ภาพรวมเศรษฐกิจโลกในไตรมาส 4 ปี 2550 ชะลอตัวลง ขณะที่ปัญหาสินเชื่อตึงตัวยังคงทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น โดยเศรษฐกิจของกลุ่ม Euro Zone ขยายตัวลดลง เนื่องจากความผันผวนในตลาดการเงิน และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น สืบเนื่องมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคหลายชนิดปรับตัวสูงขึ้นมาก ประกอบกับหลายประเทศในกลุ่ม Euro Zone ได้ปรับเพิ่มอัตราค่าจ้างแรงงานสูงขึ้น อีกทั้งผู้บริโภคชะลอการใช้จ่าย ส่งผลให้เศรษฐกิจขยายตัวชะลอลง ในส่วนเศรษฐกิจสหรัฐในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ชะลอตัวลงอย่างชัดเจน จะเห็นได้จากภาคอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงอยู่ในภาวะซบเซา เนื่องจากราคาบ้านที่ลดลง และส่งผลต่อความสามารถในการใช้จ่ายของผู้บริโภคชาวอเมริกันลดลงด้วย เนื่องจากความมั่นคั่งของผู้บริโภคที่ถือครองอสังหาริมทรัพย์ลดลง อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจจีนในปี 2550 ขยายตัวสูงสุดในรอบ 13 ปี ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 11.4 โดยในไตรมาส 4 ปี 2550 GDP ขยายตัวสูงถึงร้อยละ 11.4 อันเป็นผลมาจากภาคการส่งออกขยายตัวสูง ขณะที่มูลค่าการลงทุนทางตรงจากต่างประเทศขยายตัวร้อยละ 13.6 ส่งผลให้ ณ สิ้นปี 2550 จีนมีทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นร้อยละ 43.3 นอกจากนี้การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคในประเทศยังขยายตัวต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากมูลค่าการค้าปลีกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.8 ขณะที่การลงทุนในสินทรัพย์ถาวรยังคงขยายตัวร้อยละ 24.8
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ขยายตัวร้อยละ 4.9 ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 4.3) และไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (ร้อยละ 4.5) โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น และการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งการส่งออกยังขยายตัวได้ในเกณฑ์ดีแม้ว่าจะเริ่มชะลอตัว และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2550 จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ตัวชี้วัดต่าง ๆ ส่วนใหญ่ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2549 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 53 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 184.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (174.7) ร้อยละ 5.3 และไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (163.1) ร้อยละ 12.8 อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549
ขณะที่สถานการณ์การค้าต่างประเทศในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 มีทิศทางเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 โดยโดยในไตรมาสที่ 4 นี้ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 80,376.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นมูลค่าส่งออกเท่ากับ 42,502.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 37,873.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23.4 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ดุลการค้าเกินดุล 4,629.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในปี 2550 การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดีตลอดปี จากที่คาดว่าจะชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมูลค่าการส่งออกปี 2550 ขยายตัวถึงร้อยละ 17.5 จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 12.5 ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากกลุ่มตลาดใหม่ที่ในปี 2550 ขยายตัวถึงร้อยละ 25.9 จากเป้าหมายที่ร้อยละ 19.3 โดยตลาดใหม่ที่โตมากคือ ยุโรปตะวันออก อินเดีย แอฟริกา และละตินอเมริกา นอกจากนี้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมรายการสำคัญส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวสูง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี (เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์และพลาสติก) รวมทั้งสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน มีมูลค่ารวม 46,203.9 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.52 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 20,235.41 ล้านบาท และเดือนพฤศจิกายน 25,968.49 ล้านบาท สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 325 โครงการ ลดลงร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีเงินลงทุน 207,900 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 99.52 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 125 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 84,300 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 99 โครงการ เป็นเงินลงทุน 93,700 ล้านบาท เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะและอุปกรณ์ มีเงินลงทุน 79,300 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุน 47,500 ล้านบาท และหมวดเคมี กระดาษและพลาสติกมีเงินลงทุน 32,300 ล้านบาท
ภาวะอุตสาหกรรมในแต่ละสาขา
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาวะการผลิตสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 มีดัชนีผลผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 118.24 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน โดยดัชนีผลผลิตปรับลดลงร้อยละ 7.00สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสก่อน 3 อันดับแรก ได้แก่ พัดลม โทรทัศน์สี (ขนาดจอ 21 นิ้ว หรือมากกว่า) และตู้เย็น ปรับตัวลดลงร้อยละ 21.58 16.60 และ 10.80 ตามลำดับ สำหรับภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพบว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.48 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36.42 โดยสินค้าที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คือ Hard Disk Drive และ Other IC เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.20 และ 34.68 ตามลำดับ
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ประมาณการจากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ปริมาณการจำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.01 ทั้งนี้เนื่องจากการขยายตัวจากผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเป็นหลัก โดยได้รับอานิสงค์จากตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ ตลาดอียู และตะวันออกกลาง สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2551โดยประมาณการจากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 34.85 หากพิจารณาเป็นรายผลิตภัณฑ์ พบว่า แนวโน้มปริมาณจำหน่าย HDD จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20.60 และ IC จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ร้อยละ 15.84
เคมีภัณฑ์ ในไตรมาส 4 ปี 2550 การส่งออกเคมีภัณฑ์อินทรีย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.17 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เคมีภัณฑ์อนินทรีย์มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.95 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเครื่องสำอางหรือสิ่งปรุงแต่งสำหรับประทินร่างกายมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.44 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมปุ๋ยมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 43.68 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงร้อยละ 38.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์จะได้รับผลประโยชน์ เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่พึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในส่วนของวัตถุดิบลดลง ดังนั้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ควรถือโอกาสนี้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยการซื้อเครื่องจักรที่ทันสมัย หรือสั่งซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อขยายตลาดภายในประเทศ และตลาดส่งออกในอนาคต
ปิโตรเคมี ในไตรมาส 4 ปี 2550 การส่งออกปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32.60 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่ลดลงร้อยละ 7.97 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 11.84 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงร้อยละ 19.09 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.07 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จากการที่ค่าเงินบาทมีการปรับค่าแข็งขึ้นอย่างมาก โดยในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 33.82 บาท/เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งประเทศไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งปัญหาข้างต้นจะส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกต้องประสบกับปัญหาตลาดส่งออกที่ลดลง ซึ่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็ได้รับผลจากปัจจัยดังกล่าวด้วย หากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทยังคงดำเนินต่อไป จึงไม่ควรมองข้ามผู้ใช้ปลายทางที่เป็นตลาดในประเทศเพื่อเป็นแหล่งรองรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนเกินที่จะประสบปัญหาการส่งออกและเพื่อเป็นการบรรเทาไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในระยะยาว
เหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กโดยรวมในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยการผลิตลดลง ร้อยละ 8.28 ปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ ลดลง ร้อยละ 5.20 เป็นผลมาจากการลดลง ของเหล็กทรงยาว ร้อยละ 10.35 และเหล็กทรงแบน ลดลง ร้อยละ 1.91 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าลดลง ร้อยละ 13.62 และ 21.09 ตามลำดับ เป็นผลมาจากความต้องการใช้ในประเทศของอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่อเนื่องลดลง ประกอบกับราคาเหล็กในตลาดโลกโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น ( ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากประเทศจีนที่มีนโยบายลดการส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป จึงทำให้แทบจะไม่มีสินค้าจากประเทศจีนในตลาดเหล็ก ) จึงทำให้ผู้ผลิตลดการนำเข้าลงและจะนำเข้ามาในปริมาณที่ต้องการใช้เท่านั้น
แนวโน้มสถานการณ์เหล็กโดยรวมในประเทศใน ปี 2551 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความชัดเจนทางการเมืองหลังจากรัฐบาลได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ จากการที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเมกะโปรเจ็คส์ เช่นการสร้างรถไฟฟ้า 9 สาย ภายในเวลา 3 ปี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้ความต้องการใช้เหล็กเพิ่มมากขึ้น
ยานยนต์ อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2550 มีการขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเนื่องจากการส่งออกรถยนต์นั่ง รถบัสและรถบรรทุก มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในตลาดสำคัญ เช่น ออสเตรเลีย อีกทั้งตลาดใหม่ก็มีแนวโน้มการส่งออกที่ดี ในขณะที่ตลาดภายในประเทศชะลอตัวเนื่องจากผู้บริโภคและนักลงทุนยังชะลอการบริโภคและการลงทุน ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีความผันผวนตามราคาในตลาดโลก อย่างไรก็ตามคาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในไตรมาสที่หนึ่ง ปี 2551 จะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกับของปี 2549 โดยพิจารณาจากการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนที่ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2550 และการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ จากข้อมูลแผนการผลิตของผู้ประกอบการ ประมาณการว่า จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.43 ล้านคัน โดยเป็นการผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศประมาณร้อยละ 46 และผลิตเพื่อการส่งออกประมาณร้อยละ 54
แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 จะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกับของปี 2549 โดยพิจารณาจากการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนที่ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2550 และการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ จากข้อมูลแผนการผลิตของผู้ประกอบการ ประมาณการว่า จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.43 ล้านคัน โดยเป็นการผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศประมาณร้อยละ 46 และผลิตเพื่อการส่งออกประมาณร้อยละ 54
พลาสติก ในปี 2550 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,387.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20.23 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 3 ลำดับแรกได้แก่ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบ ถุงและกระสอบพลาสติก และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 29.91 23.21 และ 4.76 การส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกไปตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกาอาจได้รับผลกระทบเพราะปัญหาตลาดซับไพรม์ ซึ่งเป็นปัญหาเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดรอง เช่น ออสเตรเลียพบว่าการส่งออกดีขึ้นและจะดีขึ้นอีกในปีหน้าเพราะการลดภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 ที่จะกลายเป็น 0 ในปี 2551
อุตสาหกรรมพลาสติกยังคงอยู่ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงทั้งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในช่วงชะลอตัวแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศปีหน้าจะมีความแน่นอนมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง และอุปสงค์ในตลาดโลกที่คาดว่าอาจจะชะลอตัวลงด้วยปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
รองเท้าและผลิตภัณฑ์หนัง อุตสาหกรรมรองเท้าและชิ้นส่วน, เครื่องใช้สำหรับเดินทาง, หนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอก ในปี 2550 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7, 13.8 และ 19.3 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตลาดส่งออกหลักของสินค้ารองเท้าปี 2550 คือ สหรัฐอเมริกา เบลเยียม และเดนมาร์ก และตลาดส่งออกสินค้าเครื่องหนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอก คือ ฮ่องกง จีน และเวียดนาม
ในปี 2551 คาดว่าจะมีอัตราการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ และประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการออกแบบ และเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าในเรื่องของคุณภาพ ส่วนรองเท้ากีฬามีแนวโน้มลดลง แต่อัตราการเติบโตโดยรวมของรองเท้าคาดว่าจะต่ำกว่าในปี 2550 ประมาณร้อยละ 3-4 เนื่องจากปัญหาค่าเงินบาทและผลกระทบจากวิกฤตตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยลูกหนี้คุณภาพต่ำของสหรัฐอเมริกา
อาหาร ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมผลิตภัณฑ์ น้ำตาลทราย) ลดลงร้อยละ 28.5 จากไตรมาสที่ 3 ปี 2550 เนื่องจากการผลิตในกลุ่มอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ประมง และปศุสัตว์ ลดลงร้อยละ 51.2 30.9 29.8 และ 25.82 ตามลำดับ (ตารางที่ 1) เป็นผลจากการขาดแคลนวัตถุดิบ ราคาปรับตัวสูงขึ้นทั้งวัตถุดิบและจากภาวะภัยธรรมชาติ และหากพิจารณารวมการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายจะทำให้ภาพรวมของภาวะการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากการเปิดหีบการผลิตที่เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
แนวโน้มของการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 คาดว่าจะยังคงมีทิศทางการผลิต การจำหน่ายในประเทศและส่งออกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และส่งผลต่อเนื่องกับตลาดต่างประเทศ และยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้ในฤดูหนาว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการก่อการร้ายในหลายประเทศ ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศของผู้บริโภคที่ยังชะลอการจับจ่ายใช้สอย การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกรอบใหม่
ไม้และเครื่องเรือน ปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2550 มีปริมาณการผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 19.24 และ 20.75 ตามลำดับ เนื่องจากต้นทุนการผลิต เช่น ราคาไม้ยางพารา ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก รวมทั้ง ราคาน้ำมัน ค่าแรง และค่าขนส่ง ยังปรับตัวสูง เศรษฐกิจและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศยังอยู่ในภาวะซบเซา อีกทั้งผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการปรับลดการลงทุนและการผลิตลง สำหรับในปี 2550 มีปริมาณการผลิตรวมเมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงร้อยละ 9.53
แนวโน้มการผลิตและการจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยในปี 2551 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจที่น่าจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้นหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะทำให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ
ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่ภาคใต้ได้รับมรสุม มีฝนตกหนัก และมีน้ำท่วมบางพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณยางออกสู่ตลาดน้อยลง การผลิตและการจำหน่ายยางและผลิตภัณฑ์ยางขยายตัว มีผลให้มูลค่าการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ขยายตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 12.35 และ 6.15 ตามลำดับ ในช่วงปี 2551 คาดว่าแนวโน้มราคายางพาราจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมยางรถยนต์ ขณะที่ความต้องการยางพาราในตลาดโลกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะจากจีน เนื่องจากจีนเป็นตลาดยานยนต์ที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก
แนวโน้มของอุตสาหกรรมยาง และผลิตภัณฑ์ยางในปี 2551 คาดว่าแนวโน้มราคายางพาราจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมยางรถยนต์ ขณะที่ความต้องการยางพาราในตลาดโลกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะจากจีน เนื่องจากจีนเป็นตลาดยานยนต์ที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก
เยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 มีค่าดัชนีผลผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลงร้อยละ 2.6 ส่วนภาวะการผลิตกระดาษ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ของกระดาษพิมพ์เขียน กระดาษคราฟท์ และกระดาษลูกฟูก มีค่าดัชนีผลผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 6.6 และ 2.4 ตามลำดับ แต่การผลิตกระดาษแข็งในไตรมาสนี้มีค่าดัชนีผลผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลงร้อยละ 4.4 สำหรับปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้การผลิตกระดาษส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน คือ การเตรียมรองรับความต้องการภายในประเทศจากการระบุวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ส่งผลให้มีการสั่งพิมพ์สื่อโฆษณา และเอกสารประกอบการเลือกตั้งทั้งในส่วนของพรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับจะเข้าสู่ช่วงเทศกาล คริสมาสต์และปีใหม่
แนวโน้มของภาวะอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ในไตรมาสหน้าคาดว่า จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากความต้องการเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ของตลาดภายในประเทศ จากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ความมั่นคงในสถานการณ์การเมือง ประกอบกับแผนการขยายการผลิตของบางโรงงานและผู้ผลิตสิ่งพิมพ์ต่างชาติรายใหญ่เริ่มเข้ามาใช้บริการการพิมพ์ ในไทยมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ผลิตหนังสือ/ตำราเรียน
ยา การผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม ในไตรมาสสุดท้าย ของปี 2550 มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ร้อยละ 5.4 และ 1.4 ตามลำดับ และในปี 2550 มีปริมาณการผลิต เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย ร้อยละ 0.4 จะเห็นว่าปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุจากผู้ผลิตที่ประสบปัญหาด้านการผลิต สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว อย่างไรก็ตามการจำหน่ายมีปริมาณลดลง เนื่องจากผู้ผลิตบางรายมีปัญหาด้านวัตถุดิบในการผลิต ทำให้ลดการผลิต และการจำหน่ายสินค้าได้ลดลง
แนวโน้มในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 คาดว่าผู้สั่งซื้อจะทยอยระบายสินค้าที่ซื้อมาในช่วง ไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2550 ออกมาก่อน ทำให้การผลิต และการจำหน่ายยาในประเทศ รวมถึงการนำเข้า และการส่งออกยา ในไตรมาสแรกของปี 2551 จะชะลอตัวจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 8.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นทั้งที่ผลิตจากผ้าถักและผ้าทอร้อยละ 29.2 และ 1.7เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 และ 4.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า ซึ่งผู้ประกอบการสิ่งทอได้ลดการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา และหันมาส่งออกจำหน่ายในตลาดอาเซียนแทน ประกอบกับผู้ประกอบการมีแผนที่จะเพิ่มการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น
แนวโน้มปี 2551 คาดว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะขยายตัวร้อยละ 10 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนคือจีนได้ออกประกาศกฎหมายแรงงานฉบับใหม่มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2551 สาระสำคัญคือนายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยแรงงานในกรณีลาออกหรือไล่ออก จากเดิมจะชดเชยเฉพาะกรณีการให้ออก/ไล่ออก ขณะที่ประเทศไทยต้องจ่ายค่าชดเชยเฉพาะกรณีไล่ออกเท่านั้น นอกจากนี้จีนยังประกาศขึ้นค่าแรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมดร้อยละ 10-15 ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ซึ่งจะส่งผลดีต่อไทยที่กลุ่มสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น หันมาสั่งซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปและเครื่องนุ่งห่มจากประเทศไทยแทน ซึ่งไทยก็มีโอกาสที่จะขยายการส่งออก แต่ต้องผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดด้วย
ปูนซีเมนต์ การผลิตปูนซีเมนต์ ไตรมาสที่ 4 ปี 2550 มีปริมาณการผลิตปูนเม็ดเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลง ร้อยละ 5.57 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการผลิตปูนเม็ดยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว คือเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.50 ส่วนการผลิตซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 8.59 และ 9.47 ตามลำดับ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัย รวมทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐไม่มีความคืบหน้า ส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศลดลงตามไปด้วย
แนวโน้มการผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศไตรมาสที่ 1 ปี 2551 คาดว่ามีโอกาสปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากการเข้ามาของรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนขยายธุรกิจต่าง ๆ มากขึ้น โดยจะเพิ่มขึ้นจากการบริโภคในภาคครัวเรือน โครงการลงทุนขนาดเล็ก และโครงการต่อเนื่องของภาครัฐเป็นหลัก แต่ในส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอาจจะเกิดเป็นรูปธรรมได้เร็วที่สุดในช่วงปลายปี 2551
เซรามิก การผลิตเซรามิก ไตรมาสที่ 4 ปี 2550 กระเบื้อง ปูพื้น บุผนัง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 10.83 และ 3.06 ตามลำดับ สำหรับเครื่องสุขภัณฑ์เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ลดลงเพียงเล็กน้อยร้อยละ 0.33 และเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.85 ซึ่งในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะซบเซาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ และปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จนผู้ผลิตในประเทศหันมานำเข้าสินค้าที่มีราคาถูกจากจีนแทนการผลิตเอง
แนวโน้มการผลิตและจำหน่ายเซรามิก ไตรมาสที่ 1 ปี 2551 จะเพิ่มขึ้นตามตลาดในช่วงฤดูกาลขาย แต่ในภาพรวมแล้วการผลิตและจำหน่ายเซรามิก ในปี 2551 ยังคงขึ้นอยู่กับภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ และการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นกลับคืนมาได้หรือไม่
อัญมณีและเครื่องประดับ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ด้านการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.37 และการจำหน่ายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.77 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนด้านการส่งออกมีการขยายตัวอย่างสูงมากคือ เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 17.34 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
แนวโน้มภาพรวมการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 จากการที่แนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกเครื่องประดับแท้ที่ทำด้วยทอง เนื่องจากผู้นำเข้าจะชะลอการสั่งซื้อเพื่อดูทิศทางราคาทองคำว่าจะปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลง อย่างไรก็ดีหากปัญหาการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Sub prime) ที่สหรัฐอเมริกาเผชิญอยู่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ไม่ยุติลงโดยเร็ว อาจส่งผลให้ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกามีความกังวลและมีการใช้จ่ายอย่างระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตามการหาตลาดใหม่ๆ และผลจาก JTEPA จะเป็นปัจจัยสนับสนุน ดังนั้นคาดว่าแนวโน้มการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 จะลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2550
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
สำหรับเศรษฐกิจไทยนั้นในไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 ขยายตัวร้อยละ 4.9 ซึ่งขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (ร้อยละ 4.3) และไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (ร้อยละ 4.5) โดยปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ การใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคและการลงทุนภาคเอกชนที่ปรับตัวดีขึ้น และการเบิกจ่ายงบประมาณเพิ่มขึ้นมาก รวมทั้งการส่งออกยังขยายตัวได้ในเกณฑ์ดีแม้ว่าจะเริ่มชะลอตัว และสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคาดว่า เศรษฐกิจไทยปี 2550 จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 4.5
ในส่วนของภาคอุตสาหกรรมไทยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ตัวชี้วัดต่าง ๆ ส่วนใหญ่ มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2549 เช่น ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 53 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 184.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (174.7) ร้อยละ 5.3 และไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (163.1) ร้อยละ 12.8 อย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและธุรกิจ และดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549
ขณะที่สถานการณ์การค้าต่างประเทศในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 มีทิศทางเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ของปี 2550 โดยโดยในไตรมาสที่ 4 นี้ การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 80,376.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นมูลค่าส่งออกเท่ากับ 42,502.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 37,873.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.0 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 23.4 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.5 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ดุลการค้าเกินดุล 4,629.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในปี 2550 การส่งออกยังคงขยายตัวได้ดีตลอดปี จากที่คาดว่าจะชะลอลงในช่วงครึ่งหลังของปี โดยมูลค่าการส่งออกปี 2550 ขยายตัวถึงร้อยละ 17.5 จากที่ตั้งเป้าหมายไว้ที่ร้อยละ 12.5 ซึ่งปัจจัยสำคัญมาจากกลุ่มตลาดใหม่ที่ในปี 2550 ขยายตัวถึงร้อยละ 25.9 จากเป้าหมายที่ร้อยละ 19.3 โดยตลาดใหม่ที่โตมากคือ ยุโรปตะวันออก อินเดีย แอฟริกา และละตินอเมริกา นอกจากนี้การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมรายการสำคัญส่วนใหญ่ยังคงขยายตัวสูง โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มเทคโนโลยี (เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ยานยนต์ เคมีภัณฑ์และพลาสติก) รวมทั้งสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายน มีมูลค่ารวม 46,203.9 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.52 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 20,235.41 ล้านบาท และเดือนพฤศจิกายน 25,968.49 ล้านบาท สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 325 โครงการ ลดลงร้อยละ 1.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีเงินลงทุน 207,900 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 99.52 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 125 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 84,300 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 99 โครงการ เป็นเงินลงทุน 93,700 ล้านบาท เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะและอุปกรณ์ มีเงินลงทุน 79,300 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุน 47,500 ล้านบาท และหมวดเคมี กระดาษและพลาสติกมีเงินลงทุน 32,300 ล้านบาท
ภาวะอุตสาหกรรมในแต่ละสาขา
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ภาวะการผลิตสินค้าในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 มีดัชนีผลผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่ที่ 118.24 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสก่อน โดยดัชนีผลผลิตปรับลดลงร้อยละ 7.00สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการผลิตลดลงจากไตรมาสก่อน 3 อันดับแรก ได้แก่ พัดลม โทรทัศน์สี (ขนาดจอ 21 นิ้ว หรือมากกว่า) และตู้เย็น ปรับตัวลดลงร้อยละ 21.58 16.60 และ 10.80 ตามลำดับ สำหรับภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 จากรายงานของสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมพบว่าดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาสที่ 4 เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.48 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 36.42 โดยสินค้าที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นมากเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน คือ Hard Disk Drive และ Other IC เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.20 และ 34.68 ตามลำดับ
แนวโน้มของอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าของไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ประมาณการจากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ปริมาณการจำหน่ายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 2.01 ทั้งนี้เนื่องจากการขยายตัวจากผลิตภัณฑ์เครื่องปรับอากาศเป็นหลัก โดยได้รับอานิสงค์จากตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ ตลาดอียู และตะวันออกกลาง สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ของไทยในไตรมาสที่ 1 ปี 2551โดยประมาณการจากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ พบว่า ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 มีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 34.85 หากพิจารณาเป็นรายผลิตภัณฑ์ พบว่า แนวโน้มปริมาณจำหน่าย HDD จะปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20.60 และ IC จะปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 ร้อยละ 15.84
เคมีภัณฑ์ ในไตรมาส 4 ปี 2550 การส่งออกเคมีภัณฑ์อินทรีย์มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 16.17 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.11 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เคมีภัณฑ์อนินทรีย์มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.95 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเครื่องสำอางหรือสิ่งปรุงแต่งสำหรับประทินร่างกายมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.44 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.18 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมปุ๋ยมีมูลค่าการส่งออกลดลงร้อยละ 43.68 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงร้อยละ 38.02 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ จากการที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์จะได้รับผลประโยชน์ เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่พึ่งพิงการนำเข้าวัตถุดิบจากต่างประเทศซึ่งจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตในส่วนของวัตถุดิบลดลง ดังนั้น ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ควรถือโอกาสนี้ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยการซื้อเครื่องจักรที่ทันสมัย หรือสั่งซื้อวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อขยายตลาดภายในประเทศ และตลาดส่งออกในอนาคต
ปิโตรเคมี ในไตรมาส 4 ปี 2550 การส่งออกปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32.60 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว แต่ลดลงร้อยละ 7.97 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออกลดลงร้อยละ 11.84 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงร้อยละ 19.09 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.07 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จากการที่ค่าเงินบาทมีการปรับค่าแข็งขึ้นอย่างมาก โดยในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 33.82 บาท/เหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งประเทศไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งปัญหาข้างต้นจะส่งผลให้เกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกต้องประสบกับปัญหาตลาดส่งออกที่ลดลง ซึ่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็ได้รับผลจากปัจจัยดังกล่าวด้วย หากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทยังคงดำเนินต่อไป จึงไม่ควรมองข้ามผู้ใช้ปลายทางที่เป็นตลาดในประเทศเพื่อเป็นแหล่งรองรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนเกินที่จะประสบปัญหาการส่งออกและเพื่อเป็นการบรรเทาไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในระยะยาว
เหล็กและเหล็กกล้า สถานการณ์เหล็กโดยรวมในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน โดยการผลิตลดลง ร้อยละ 8.28 ปริมาณความต้องการใช้ในประเทศ ลดลง ร้อยละ 5.20 เป็นผลมาจากการลดลง ของเหล็กทรงยาว ร้อยละ 10.35 และเหล็กทรงแบน ลดลง ร้อยละ 1.91 มูลค่าและปริมาณการนำเข้าลดลง ร้อยละ 13.62 และ 21.09 ตามลำดับ เป็นผลมาจากความต้องการใช้ในประเทศของอุตสาหกรรมก่อสร้างและอุตสาหกรรมต่อเนื่องลดลง ประกอบกับราคาเหล็กในตลาดโลกโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น ( ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากประเทศจีนที่มีนโยบายลดการส่งออกผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูป จึงทำให้แทบจะไม่มีสินค้าจากประเทศจีนในตลาดเหล็ก ) จึงทำให้ผู้ผลิตลดการนำเข้าลงและจะนำเข้ามาในปริมาณที่ต้องการใช้เท่านั้น
แนวโน้มสถานการณ์เหล็กโดยรวมในประเทศใน ปี 2551 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความชัดเจนทางการเมืองหลังจากรัฐบาลได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่เข้ามาบริหารประเทศเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนมีความมั่นใจในการลงทุนเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ จากการที่รัฐบาลได้ประกาศนโยบายเมกะโปรเจ็คส์ เช่นการสร้างรถไฟฟ้า 9 สาย ภายในเวลา 3 ปี จะเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้ความต้องการใช้เหล็กเพิ่มมากขึ้น
ยานยนต์ อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2550 มีการขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อันเนื่องจากการส่งออกรถยนต์นั่ง รถบัสและรถบรรทุก มีแนวโน้มขยายตัวได้ดีในตลาดสำคัญ เช่น ออสเตรเลีย อีกทั้งตลาดใหม่ก็มีแนวโน้มการส่งออกที่ดี ในขณะที่ตลาดภายในประเทศชะลอตัวเนื่องจากผู้บริโภคและนักลงทุนยังชะลอการบริโภคและการลงทุน ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันที่มีความผันผวนตามราคาในตลาดโลก อย่างไรก็ตามคาดว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ในไตรมาสที่หนึ่ง ปี 2551 จะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกับของปี 2549 โดยพิจารณาจากการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนที่ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2550 และการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ จากข้อมูลแผนการผลิตของผู้ประกอบการ ประมาณการว่า จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.43 ล้านคัน โดยเป็นการผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศประมาณร้อยละ 46 และผลิตเพื่อการส่งออกประมาณร้อยละ 54
แนวโน้มอุตสาหกรรมยานยนต์ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 จะขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกับของปี 2549 โดยพิจารณาจากการอุปโภคบริโภคของภาคเอกชนที่ฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2550 และการส่งออกที่ยังสามารถขยายตัวได้ จากข้อมูลแผนการผลิตของผู้ประกอบการ ประมาณการว่า จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1.43 ล้านคัน โดยเป็นการผลิตเพื่อการจำหน่ายในประเทศประมาณร้อยละ 46 และผลิตเพื่อการส่งออกประมาณร้อยละ 54
พลาสติก ในปี 2550 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,387.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20.23 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม ผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 3 ลำดับแรกได้แก่ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบ ถุงและกระสอบพลาสติก และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 29.91 23.21 และ 4.76 การส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกไปตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกาอาจได้รับผลกระทบเพราะปัญหาตลาดซับไพรม์ ซึ่งเป็นปัญหาเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดรอง เช่น ออสเตรเลียพบว่าการส่งออกดีขึ้นและจะดีขึ้นอีกในปีหน้าเพราะการลดภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 ที่จะกลายเป็น 0 ในปี 2551
อุตสาหกรรมพลาสติกยังคงอยู่ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงทั้งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในช่วงชะลอตัวแม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศปีหน้าจะมีความแน่นอนมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง และอุปสงค์ในตลาดโลกที่คาดว่าอาจจะชะลอตัวลงด้วยปัญหาซับไพรม์ในสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
รองเท้าและผลิตภัณฑ์หนัง อุตสาหกรรมรองเท้าและชิ้นส่วน, เครื่องใช้สำหรับเดินทาง, หนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอก ในปี 2550 มีมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.7, 13.8 และ 19.3 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ตลาดส่งออกหลักของสินค้ารองเท้าปี 2550 คือ สหรัฐอเมริกา เบลเยียม และเดนมาร์ก และตลาดส่งออกสินค้าเครื่องหนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอก คือ ฮ่องกง จีน และเวียดนาม
ในปี 2551 คาดว่าจะมีอัตราการส่งออกที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากมีการเปิดตลาดในประเทศใหม่ๆ และประเทศไทยมีศักยภาพในด้านการออกแบบ และเป็นที่ยอมรับจากลูกค้าในเรื่องของคุณภาพ ส่วนรองเท้ากีฬามีแนวโน้มลดลง แต่อัตราการเติบโตโดยรวมของรองเท้าคาดว่าจะต่ำกว่าในปี 2550 ประมาณร้อยละ 3-4 เนื่องจากปัญหาค่าเงินบาทและผลกระทบจากวิกฤตตลาดสินเชื่อที่อยู่อาศัยลูกหนี้คุณภาพต่ำของสหรัฐอเมริกา
อาหาร ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมผลิตภัณฑ์ น้ำตาลทราย) ลดลงร้อยละ 28.5 จากไตรมาสที่ 3 ปี 2550 เนื่องจากการผลิตในกลุ่มอาหารสัตว์ ผลิตภัณฑ์นม ประมง และปศุสัตว์ ลดลงร้อยละ 51.2 30.9 29.8 และ 25.82 ตามลำดับ (ตารางที่ 1) เป็นผลจากการขาดแคลนวัตถุดิบ ราคาปรับตัวสูงขึ้นทั้งวัตถุดิบและจากภาวะภัยธรรมชาติ และหากพิจารณารวมการผลิตผลิตภัณฑ์น้ำตาลทรายจะทำให้ภาพรวมของภาวะการผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 จากการเปิดหีบการผลิตที่เร็วขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน
แนวโน้มของการผลิตและการส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 คาดว่าจะยังคงมีทิศทางการผลิต การจำหน่ายในประเทศและส่งออกที่ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา และส่งผลต่อเนื่องกับตลาดต่างประเทศ และยังต้องติดตามปัจจัยเสี่ยงต่างๆ เช่น ราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณการใช้ในฤดูหนาว สถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกจากความไม่แน่นอนทางการเมืองและการก่อการร้ายในหลายประเทศ ความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจในประเทศของผู้บริโภคที่ยังชะลอการจับจ่ายใช้สอย การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดนกรอบใหม่
ไม้และเครื่องเรือน ปริมาณการผลิตของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2550 มีปริมาณการผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 19.24 และ 20.75 ตามลำดับ เนื่องจากต้นทุนการผลิต เช่น ราคาไม้ยางพารา ซึ่งเป็นวัตถุดิบหลัก รวมทั้ง ราคาน้ำมัน ค่าแรง และค่าขนส่ง ยังปรับตัวสูง เศรษฐกิจและภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายในประเทศยังอยู่ในภาวะซบเซา อีกทั้งผู้ประกอบการได้รับผลกระทบจากการที่ค่าเงินบาทแข็งขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการปรับลดการลงทุนและการผลิตลง สำหรับในปี 2550 มีปริมาณการผลิตรวมเมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงร้อยละ 9.53
แนวโน้มการผลิตและการจำหน่ายในประเทศของอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนของไทยในปี 2551 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากสถานการณ์ทางการเมืองและนโยบายเศรษฐกิจที่น่าจะมีความชัดเจนยิ่งขึ้นหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งจะทำให้ทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นมากยิ่งขึ้น ประกอบกับมีปัจจัยสนับสนุนอื่น ๆ
ยางและผลิตภัณฑ์ยาง ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ราคายางพาราปรับตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็นช่วงที่ภาคใต้ได้รับมรสุม มีฝนตกหนัก และมีน้ำท่วมบางพื้นที่ ส่งผลให้ปริมาณยางออกสู่ตลาดน้อยลง การผลิตและการจำหน่ายยางและผลิตภัณฑ์ยางขยายตัว มีผลให้มูลค่าการส่งออกยางและผลิตภัณฑ์ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ขยายตัวสูงขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 12.35 และ 6.15 ตามลำดับ ในช่วงปี 2551 คาดว่าแนวโน้มราคายางพาราจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมยางรถยนต์ ขณะที่ความต้องการยางพาราในตลาดโลกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะจากจีน เนื่องจากจีนเป็นตลาดยานยนต์ที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก
แนวโน้มของอุตสาหกรรมยาง และผลิตภัณฑ์ยางในปี 2551 คาดว่าแนวโน้มราคายางพาราจะยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศเพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกำลังการผลิตของอุตสาหกรรมยางรถยนต์ ขณะที่ความต้องการยางพาราในตลาดโลกยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะจากจีน เนื่องจากจีนเป็นตลาดยานยนต์ที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก
เยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 มีค่าดัชนีผลผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลงร้อยละ 2.6 ส่วนภาวะการผลิตกระดาษ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ของกระดาษพิมพ์เขียน กระดาษคราฟท์ และกระดาษลูกฟูก มีค่าดัชนีผลผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 6.6 และ 2.4 ตามลำดับ แต่การผลิตกระดาษแข็งในไตรมาสนี้มีค่าดัชนีผลผลิตเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลงร้อยละ 4.4 สำหรับปัจจัยสนับสนุนสำคัญที่ทำให้การผลิตกระดาษส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน คือ การเตรียมรองรับความต้องการภายในประเทศจากการระบุวันเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ส่งผลให้มีการสั่งพิมพ์สื่อโฆษณา และเอกสารประกอบการเลือกตั้งทั้งในส่วนของพรรคการเมืองและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบกับจะเข้าสู่ช่วงเทศกาล คริสมาสต์และปีใหม่
แนวโน้มของภาวะอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ในไตรมาสหน้าคาดว่า จะปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากความต้องการเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ของตลาดภายในประเทศ จากการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ความมั่นคงในสถานการณ์การเมือง ประกอบกับแผนการขยายการผลิตของบางโรงงานและผู้ผลิตสิ่งพิมพ์ต่างชาติรายใหญ่เริ่มเข้ามาใช้บริการการพิมพ์ ในไทยมากขึ้นโดยเฉพาะผู้ผลิตหนังสือ/ตำราเรียน
ยา การผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม ในไตรมาสสุดท้าย ของปี 2550 มีปริมาณเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสก่อน ร้อยละ 5.4 และ 1.4 ตามลำดับ และในปี 2550 มีปริมาณการผลิต เพิ่มขึ้นจากปีก่อนเล็กน้อย ร้อยละ 0.4 จะเห็นว่าปริมาณการผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสสุดท้ายของปี 2550 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุจากผู้ผลิตที่ประสบปัญหาด้านการผลิต สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว อย่างไรก็ตามการจำหน่ายมีปริมาณลดลง เนื่องจากผู้ผลิตบางรายมีปัญหาด้านวัตถุดิบในการผลิต ทำให้ลดการผลิต และการจำหน่ายสินค้าได้ลดลง
แนวโน้มในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 คาดว่าผู้สั่งซื้อจะทยอยระบายสินค้าที่ซื้อมาในช่วง ไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2550 ออกมาก่อน ทำให้การผลิต และการจำหน่ายยาในประเทศ รวมถึงการนำเข้า และการส่งออกยา ในไตรมาสแรกของปี 2551 จะชะลอตัวจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย
สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิตในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 3.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 8.0 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นทั้งที่ผลิตจากผ้าถักและผ้าทอร้อยละ 29.2 และ 1.7เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.9 และ 4.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเป็นคำสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้า ซึ่งผู้ประกอบการสิ่งทอได้ลดการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา และหันมาส่งออกจำหน่ายในตลาดอาเซียนแทน ประกอบกับผู้ประกอบการมีแผนที่จะเพิ่มการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น
แนวโน้มปี 2551 คาดว่าอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะขยายตัวร้อยละ 10 ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนคือจีนได้ออกประกาศกฎหมายแรงงานฉบับใหม่มีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2551 สาระสำคัญคือนายจ้างจะต้องจ่ายค่าชดเชยแรงงานในกรณีลาออกหรือไล่ออก จากเดิมจะชดเชยเฉพาะกรณีการให้ออก/ไล่ออก ขณะที่ประเทศไทยต้องจ่ายค่าชดเชยเฉพาะกรณีไล่ออกเท่านั้น นอกจากนี้จีนยังประกาศขึ้นค่าแรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษทั้งหมดร้อยละ 10-15 ซึ่งจะทำให้มีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 ซึ่งจะส่งผลดีต่อไทยที่กลุ่มสหภาพยุโรป และญี่ปุ่น หันมาสั่งซื้อเสื้อผ้าสำเร็จรูปและเครื่องนุ่งห่มจากประเทศไทยแทน ซึ่งไทยก็มีโอกาสที่จะขยายการส่งออก แต่ต้องผลิตสินค้าให้ตรงตามความต้องการของตลาดด้วย
ปูนซีเมนต์ การผลิตปูนซีเมนต์ ไตรมาสที่ 4 ปี 2550 มีปริมาณการผลิตปูนเม็ดเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลง ร้อยละ 5.57 แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการผลิตปูนเม็ดยังอยู่ในระดับที่ทรงตัว คือเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.50 ส่วนการผลิตซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและไตรมาสเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 8.59 และ 9.47 ตามลำดับ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากอุปสงค์ในประเทศที่ชะลอตัว โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัย รวมทั้งการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐไม่มีความคืบหน้า ส่งผลให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ภายในประเทศลดลงตามไปด้วย
แนวโน้มการผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศไตรมาสที่ 1 ปี 2551 คาดว่ามีโอกาสปรับตัวดีขึ้นภายหลังจากการเข้ามาของรัฐบาลชุดใหม่ ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการลงทุนขยายธุรกิจต่าง ๆ มากขึ้น โดยจะเพิ่มขึ้นจากการบริโภคในภาคครัวเรือน โครงการลงทุนขนาดเล็ก และโครงการต่อเนื่องของภาครัฐเป็นหลัก แต่ในส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐอาจจะเกิดเป็นรูปธรรมได้เร็วที่สุดในช่วงปลายปี 2551
เซรามิก การผลิตเซรามิก ไตรมาสที่ 4 ปี 2550 กระเบื้อง ปูพื้น บุผนัง เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 10.83 และ 3.06 ตามลำดับ สำหรับเครื่องสุขภัณฑ์เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ลดลงเพียงเล็กน้อยร้อยละ 0.33 และเทียบกับระยะเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 5.85 ซึ่งในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ยังคงได้รับผลกระทบจากปัญหาภาวะซบเซาของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ และปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น จนผู้ผลิตในประเทศหันมานำเข้าสินค้าที่มีราคาถูกจากจีนแทนการผลิตเอง
แนวโน้มการผลิตและจำหน่ายเซรามิก ไตรมาสที่ 1 ปี 2551 จะเพิ่มขึ้นตามตลาดในช่วงฤดูกาลขาย แต่ในภาพรวมแล้วการผลิตและจำหน่ายเซรามิก ในปี 2551 ยังคงขึ้นอยู่กับภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศ และการแก้ไขปัญหาทางเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ที่จะทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคฟื้นกลับคืนมาได้หรือไม่
อัญมณีและเครื่องประดับ ในไตรมาสที่ 4 ปี 2550 ด้านการผลิตขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.37 และการจำหน่ายได้ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.77 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนด้านการส่งออกมีการขยายตัวอย่างสูงมากคือ เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 17.34 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
แนวโน้มภาพรวมการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 จากการที่แนวโน้มราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้นแตะระดับ 900 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการส่งออกเครื่องประดับแท้ที่ทำด้วยทอง เนื่องจากผู้นำเข้าจะชะลอการสั่งซื้อเพื่อดูทิศทางราคาทองคำว่าจะปรับตัวสูงขึ้นหรือลดลง อย่างไรก็ดีหากปัญหาการปล่อยสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ด้อยคุณภาพ (Sub prime) ที่สหรัฐอเมริกาเผชิญอยู่ในปัจจุบันมีแนวโน้มที่ไม่ยุติลงโดยเร็ว อาจส่งผลให้ผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกามีความกังวลและมีการใช้จ่ายอย่างระวังมากขึ้น อย่างไรก็ตามการหาตลาดใหม่ๆ และผลจาก JTEPA จะเป็นปัจจัยสนับสนุน ดังนั้นคาดว่าแนวโน้มการส่งออกในไตรมาสที่ 1 ปี 2551 จะลดลงบ้างเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2550
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-