เศรษฐกิจโลก
เศรษฐกิจของโลกในปี 2550 คาดว่าขยายตัวร้อยละ 5.2 โดยการขยายตัวของความต้องการภายในประเทศจากกลุ่มประเทศยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย ยุโรปตะวันออก จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนจะเป็นแรงผลักที่ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวแทนประเทศสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามนอกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อยู่ในภาวะชะลอตัวรวมถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก และความผันผวนในตลาดเงินเนื่องจากภาวะไม่สมดุลของทุนบัญชีเดินสะพัดในระดับโลก อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินเฟ้อในปี 2550 คาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 1.9
สถานการณ์การเงินโลก ภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลของวิกฤติ Sub-prime ราคาบ้านที่เริ่มชะลอตัว และราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรลล์ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งนักลงทุนต่างได้เปลี่ยนไปลงทุนในเงินสกุลอื่นเพื่อลดความเสี่ยง
คาดว่าราคาน้ำมันจะแกว่งตัวขึ้นลงอยู่ในระดับสูง จากข่าวรายวันที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานน้ำมันในตลาด ราคาน้ำมันอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะอุปทานน้ำมันดิบตึงตัว เนื่องจากโรงกลั่นหลายแห่งเพิ่มกำลังการผลิต Distillates มาอยู่ในระดับสูงสุด เพื่อรองรับความต้องการใช้ในฤดูหนาว ในขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ (ณ. 16 พ.ย.50) ลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่าปริมาณสำรองของปีก่อน 2% ขณะที่อุปสงค์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% ทางกลุ่ม OPEC อาจปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันในปี 2551 หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายน้ำมันของผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม หากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีนในปี 2551 ลดลงจากปี 2550 อาจทำให้ความต้องการใช้พลังงานในประเทศดังกล่าวลดลง และเป็นปัจจัยส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงได้
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ในปี 2550 IMF คาดว่า GDP จะขยายตัวร้อยละ 1.9 โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 2.1 เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนหลักขยายตัวดีกว่าที่เคยประมาณการไว้ โดยการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในไตรมาส 3 อยู่ที่ร้อยละ 2.7 และการส่งออกขยายตัวร้อยละ 18.9 อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่ปัญหา Subprime Mortgage Loans ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงผันผวนอยู่ในระดับสูง สาเหตุดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชะลอตัวจากปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 3.5
ทางด้านสถานการณ์การเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ณ 31 ตค. 50) อยู่ที่ร้อยละ 4.5 (Fed) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูงเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลสหรัฐฯ มีภาระหนี้สูงถึง 9.086 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสาเหตุมาจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวไม่มากนักและสหรัฐฯ มีการใช้จ่ายในการสู้รบเพื่อป้องกันการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจจีน
เศรษฐกิจของประเทศจีนในปี 2550 IMF คาดว่า GDP จะขยายตัวร้อยละ 11.5 โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาเศรษฐกิจประเทศจีนขยายร้อยละ 11.5 ยังคงขยายตัวอย่างร้อนแรง เป็นผลมาจากการลงทุน การบริโภคและการส่งออกเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยภาคการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.1 การใช้จ่ายเพิ่มการบริโภคในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง มูลค่าการค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.9 ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรขยายตัวร้อยละ 25.7 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 88,953.32 ร้อยล้านหยวน และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 10.9 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 96.5 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 6.5
เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจจีนขยายตัวสูงถึงร้อยละ 11.5 ในไตรมาส 3 ของปี 2550 ซึ่งเป็นอัตราที่สูง ทำให้ธนาคารกลางของจีนต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เพื่อควบคุมเศรษฐกิจให้ขยายตัวช้าลง และป้องกันภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ที่อาจเกิดขึ้น
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2550 IMF คาดว่า GDP จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.0 ยังคงขยายตัวอยู่ในระดับที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรก GDP ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ดัชนีการผลิตของอุตสาหกรรม เดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เนื่องจากการส่งออกเครื่องจักรและรถยนต์ไปสาธารณรัฐประชาชนจีนและยุโรปเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานเดือนตุลาคม อยู่ที่ร้อยละ 4 เท่ากับเดือนก่อนหน้า เนื่องจากต้องการลดต้นทุนลงจากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนตุลาคมอยู่ที่ 100.9 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ราคาสินค้าผลิตจากน้ำมันแพงขึ้นด้วย การเกินดุลการค้าประจำเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มียอดมูลค่าการเกินดุลการค้าทั้งสิ้น 1.02 ล้านล้านเยน แสดงว่าปัญหา Sub Prime Mortgage ไม่มีผลกระทบต่ออุปสงค์ภายนอกประเทศของญี่ปุ่นแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ จะลดลง แต่การส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน อาเซียน และ สหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถทดแทนการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ลดลงได้ การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9 โดยสาเหตุหลักจากการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6
ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาส 3 ปี 2550 GDP ขยายตัวร้อยละ 2.2 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ซึ่งสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องจากรายได้จากการส่งออกและการใช้จ่ายด้านการลงทุนขยายตัวดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคม 2550 อยู่ที่ร้อยละ 0.3 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 0.1 ต่อปี
ญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนการส่งออกให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้มากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเจริญเติบโตในปัจจุบัน เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอยู่ในภาวะเงินฝืด อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเยนได้แข็งตัวขึ้น นับตั้งแต่เกิดปัญหา Sub Prime Mortgage ในสหรัฐ ค่าเงินเยนแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่าง ๆ ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ปอนด์ ยูโร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินเยนแข็งขึ้นร้อยละ 6 อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight Call) เดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ร้อยละ 0.5
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
เศรษฐกิจสหภาพยุโรปในปี 2550 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.8 เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจของ EU จะได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime ในสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเงินในหลายประเทศอยู่ในภาวะตึงตัว โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา GDP ขยายตัวร้อยละ 2.8 อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจยังขยายตัวดี อันเป็นผลจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ภาคเอกชนยังขยายตัวแข็งแกร่งตามภาวะการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น อัตราการจ้างงานยังเติบโตต่อเนื่องส่งผลให้อัตราการว่างงานลดลง สหภาพยุโรปอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (HICP) เดือนตุลาคมร้อยละ 2.6 มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9
(ECB) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing) (ณ เดือน พย.) อยู่ที่ 4.0 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังมีทิศทางขาขึ้น ปริมาณเงินและสินเชื่อยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในเดือนตุลาคมยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน
เศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย
ฮ่องกง
ภาวะเศรษฐกิจของฮ่องกงในปี 2550 มีการหดตัวลงในไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ของฮ่องกงรองจากจีนชะลอลง ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกลดลง นอกจากนี้การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชนยังชะลอลงด้วย โดยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2550 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและการบริโภคภายในประเทศ ประกอบกับการส่งออกที่ยังขยายตัวอย่างแข็งแกร่งตามการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวดีจากตลาดการจ้างงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจฮ่องกงยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวค่อนข้างดี ทั้งนี้การลดภาษีรายได้บุคคล(Salaries Tex) เป็นเวลา 1 ปีงบประมาณ และลดภาษีอสังหาริมทรัพย์(Property Rate) เป็นเวลา 2 ไตรมาส ได้ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น
ทางด้านการใช้จ่ายของภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 และ 3 เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยไตรมาสที่ 3 มีอัตราการเติบโตสูงกว่าไตรมาสที่ 2 ด้วย
การส่งออกของฮ่องกงขยายตัวขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 เช่นกัน ซึ่งส่งผลให้ 3 ไตรมาสแรกของปี 2550 การส่งออกขยายตัวที่ร้อยละ 9.6 โดยมีการส่งออกหลักในอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเครื่องมือส่วนประกอบสำเร็จ และอุตสาหกรรมทางด้านเคมีภัณฑ์ต่างๆ
เกาหลีใต้
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในปี 2550 เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ไตรมาสแรก เนื่องจากความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนที่มีปริมาณการบริโภคที่สูงขึ้น ประกอบกับรัฐบาลประเทศเกาหลีใต้มีการบริหารจัดการด้านการคลังอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และปัญหาอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศเกาหลีเหนือได้มีความคลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้เศรษฐกิจประเทศเกาหลีใต้ขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปี
ด้านการลงทุนของเอกชนในกิจกรรมการผลิตและการใช้จ่ายในการก่อสร้างยังมีสัญญาณการเติบโตที่ดีการลงทุนที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจากภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศมีการเกินดุลถึง 60 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งนับเป็นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในรอบ 6 เดือนของประเทศเกาหลีใต้ และการเกินดุลนี้ยังรวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศเกาหลีใต้ด้วย
ทางด้านภาคอุตสาหกรรมของประเทศเกาหลีใต้มีการผลิตลดลงในไตรมาสแรก เนื่องมาจากการลดลงของการส่งออกจากประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาที่มีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการที่เศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้นั้นมักจะมีการชะลอตัวลงในช่วง 6 เดือนแรก หลังจากนั้นก็จะมีสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวในช่วงปลายปี จึงเป็นผลให้ภาคอุตสาหกรรมลดการผลิตลง อุตสาหกรรมที่ยังมีการขยายตัวอยู่คืออุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรม Semi Conductor โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มมากขึ้น คือ การผลิตภาคอิเล็กทรอนิกส์ เช่น จอแอลซีดี เซมิคอนดัคเตอร์ และการผลิตรถยนต์นั่ง ที่มีการขยายตัวสูงสุด
การส่งออกหดตัวลงในไตรมาสแรกเนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั้งสหรัฐเอมริกาและจีนลดการนำเข้าลงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการส่งออกขยายตัวขึ้นในไตรมาสที่ 2 แม้ว่าเงินวอนจะแข็งค่าขึ้น แต่ปัจจัยที่ช่วยทำให้การส่งออกขยายตัวด้วยคือ ความต้องการบริโภคของต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนและการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศเกาหลีใต้เองที่เพิ่มสูงขึ้น
เศรษฐกิจอาเซียน
ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน+3 โดยรวมยังคงขยายตัวเล็กน้อย โดยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศไทย เวียดนามและเศรษฐกิจขนาดเล็กกว่าอื่น ๆ และเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ 4 ประเทศ(NIEs) ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ และไต้หวัน ในปี 2550 นั้น จะสูงเกินร้อยละ 8 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยจะลดลงเล็กน้อยในปี 2551 ทั้งนี้เนื่องจากการส่งออกของเอเชียตะวันออกไปยังสหรัฐจะลดลง แต่การลงทุนและการบริโภคก็ยังคงเพิ่มขึ้นในประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ โดยจะยังส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและอาจขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าเดิม โดยการเติบโตจากเศรษฐกิจของประเทศจีน ซึ่งเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกมีเงินสำรองที่เป็นสกุลต่างประเทศของตนเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยเมื่อคิดรวมกันแล้วเงินสำรองที่เป็นสกุลต่างประเทศสำหรับเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด 9 ลำดับแรกของภูมิภาค ได้เพิ่มขึ้นถึง 45,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนนับจนถึงเดือนกันยายน 2550 ส่งผลให้มีเงินสำรองถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของเงินสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดในภูมิภาคนี้อยู่ในประเทศจีน
สำหรับการลงทุนในประเทศอาเซียน+3 ส่วนใหญ่จะลงทุนในตลาดทุนมากกว่าตลาดเงิน โดยสหรัฐมีสัดส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์ของอาเซียน+3 สูงถึงร้อยละ 39.3 ขณะที่กลุ่มยุโรปเข้ามาลงทุนร้อยละ 37.5 และกลุ่มสมาชิกอาเซียน+3 มีสัดส่วนในการลงทุนเพียงร้อยละ 4.1
สำหรับเศรษฐกิจกลุ่มเอเชียยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า แม้จะมีความกังวลเพิ่มขึ้นจากวิกฤติการณ์หนี้ซับไพร์มในสหรัฐอเมริกาและราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นก็ตาม
สิงคโปร์
เศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปี 2550 เติบโตร้อยละ 7.4 โดยในไตรมาสแรกขยายตัวที่ร้อยละ 6 โดยลดลงจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 และเริ่มขยายตัวดีไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ที่ร้อยละ 8.6 เป็นต้นมา เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมขยายตัวโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ชีวภาพ (Biomedical) การต่อเรือและอากาศยาน ประกอบกับการเติบโตของภาคบริการทางการเงิน อันเป็นผลจากที่รัฐบาลสิงคโปร์มีการประชาสัมพันธ์โครงการสนับสนุนให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนมายังภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้บริการด้านการเงินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีการขยายตัวลดลงในช่วง 2 ไตรมาสแรก และขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 โดยอุตสาหกรรมการต่อเรือมีอัตราการขยายตัวสูงขึ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เคมีและอุตสาหกรรมด้านอุปกรณ์การแพทย์ก็ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตส่วนใหญ่ยังคงขยายตัว ขณะที่เดือนธันวาคมดัชนีอุตสาหกรรมภาคอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมการผลิตสิงคโปร์ อยู่ที่ระดับ 53.7 ลดลงจากระดับ 54.9 ในเดือนก่อนหน้า และสะท้อนว่าขยายตัวในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเดือนที่16 สำหรับอุตสาหกรรมหมวดเทคโนโลยีของสิงคโปร์ยังคงชะลอตัวในปีนี้
สำหรับเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.5 เนื่องจากคาดว่าภาคธุรกิจบริการทางการเงินจะขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ประกอบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มขยายตัวดีตามความต้องการใช้อาคารและสำนักงานของสถาบันการเงินที่จะเข้ามาลงทุนในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจจากร้อยละ 2 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 4.5 ในปี 2551
ทางด้านอัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปีในไตรมาสแรก ก่อนที่อัตราเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นถึงร้อยละ 5 ต่อปีในไตรมาสแรกปีหน้า อันเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปี และส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและอาหารที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจซึ่งขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6 ต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2546ซึ่งมีส่วนทำให้ค่าจ้างสูงขึ้น
ทางด้านการส่งออกหดตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรกจนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 และเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 การส่งออกของสินค้าที่ยังคงขยายตัวดีมาจากสินค้าที่มิใช่อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่การส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง การส่งออกใน 3 ไตรมาสแรกมีมูลค่า 33,3477 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มาเลเซีย
เศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 2550 หดตัวลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องมาจากการส่งออกลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนที่ลดลงแต่ภาครัฐได้มีการใช้จ่ายในการลงทุนมากขึ้นตามแผน The Ninth Malaysia Plan โดยเศรษฐกิจมีปัจจัยหนุนสำคัญจากภาคบริการ (โดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยว) ภาคเหมืองแร่และภาคการก่อสร้างที่ขยายตัวดี โดยในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ที่เคยขยายตัวร้อยละ 7.9 เมื่อไตรมาสที่ 2 ปี 2547 เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ใช้จ่ายในด้านการพัฒนา และการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรมบริการ จึงหนุนให้ครึ่งปีหลังมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในปี 2550 ที่ร้อยละ 6 ถึงแม้จะเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมัน โดยส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อของมาเลเซียในปี 2550 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 2.0-2.5
ภาวะผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในมาเลเซียหดตัวลงในไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าไตรมาส 4/2549 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.3 เนื่องจากการผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาส 1/2550 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ต่ำลงโดยหดตัวที่ร้อยละ -3.9 ในขณะที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 นอกจากนี้การลดลงของตัวเลขดัชนีกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมการผลิตในเดือนกันยายน 2550 ที่ระดับ 52.0 จากระดับ 52.9 ในเดือนก่อนหน้านั้น เป็นเครื่องแสดงถึงการชะลอตัวของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย
ทางด้านการส่งออกของมาเลเซียโดยรวมหดตัวลง โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 การส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและรองเท้าหดตัว แต่การส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติก อาหารและบุหรี่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 รวมถึงอุตสาหกรรมการขนส่ง อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์
ฟิลิปปินส์
เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในปี 2550 ยังขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสแรกที่มีการขยายตัวสูงสุดในรอบ 17 ปี เนื่องมาจากมีการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภาครัฐได้มีการใช้จ่ายในการลงทุนมาก ซึ่งสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจบริการการจัดการงานสำนักงาน (Back-Office Service) ซึ่งส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีการขยายตัวที่ร้อยละ 7.3 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.6 ของครึ่งปีแรกของปีก่อน โดยในปี 2550 ทั้งปีจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.8
การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมโดยรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นพอสมควรทั้งอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประตกแต่ง ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า อุตสาหกรรมทางด้านการสื่อสารและการขนส่ง รวมทั้งภาคบริการก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตหดตัวลงเล็กน้อย
ทางด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมมีดัชนีมูลค่าการผลิตพบว่าในสาขาอุตสาหกรรมอาหาร ผลิตภัณฑ์ทางด้านปิโตรเลียม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์ทางด้านไม้ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการขนส่ง อุตสาหกรรมกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ อุตสาหกรรมประเภทผลิตภัณฑ์หนังเติบโตเพิ่มขึ้น
การส่งออกสินค้าขยายตัวลดลงในไตรมาสแรกเนื่องมาจากการส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ลดลง แต่โดยรวมทั้งปีถือว่าขยายตัวขึ้น โดยมีมูลค่าการส่งออกในปี 2550 ทั้งหมด 4.8 พันล้านดอลลาห์สหรัฐฯ
อินโดนีเซีย
เศรษฐกิจอินโดนีเซียในปี 2550 ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2550 เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 6.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 6.34 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ซึ่งสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องจากภาคเกษตรกรรมขยายตัวดีร้อยละ 8.9 ขณะที่การลงทุนและการส่งออกขยายตัวร้อยละ 8.8 และ 7.8 ตามลำดับ โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550 เศรษฐกิจอินโดนีเซียขยายตัวสูงราวร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากภาคกสิกรรมขยายตัวดี เนื่องจากเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ขณะที่รายได้จากการส่งออกและการลงทุนขยายตัวราวร้อยละ 8.9 และ 7.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ทั้งนี้คาดว่าทั้งปี 2550 เศรษฐกิจอินโดนีเซียจะขยายตัวสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 6.3 โดยมีรายได้จากการส่งออก และการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในประเทศเป็นปัจจัยเกื้อหนุน
เนื่องจากฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น จากการบริหารจัดการด้านการคลังที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการลดรายจ่ายด้วยการลดการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลมียอดขาดดุลงบประมาณต่อ GDP ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.5-2 ประกอบกับค่าเงินรูเปี๊ยะห์ต่อดอลลาร์สหรัฐ ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้คาดว่าหนี้ภาครัฐต่อ GDP จะลดลงเหลือร้อยละ 34 ในปี 2551 จากที่สูงถึงราวร้อยละ 100 ในปี 2543
ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2550 ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 8.5 เหลือร้อยละ 8.25 เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้แล้ว โดยในเดือนมิถุนายน 2550 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 5.8 ลดลงจากร้อยละ 6.0 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งอยู่ในระดับที่ธนาคารกลางตั้งเป้าควบคุมไว้ไม่เกินร้อยละ 5-7
สรุปภาวะเศรษฐกิจโลกปี 2550 และแนวโน้มปี 2551
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2550 จะเติบโตร้อยละ 5.2 เนื่องจากปัญหาในตลาดการเงินโลก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง สำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ1.9 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในเดือนตค.- พย. 2550 อยู่ที่ 80.48 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาเรลล์ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ การซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภคของชาวอเมริกัน จนชะลออัตราการขายตัว ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกที่สำคัญ ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับแนวโน้มปี 2551 IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 4.8 โดยปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นเรื่องของตลาดสินเชื่อสำหรับผู้กู้ยืมที่มีคุณภาพต่ำในภาคอสังหาริมทรัพย์ (Subprime Mortgage Market) ของสหรัฐฯ และความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง และความไม่สมดุลของดุลบัญชีเดินสะพัดของโลก อัตราเงินเฟ้อในปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 1.6
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
เศรษฐกิจของโลกในปี 2550 คาดว่าขยายตัวร้อยละ 5.2 โดยการขยายตัวของความต้องการภายในประเทศจากกลุ่มประเทศยุโรป ญี่ปุ่น และประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น จีน อินเดีย รัสเซีย ยุโรปตะวันออก จะเป็นปัจจัยที่ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศจีนจะเป็นแรงผลักที่ทำให้เศรษฐกิจโลกขยายตัวแทนประเทศสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง อย่างไรก็ตามนอกจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่อยู่ในภาวะชะลอตัวรวมถึงโอกาสที่จะเกิดภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก และความผันผวนในตลาดเงินเนื่องจากภาวะไม่สมดุลของทุนบัญชีเดินสะพัดในระดับโลก อาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เงินเฟ้อในปี 2550 คาดว่าอยู่ที่ร้อยละ 1.9
สถานการณ์การเงินโลก ภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากผลของวิกฤติ Sub-prime ราคาบ้านที่เริ่มชะลอตัว และราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นเป็นประวัติการณ์ 100 ดอลลาร์สหรัฐฯต่อบาเรลล์ ส่งผลให้เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งนักลงทุนต่างได้เปลี่ยนไปลงทุนในเงินสกุลอื่นเพื่อลดความเสี่ยง
คาดว่าราคาน้ำมันจะแกว่งตัวขึ้นลงอยู่ในระดับสูง จากข่าวรายวันที่ส่งผลกระทบต่ออุปสงค์และอุปทานน้ำมันในตลาด ราคาน้ำมันอาจปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการคาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะอุปทานน้ำมันดิบตึงตัว เนื่องจากโรงกลั่นหลายแห่งเพิ่มกำลังการผลิต Distillates มาอยู่ในระดับสูงสุด เพื่อรองรับความต้องการใช้ในฤดูหนาว ในขณะที่ปริมาณสำรองน้ำมันดิบของสหรัฐฯ (ณ. 16 พ.ย.50) ลดลงอยู่ที่ระดับต่ำกว่าปริมาณสำรองของปีก่อน 2% ขณะที่อุปสงค์เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 9% ทางกลุ่ม OPEC อาจปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันในปี 2551 หากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลง เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่อ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบต่อรายได้จากการขายน้ำมันของผู้ผลิต อย่างไรก็ตาม หากอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีนในปี 2551 ลดลงจากปี 2550 อาจทำให้ความต้องการใช้พลังงานในประเทศดังกล่าวลดลง และเป็นปัจจัยส่งผลให้ราคาน้ำมันอ่อนตัวลงได้
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ ในปี 2550 IMF คาดว่า GDP จะขยายตัวร้อยละ 1.9 โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาเศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 2.1 เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนหลักขยายตัวดีกว่าที่เคยประมาณการไว้ โดยการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในไตรมาส 3 อยู่ที่ร้อยละ 2.7 และการส่งออกขยายตัวร้อยละ 18.9 อย่างไรก็ตาม ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังไม่ฟื้นตัว ขณะที่ปัญหา Subprime Mortgage Loans ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้น อีกทั้งราคาน้ำมันในตลาดโลกยังคงผันผวนอยู่ในระดับสูง สาเหตุดังกล่าวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเติบโตและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ชะลอตัวจากปีก่อน อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (CPI) เดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 3.5
ทางด้านสถานการณ์การเงิน ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (ณ 31 ตค. 50) อยู่ที่ร้อยละ 4.5 (Fed) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับสูงเพื่อป้องกันภาวะเงินเฟ้อ รัฐบาลสหรัฐฯ มีภาระหนี้สูงถึง 9.086 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีสาเหตุมาจากการที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัวไม่มากนักและสหรัฐฯ มีการใช้จ่ายในการสู้รบเพื่อป้องกันการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น
เศรษฐกิจจีน
เศรษฐกิจของประเทศจีนในปี 2550 IMF คาดว่า GDP จะขยายตัวร้อยละ 11.5 โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมาเศรษฐกิจประเทศจีนขยายร้อยละ 11.5 ยังคงขยายตัวอย่างร้อนแรง เป็นผลมาจากการลงทุน การบริโภคและการส่งออกเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยภาคการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.1 การใช้จ่ายเพิ่มการบริโภคในประเทศขยายตัวต่อเนื่อง มูลค่าการค้าปลีกขยายตัวเพิ่มขึ้น 15.9 ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรขยายตัวร้อยละ 25.7 ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 88,953.32 ร้อยล้านหยวน และการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 10.9 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายนอยู่ที่ร้อยละ 96.5 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 6.5
เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากเศรษฐกิจจีนขยายตัวสูงถึงร้อยละ 11.5 ในไตรมาส 3 ของปี 2550 ซึ่งเป็นอัตราที่สูง ทำให้ธนาคารกลางของจีนต้องปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น เพื่อควบคุมเศรษฐกิจให้ขยายตัวช้าลง และป้องกันภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ที่อาจเกิดขึ้น
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นในปี 2550 IMF คาดว่า GDP จะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.0 ยังคงขยายตัวอยู่ในระดับที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในช่วง 3 ไตรมาสแรก GDP ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.1 ดัชนีการผลิตของอุตสาหกรรม เดือนตุลาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เนื่องจากการส่งออกเครื่องจักรและรถยนต์ไปสาธารณรัฐประชาชนจีนและยุโรปเพิ่มขึ้น อัตราการว่างงานเดือนตุลาคม อยู่ที่ร้อยละ 4 เท่ากับเดือนก่อนหน้า เนื่องจากต้องการลดต้นทุนลงจากการที่ราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนตุลาคมอยู่ที่ 100.9 เพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้นทำให้ราคาสินค้าผลิตจากน้ำมันแพงขึ้นด้วย การเกินดุลการค้าประจำเดือนตุลาคม เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนหน้า มียอดมูลค่าการเกินดุลการค้าทั้งสิ้น 1.02 ล้านล้านเยน แสดงว่าปัญหา Sub Prime Mortgage ไม่มีผลกระทบต่ออุปสงค์ภายนอกประเทศของญี่ปุ่นแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าการส่งออกไปสหรัฐฯ จะลดลง แต่การส่งออกไปสาธารณรัฐประชาชนจีน อาเซียน และ สหภาพยุโรปเพิ่มขึ้น ซึ่งสามารถทดแทนการส่งออกไปสหรัฐฯ ที่ลดลงได้ การส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9 โดยสาเหตุหลักจากการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้น และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6
ภาวะเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในช่วงไตรมาส 3 ปี 2550 GDP ขยายตัวร้อยละ 2.2 ขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 1.4 ซึ่งสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องจากรายได้จากการส่งออกและการใช้จ่ายด้านการลงทุนขยายตัวดี อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนตุลาคม 2550 อยู่ที่ร้อยละ 0.3 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานกลับมาขยายตัวเป็นบวกที่ร้อยละ 0.1 ต่อปี
ญี่ปุ่นได้ดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อสนับสนุนการส่งออกให้สามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้มากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเจริญเติบโตในปัจจุบัน เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังอยู่ในภาวะเงินฝืด อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเยนได้แข็งตัวขึ้น นับตั้งแต่เกิดปัญหา Sub Prime Mortgage ในสหรัฐ ค่าเงินเยนแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่าง ๆ ได้แก่ ดอลลาร์สหรัฐ ปอนด์ ยูโร ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ดอลลาร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ เงินเยนแข็งขึ้นร้อยละ 6 อัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Overnight Call) เดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ร้อยละ 0.5
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
เศรษฐกิจสหภาพยุโรปในปี 2550 คาดว่าจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.5 ขยายตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนหน้าที่ขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 2.8 เนื่องจากคาดว่าเศรษฐกิจของ EU จะได้รับผลกระทบจากปัญหา Subprime ในสหรัฐฯ ทำให้ตลาดเงินในหลายประเทศอยู่ในภาวะตึงตัว โดยในช่วง 3 ไตรมาสที่ผ่านมา GDP ขยายตัวร้อยละ 2.8 อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจยังขยายตัวดี อันเป็นผลจากการใช้จ่ายเพื่อการบริโภค ภาคเอกชนยังขยายตัวแข็งแกร่งตามภาวะการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น อัตราการจ้างงานยังเติบโตต่อเนื่องส่งผลให้อัตราการว่างงานลดลง สหภาพยุโรปอัตราเงินเฟ้อทั่วไป (HICP) เดือนตุลาคมร้อยละ 2.6 มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9
(ECB) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Refinancing) (ณ เดือน พย.) อยู่ที่ 4.0 เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในระยะปานกลางยังมีทิศทางขาขึ้น ปริมาณเงินและสินเชื่อยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ค่าเงินยูโรเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. ในเดือนตุลาคมยังคงแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากเดือนก่อน
เศรษฐกิจในประเทศอุตสาหกรรมใหม่ในเอเชีย
ฮ่องกง
ภาวะเศรษฐกิจของฮ่องกงในปี 2550 มีการหดตัวลงในไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 2 ของฮ่องกงรองจากจีนชะลอลง ส่งผลให้รายได้จากการส่งออกลดลง นอกจากนี้การใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของภาคเอกชนยังชะลอลงด้วย โดยมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2550 โดยมีปัจจัยหลักมาจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นและการบริโภคภายในประเทศ ประกอบกับการส่งออกที่ยังขยายตัวอย่างแข็งแกร่งตามการขยายตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการบริโภคในประเทศที่ขยายตัวดีจากตลาดการจ้างงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจฮ่องกงยังคงได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวค่อนข้างดี ทั้งนี้การลดภาษีรายได้บุคคล(Salaries Tex) เป็นเวลา 1 ปีงบประมาณ และลดภาษีอสังหาริมทรัพย์(Property Rate) เป็นเวลา 2 ไตรมาส ได้ช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น
ทางด้านการใช้จ่ายของภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2 และ 3 เติบโตขึ้นอย่างมาก โดยไตรมาสที่ 3 มีอัตราการเติบโตสูงกว่าไตรมาสที่ 2 ด้วย
การส่งออกของฮ่องกงขยายตัวขึ้นในไตรมาสที่ 2 และ 3 เช่นกัน ซึ่งส่งผลให้ 3 ไตรมาสแรกของปี 2550 การส่งออกขยายตัวที่ร้อยละ 9.6 โดยมีการส่งออกหลักในอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกล อุตสาหกรรมเกี่ยวกับเครื่องมือส่วนประกอบสำเร็จ และอุตสาหกรรมทางด้านเคมีภัณฑ์ต่างๆ
เกาหลีใต้
เศรษฐกิจเกาหลีใต้ในปี 2550 เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 3 ไตรมาสแรก เนื่องจากความต้องการบริโภคภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วประกอบกับการบริโภคภาคเอกชนที่มีปริมาณการบริโภคที่สูงขึ้น ประกอบกับรัฐบาลประเทศเกาหลีใต้มีการบริหารจัดการด้านการคลังอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และปัญหาอาวุธนิวเคลียร์ในประเทศเกาหลีเหนือได้มีความคลี่คลายไปในทางที่ดี ทำให้เศรษฐกิจประเทศเกาหลีใต้ขยายตัวสูงสุดในรอบ 2 ปี
ด้านการลงทุนของเอกชนในกิจกรรมการผลิตและการใช้จ่ายในการก่อสร้างยังมีสัญญาณการเติบโตที่ดีการลงทุนที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนที่ขยายตัวเพิ่มมากขึ้นจากภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศมีการเกินดุลถึง 60 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในไตรมาสที่ 2 ซึ่งนับเป็นการเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในรอบ 6 เดือนของประเทศเกาหลีใต้ และการเกินดุลนี้ยังรวมไปถึงการเพิ่มขึ้นของปริมาณการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมของประเทศเกาหลีใต้ด้วย
ทางด้านภาคอุตสาหกรรมของประเทศเกาหลีใต้มีการผลิตลดลงในไตรมาสแรก เนื่องมาจากการลดลงของการส่งออกจากประเทศคู่ค้าสำคัญ ๆ อย่างสหรัฐอเมริกาที่มีการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการที่เศรษฐกิจของประเทศเกาหลีใต้นั้นมักจะมีการชะลอตัวลงในช่วง 6 เดือนแรก หลังจากนั้นก็จะมีสภาวะเศรษฐกิจที่ขยายตัวในช่วงปลายปี จึงเป็นผลให้ภาคอุตสาหกรรมลดการผลิตลง อุตสาหกรรมที่ยังมีการขยายตัวอยู่คืออุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์และอุตสาหกรรม Semi Conductor โดยมีการผลิตเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 สำหรับภาคอุตสาหกรรมที่มีการผลิตเพิ่มมากขึ้น คือ การผลิตภาคอิเล็กทรอนิกส์ เช่น จอแอลซีดี เซมิคอนดัคเตอร์ และการผลิตรถยนต์นั่ง ที่มีการขยายตัวสูงสุด
การส่งออกหดตัวลงในไตรมาสแรกเนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าที่สำคัญทั้งสหรัฐเอมริกาและจีนลดการนำเข้าลงและการชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกา โดยการส่งออกขยายตัวขึ้นในไตรมาสที่ 2 แม้ว่าเงินวอนจะแข็งค่าขึ้น แต่ปัจจัยที่ช่วยทำให้การส่งออกขยายตัวด้วยคือ ความต้องการบริโภคของต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีนและการขยายตัวของการบริโภคภายในประเทศเกาหลีใต้เองที่เพิ่มสูงขึ้น
เศรษฐกิจอาเซียน
ภาวะเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียโดยเฉพาะกลุ่มประเทศอาเซียน+3 โดยรวมยังคงขยายตัวเล็กน้อย โดยอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออก ได้แก่ จีน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศไทย เวียดนามและเศรษฐกิจขนาดเล็กกว่าอื่น ๆ และเศรษฐกิจอุตสาหกรรมใหม่ 4 ประเทศ(NIEs) ฮ่องกง เกาหลี สิงคโปร์ และไต้หวัน ในปี 2550 นั้น จะสูงเกินร้อยละ 8 เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน โดยจะลดลงเล็กน้อยในปี 2551 ทั้งนี้เนื่องจากการส่งออกของเอเชียตะวันออกไปยังสหรัฐจะลดลง แต่การลงทุนและการบริโภคก็ยังคงเพิ่มขึ้นในประเทศจีนและประเทศอื่น ๆ โดยจะยังส่งผลให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่องและอาจขยายตัวในอัตราที่สูงกว่าเดิม โดยการเติบโตจากเศรษฐกิจของประเทศจีน ซึ่งเศรษฐกิจเกิดใหม่ในเอเชียตะวันออกมีเงินสำรองที่เป็นสกุลต่างประเทศของตนเพิ่มสูงขึ้นมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยเมื่อคิดรวมกันแล้วเงินสำรองที่เป็นสกุลต่างประเทศสำหรับเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด 9 ลำดับแรกของภูมิภาค ได้เพิ่มขึ้นถึง 45,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในช่วง 9 เดือนนับจนถึงเดือนกันยายน 2550 ส่งผลให้มีเงินสำรองถึง 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ โดย 80 เปอร์เซ็นต์ของเงินสำรองที่เพิ่มขึ้นทั้งหมดในภูมิภาคนี้อยู่ในประเทศจีน
สำหรับการลงทุนในประเทศอาเซียน+3 ส่วนใหญ่จะลงทุนในตลาดทุนมากกว่าตลาดเงิน โดยสหรัฐมีสัดส่วนการลงทุนในหลักทรัพย์ของอาเซียน+3 สูงถึงร้อยละ 39.3 ขณะที่กลุ่มยุโรปเข้ามาลงทุนร้อยละ 37.5 และกลุ่มสมาชิกอาเซียน+3 มีสัดส่วนในการลงทุนเพียงร้อยละ 4.1
สำหรับเศรษฐกิจกลุ่มเอเชียยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องในปีหน้า แม้จะมีความกังวลเพิ่มขึ้นจากวิกฤติการณ์หนี้ซับไพร์มในสหรัฐอเมริกาและราคาน้ำมันในตลาดโลกที่พุ่งสูงขึ้นก็ตาม
สิงคโปร์
เศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปี 2550 เติบโตร้อยละ 7.4 โดยในไตรมาสแรกขยายตัวที่ร้อยละ 6 โดยลดลงจากไตรมาสที่ 4 ของปี 2549 และเริ่มขยายตัวดีไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ที่ร้อยละ 8.6 เป็นต้นมา เนื่องจากภาคอุตสาหกรรมขยายตัวโดยเฉพาะอุตสาหกรรมการแพทย์ชีวภาพ (Biomedical) การต่อเรือและอากาศยาน ประกอบกับการเติบโตของภาคบริการทางการเงิน อันเป็นผลจากที่รัฐบาลสิงคโปร์มีการประชาสัมพันธ์โครงการสนับสนุนให้สิงคโปร์เป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคเอเชียอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับมีการเคลื่อนย้ายเงินทุนมายังภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้บริการด้านการเงินเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการผลิตมีการขยายตัวลดลงในช่วง 2 ไตรมาสแรก และขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 โดยอุตสาหกรรมการต่อเรือมีอัตราการขยายตัวสูงขึ้น ในขณะที่อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เคมีและอุตสาหกรรมด้านอุปกรณ์การแพทย์ก็ขยายตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน แต่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตส่วนใหญ่ยังคงขยายตัว ขณะที่เดือนธันวาคมดัชนีอุตสาหกรรมภาคอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 3 ของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมการผลิตสิงคโปร์ อยู่ที่ระดับ 53.7 ลดลงจากระดับ 54.9 ในเดือนก่อนหน้า และสะท้อนว่าขยายตัวในระดับต่ำต่อเนื่องเป็นเดือนที่16 สำหรับอุตสาหกรรมหมวดเทคโนโลยีของสิงคโปร์ยังคงชะลอตัวในปีนี้
สำหรับเศรษฐกิจของสิงคโปร์ในปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.5 เนื่องจากคาดว่าภาคธุรกิจบริการทางการเงินจะขยายตัวสูงสุดในรอบ 10 ปี ประกอบกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีแนวโน้มขยายตัวดีตามความต้องการใช้อาคารและสำนักงานของสถาบันการเงินที่จะเข้ามาลงทุนในสิงคโปร์เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยจะเพิ่มขึ้นตามการเติบโตทางเศรษฐกิจจากร้อยละ 2 ในปี 2550 เป็นร้อยละ 4.5 ในปี 2551
ทางด้านอัตราเงินเฟ้อของสิงคโปร์เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปีในไตรมาสแรก ก่อนที่อัตราเงินเฟ้ออาจสูงขึ้นถึงร้อยละ 5 ต่อปีในไตรมาสแรกปีหน้า อันเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับไตรมาสแรกปีนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.5 ต่อปี และส่วนหนึ่งเป็นผลจากราคาน้ำมันและอาหารที่สูงขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นผลจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจซึ่งขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 6 ต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ปี 2546ซึ่งมีส่วนทำให้ค่าจ้างสูงขึ้น
ทางด้านการส่งออกหดตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรกจนถึงไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 และเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 การส่งออกของสินค้าที่ยังคงขยายตัวดีมาจากสินค้าที่มิใช่อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่การส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง การส่งออกใน 3 ไตรมาสแรกมีมูลค่า 33,3477 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
มาเลเซีย
เศรษฐกิจของมาเลเซียในปี 2550 หดตัวลงเล็กน้อยในช่วงครึ่งปีแรก เนื่องมาจากการส่งออกลดลงอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนที่ลดลงแต่ภาครัฐได้มีการใช้จ่ายในการลงทุนมากขึ้นตามแผน The Ninth Malaysia Plan โดยเศรษฐกิจมีปัจจัยหนุนสำคัญจากภาคบริการ (โดยเฉพาะรายได้จากการท่องเที่ยว) ภาคเหมืองแร่และภาคการก่อสร้างที่ขยายตัวดี โดยในไตรมาสที่ 3 เศรษฐกิจมาเลเซียเติบโตอย่างรวดเร็วที่สุดในรอบ 3 ปี นับตั้งแต่ที่เคยขยายตัวร้อยละ 7.9 เมื่อไตรมาสที่ 2 ปี 2547 เนื่องจากการบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ส่วนหนึ่งได้รับแรงสนับสนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐที่ใช้จ่ายในด้านการพัฒนา และการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภาคอุตสาหกรรมบริการ จึงหนุนให้ครึ่งปีหลังมีการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งอาจทำให้เศรษฐกิจขยายตัวในปี 2550 ที่ร้อยละ 6 ถึงแม้จะเผชิญแรงกดดันจากราคาน้ำมัน โดยส่งผลให้ภาวะเงินเฟ้อของมาเลเซียในปี 2550 จะอยู่ระหว่างร้อยละ 2.0-2.5
ภาวะผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในมาเลเซียหดตัวลงในไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 อยู่ที่ร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ต่ำกว่าไตรมาส 4/2549 ซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 5.3 เนื่องจากการผลิตในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาส 1/2550 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ต่ำลงโดยหดตัวที่ร้อยละ -3.9 ในขณะที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 นอกจากนี้การลดลงของตัวเลขดัชนีกิจกรรมภาคอุตสาหกรรมการผลิตในเดือนกันยายน 2550 ที่ระดับ 52.0 จากระดับ 52.9 ในเดือนก่อนหน้านั้น เป็นเครื่องแสดงถึงการชะลอตัวของผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการเติบโตทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย
ทางด้านการส่งออกของมาเลเซียโดยรวมหดตัวลง โดยในไตรมาสที่ 1 ของปี 2550 การส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ เครื่องนุ่งห่มและรองเท้าหดตัว แต่การส่งออกสินค้าผลิตภัณฑ์เคมีและพลาสติก อาหารและบุหรี่มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ขยายตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 รวมถึงอุตสาหกรรมการขนส่ง อุตสาหกรรมปิโตรเลียมและเคมีภัณฑ์
ฟิลิปปินส์
เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ในปี 2550 ยังขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสแรกที่มีการขยายตัวสูงสุดในรอบ 17 ปี เนื่องมาจากมีการส่งออกเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการลงทุนและการบริโภคที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ภาครัฐได้มีการใช้จ่ายในการลงทุนมาก ซึ่งสนับสนุนให้เศรษฐกิจขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการลงทุนจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในธุรกิจบริการการจัดการงานสำนักงาน (Back-Office Service) ซึ่งส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีการขยายตัวที่ร้อยละ 7.3 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 5.6 ของครึ่งปีแรกของปีก่อน โดยในปี 2550 ทั้งปีจะขยายตัวอยู่ที่ร้อยละ 6.8
การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมโดยรวมขยายตัวเพิ่มขึ้นพอสมควรทั้งอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบ อุตสาหกรรมเหมืองแร่ อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และเครื่องประตกแต่ง ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมการก่อสร้าง อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้า อุตสาหกรรมทางด้านการสื่อสารและการขนส่ง รวมทั้งภาคบริการก็เติบโตขึ้นเช่นเดียวกัน แต่ทางด้านอุตสาหกรรมการผลิตหดตัวลงเล็กน้อย
ทางด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตของภาคอุตสาหกรรมมีดัชนีมูลค่าการผลิตพบว่าในสาขาอุตสาหกรรมอาหาร ผลิตภัณฑ์ทางด้านปิโตรเลียม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์ทางด้านไม้ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการขนส่ง อุตสาหกรรมกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ อุตสาหกรรมประเภทผลิตภัณฑ์หนังเติบโตเพิ่มขึ้น
การส่งออกสินค้าขยายตัวลดลงในไตรมาสแรกเนื่องมาจากการส่งออกในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ลดลง แต่โดยรวมทั้งปีถือว่าขยายตัวขึ้น โดยมีมูลค่าการส่งออกในปี 2550 ทั้งหมด 4.8 พันล้านดอลลาห์สหรัฐฯ
อินโดนีเซีย
เศรษฐกิจอินโดนีเซียในปี 2550 ในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2550 เศรษฐกิจขยายตัวร้อยละ 6.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 6.34 ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ซึ่งสูงกว่าที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ เนื่องจากภาคเกษตรกรรมขยายตัวดีร้อยละ 8.9 ขณะที่การลงทุนและการส่งออกขยายตัวร้อยละ 8.8 และ 7.8 ตามลำดับ โดยในช่วงไตรมาสแรกของปี 2550 เศรษฐกิจอินโดนีเซียขยายตัวสูงราวร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเป็นผลจากภาคกสิกรรมขยายตัวดี เนื่องจากเป็นช่วงฤดูเก็บเกี่ยว ขณะที่รายได้จากการส่งออกและการลงทุนขยายตัวราวร้อยละ 8.9 และ 7.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ทั้งนี้คาดว่าทั้งปี 2550 เศรษฐกิจอินโดนีเซียจะขยายตัวสูงกว่าที่รัฐบาลตั้งเป้าไว้ที่ร้อยละ 6.3 โดยมีรายได้จากการส่งออก และการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในประเทศเป็นปัจจัยเกื้อหนุน
เนื่องจากฐานะทางการคลังของรัฐบาลมีเสถียรภาพมากขึ้น จากการบริหารจัดการด้านการคลังที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และการลดรายจ่ายด้วยการลดการอุดหนุนราคาพลังงานในประเทศ ส่งผลให้รัฐบาลมียอดขาดดุลงบประมาณต่อ GDP ในระดับต่ำเพียงร้อยละ 1.5-2 ประกอบกับค่าเงินรูเปี๊ยะห์ต่อดอลลาร์สหรัฐ ยังมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้คาดว่าหนี้ภาครัฐต่อ GDP จะลดลงเหลือร้อยละ 34 ในปี 2551 จากที่สูงถึงราวร้อยละ 100 ในปี 2543
ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2550 ธนาคารกลางอินโดนีเซียประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายจากร้อยละ 8.5 เหลือร้อยละ 8.25 เพื่อกระตุ้นการบริโภคและการลงทุนในประเทศ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่ควบคุมได้แล้ว โดยในเดือนมิถุนายน 2550 อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ 5.8 ลดลงจากร้อยละ 6.0 ในเดือนพฤษภาคม ซึ่งอยู่ในระดับที่ธนาคารกลางตั้งเป้าควบคุมไว้ไม่เกินร้อยละ 5-7
สรุปภาวะเศรษฐกิจโลกปี 2550 และแนวโน้มปี 2551
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund : IMF) ได้คาดการณ์เศรษฐกิจโลกในปี 2550 จะเติบโตร้อยละ 5.2 เนื่องจากปัญหาในตลาดการเงินโลก ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่าลง ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูง สำหรับอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ร้อยละ1.9 เนื่องจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในเดือนตค.- พย. 2550 อยู่ที่ 80.48 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาเรลล์ ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐฯ การซบเซาของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐ จะส่งผลกระทบต่อความต้องการบริโภคของชาวอเมริกัน จนชะลออัตราการขายตัว ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจโลกที่สำคัญ ได้แก่ การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ
สำหรับแนวโน้มปี 2551 IMF คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกจะขยายตัวร้อยละ 4.8 โดยปัจจัยเสี่ยงของเศรษฐกิจโลกยังคงเป็นเรื่องของตลาดสินเชื่อสำหรับผู้กู้ยืมที่มีคุณภาพต่ำในภาคอสังหาริมทรัพย์ (Subprime Mortgage Market) ของสหรัฐฯ และความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ยังอยู่ในระดับสูง และความไม่สมดุลของดุลบัญชีเดินสะพัดของโลก อัตราเงินเฟ้อในปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 1.6
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-