับมีการผลิตเพิ่มขึ้นมากในเดือนก่อนหน้าเพื่อรองรับความต้องการใช้ที่คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น
+ การจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมในประเทศในเดือนเมษายน ปี 2561 มีปริมาณการจำหน่าย 2.58 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 24.54 (%MoM) แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนขยายตัวร้อยละ 1.71 (%YoY)
+ การส่งออกปูนซีเมนต์รวมในเดือนเมษายนปี 2561 มีจำนวน 1.05 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมีนาคมปี 2561 ร้อยละ 20.73 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.84 (%YoY) เป็นผลจากตลาดส่งออกหลักปรับเพิ่มคำสั่งซื้อ ได้แก่ ฟิลิปปินส์ เมียนมา และบังคลาเทศ ร้อยละ 969.87 6.29 และ 3.97 ตามลำดับ
+ คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์รวมในเดือนพฤษภาคมปี 2561 คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามความคาดหวังว่าการลงทุนโครงการก่อสร้างด้านสาธารณูปโภคภาครัฐจะมีความคืบหน้าได้มากขึ้น
อุตสาหกรรมซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด)
- การผลิตซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนเมษายน ปี 2561 มีจำนวน 3.20 ล้านตันลดลงจากเดือนมีนาคม ปี 2561 ร้อยละ 18.61 (%MoM)และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.11 (%YoY)
+ การจำหน่ายซีเมนต์(ไม่รวมปูนเม็ด) ภายในประเทศในเดือนเมษายนปี 2561 มียอดจำหน่ายจำนวน 2.58 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมีนาคมปี 2561 ร้อยละ 23.72 (%MoM) แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.34 (%YoY) เนื่องจากความต้องการในตลาดค่อนข้างทรงตัวและยังคงมีการแข่งขันในตลาดสูง
- การส่งออกซีเมนต์(ไม่รวมปูนเม็ด)ในเดือนเมษายน ปี 2561 มีจำนวน 0.42 ล้านตันลดลงจากเดือนมีนาคมปี 2561 ร้อยละ 26.21 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 13.07 (%YoY) เป็นผลจากตลาดส่งออกหลักปรับลดคำสั่งซื้อลง ได้แก่ กัมพูชา และเวียดนาม ร้อยละ 7.17 และ 61.86 ตามลำดับ
+ คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์(ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนพฤษภาคม ปี 2561 คาดว่าจะเริ่มปรับตัวดีขึ้น
5. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
อุตสาหกรรมไฟฟ้า
- การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าปรับตัวลดลงร้อยละ 2.04 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 118.58 สินค้าที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ ตู้เย็น หม้อหุงข้าว คอมเพรสเซอร์ เครื่องปรับอากาศ และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยลดลงร้อยละ 17.13, 17.13, 10.22, 5.87 และ 1.75 ตามลำดับ โดยตู้เย็นมีการผลิตที่ลดลงเนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลงเช่น ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาส่วนหม้อหุงข้าว คอมเพรสเซอร์ เครื่องปรับอากาศ และมอเตอร์ไฟฟ้ามีการผลิตลดลงจากความต้องการในประเทศที่ลดลง รวมถึงความไม่แน่นอนและการเปลี่ยนแปลงมาตรการและนโยบายด้านการค้าของประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา จีน เป็นต้น ทำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังในการผลิตสินค้าในขณะที่สินค้าที่มีการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่ กระติกน้ำร้อน เครื่องซักผ้า สายไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ และพัดลมตามบ้าน โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 50.80, 29.22, 14.34, 0.32 และ 0.27 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มขึ้นส่วนสายไฟฟ้ามีการใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ
+ การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้ามีมูลค่าการส่งออก 1,860.35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.15 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดหลัก ได้แก่ จีน อาเซียน สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น โดยเครื่องปรับอากาศมีมูลค่าส่งออก 400.10 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.61 เครื่องอุปกรณ์สำหรับป้องกันวงจรไฟฟ้าและส่วนประกอบมีมูลค่าส่งออก 122.66 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.76 ในขณะที่ตู้เย็นมีมูลค่าส่งออก 107.31 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 14.79
"คาดการณ์การผลิตเดือนพฤษภาคม 2561 อุตสาหกรรมไฟฟ้าคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 1.88 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากเครื่องซักผ้ามีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นในตลาดญี่ปุ่นและสายไฟฟ้าที่ใช้ในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ ในขณะที่สินค้าเครื่องปรับอากาศการจำหน่ายในประเทศและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศยังชะลอตัว"
อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
+ การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.03 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนโดยมีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 97.80 เนื่องจากกลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์หลัก ได้แก่ HDD,MonoIithic IC, Semiconductor และ PCBA เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.09,18.33, 9.81 และ 9.53 ตามลำดับ ตามการขยายตัวของสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก โดย IC ปรับตัวเพิ่มขึ้นเนื่องจากใช้เป็นชิ้นส่วนสำคัญในการพัฒนาสินค้าที่มีการใช้เทคโนโลยีสูง รวมถึงนำไปใช้เป็นชิ้นส่วน Smart phone, TabIet ส่วน HDD มีการพัฒนาให้มีความจุมากขึ้นเพื่อใช้ใน CIoud Storage
+ การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่าการส่งออก 2,756.85 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.72 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากตลาดหลักทั้งหมดปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ จีน ญี่ปุ่น อาเซียน สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีมูลค่าการส่งออกสูงสุด คือ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีมูลค่าส่งออก 1,154.66 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.51 รองลงมาคือ วงจรรวม (IC) มีมูลค่าส่งออก 606.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.97
"คาดการณ์การผลิตเดือนพฤษภาคม 2561 ดัชนีผลผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.55 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์และวงจรรวมที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง"
6. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
- ดัชนีการผลิต ในเดือนเมษายนปี 2561 มีค่า 107.95 ลดลงร้อยละ 1.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเมื่อพิจารณาตามผลิตภัณฑ์หลัก คือ เหล็กทรงแบนและเหล็กทรงยาว พบว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน ลดลงร้อยละ 2.34 เป็นผลมาจากการลดลงของเหล็กแผ่นเคลือบโครเมียมซึ่งลดลง ร้อยละ 38.50 รองลงมา ได้แก่ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นรีดเย็น ลดลงร้อยละ 18.07 และ 13.86 ตามลำดับ โดยเหล็กแผ่นเคลือบโครเมียมลดลงติดต่อกันเป็นระยะเวลา 12 เดือน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2560 - เมษายน 2561 สาเหตุที่การผลิตลดลง เนื่องจากมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากประเทศจีน เกาหลีใต้ ไต้หวัน ส่งผลให้ผู้ผลิตไทยไม่สามารถแข่งขันด้านราคาได้ จึงมีผลทำให้การผลิตปรับตัวลดลง ส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว ลดลงร้อยละ 0.03 โดยเหล็กเส้นข้ออ้อย ลดลงร้อยละ 27.09 ซึ่งลดลง 7 เดือนติดต่อกันตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 - เมษายน 2561 รองลงมาคือเหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรีดเย็น ลดลงร้อยละ 7.78 เนื่องจากอุตสาหกรรมก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ อยู่ในช่วงชะลอตัวประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตบางรายชะลอการผลิต สำหรับเหล็กเส้นกลม เพิ่มขึ้นร้อยละ 32.16 เนื่องจากงานก่อสร้างขนาดเล็ก เช่น การสร้างที่อยู่อาศัยไม่เกิน 2 ชั้น ในประเทศยังมีแนวโน้มเติบโต
- การจำหน่ายในประเทศ ในเดือนเมษายนปี 2561 มีปริมาณ 1.38 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 0.15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนสำหรับเหล็กทรงยาว มีปริมาณ 0.34 ล้านตัน ลดลงร้อยละ 38.90 โดยเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ลดลงร้อยละ 59.03 ซึ่งลดลงเป็นเดือนที่ 2 เนื่องจากการนำเข้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ชนิด StainIess steeI และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ชนิด Carbon steeI ที่ลดลงร้อยละ 100.00 และ 44.74 ตามลำดับสำหรับเหล็กทรงแบนมีปริมาณ 1.04 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.90 โดยเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.49 รองลงมา ได้แก่เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดบาง เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นรีดเย็น ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.25 17.93 และ 15.17 ตามลำดับ
+ การนำเข้า ในเดือนเมษายน 2561 การนำเข้ามีปริมาณ 1.06 ล้านตันเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนโดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบนมีปริมาณ 0.85 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.63 เนื่องจากปริมาณการนำเข้าเหล็กแผ่นเคลือบโครเมียม (Tin Free) เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดหนา (Carbon SteeI) เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี (EG) เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดบาง (Carbon SteeI) เพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 86.26 81.41 77.85 และ 65.84 ตามลำดับ ส่วนเหล็กทรงยาวมีปริมาณ 0.22 ล้านตัน เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.47 เนื่องจากการนำเข้าเหล็กโครงสร้างรูปพรรณรีดร้อน ชนิด AIIoy SteeI เหล็กลวด และเหล็กเส้นชนิด Carbon SteeI เพิ่มขึ้น ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 856.54 33.73 และ 32.43 ตามลำดับ
"แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนพฤษภาคม 2561 คาดการณ์ว่า การผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.94 โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.31 ขณะที่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบนเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.21 สำหรับการจำหน่ายภายในประเทศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.74 เนื่องจากอุตสาหกรรมต่อเนื่องเริ่มฟื้นตัว นอกจากนี้ ยังมีประเด็นที่น่าติดตามเกี่ยวกับมาตรการทางการค้าของสหรัฐฯ ที่น่าจะยังเป็นอุปสรรคสำหรับผู้ผลิตเหล็กและอุตสาหกรรมต่อเนื่องในด้านการส่งออกอย่างไรก็ตามมีสินค้าเหล็กบางผลิตภัณฑ์ เช่น ท่อเหล็ก ได้รับการยกเว้นการจัดเก็บภาษีแล้ว แต่ต้องมีกระบวนการให้ผู้นำเข้าของสหรัฐฯ ทำเรื่องยื่นขออนุญาตกับกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ในทุกรอบการนำเข้า สำหรับการยกเว้นภาษีรายประเทศยังอยู่ระหว่างการพิจารณา"
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม