ภาพรวมอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้ระบบเศรษฐกิจ
ของประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการจำนวนมากหลายพันราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นอก
จากนี้พลาสติกยังเป็นอุตสาหกรรมเชื่อมต่อระหว่างอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่ป้อนวัตถุดิบเม็ดพลาสติก ซึ่งผลิตต่อเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกรูปแบบต่างๆ กับ
อุตสาหกรรมต่อเนื่องนานาประเภท อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องแต่งกาย รองเท้า วัสดุก่อสร้าง
เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องเขียน ของเล่น เครื่องกีฬา บรรจุภัณฑ์ อาหารแปรรูป ฯลฯ ที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นวัตถุดิบ กึ่ง
สำเร็จรูปหรือเป็นส่วนประกอบการผลิต แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2550 ที่ผ่านมาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกกลับประสบปัญหาต่างๆ
อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีราคาสูงขึ้นตลอดปี 2550 ทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้รับผลกระทบเป็นลูก
โซ่ โดยเฉพาะราคาเม็ดพลาสติกที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าพลาสติกสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังประสบกับปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าอย่าง
ต่อเนื่อง แม้ว่าภาครัฐจะได้มีมาตรการลดผลกระทบแล้วก็ตาม
ผลิตภัณฑ์พลาสติก
ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตในประเทศไทย ที่สำคัญได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก แผ่นฟิลม์ ฟอยล์ เป็นต้น อุตสาหกรรมพลาสติกมีจำนวน
โรงงานทั่วประเทศประมาณ 5,000 โรง ทั้งนี้โรงงานส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก และมีเพียงร้อยละ 10 ที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมที่ใช้
พลาสติกเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้แก่ บรรจุภัณฑ์ สิ่งทอ รองเท้า วัสดุก่อสร้าง ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
โครงสร้างต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกประกอบด้วยวัตถุดิบ(เม็ดพลาสติก) ร้อยละ 70 แรงงานร้อยละ 10 — 15 พลังงานร้อย
ละ 8 ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร้อยละ 7-12
การตลาด
การส่งออก
ปี 2550 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,387.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20.23 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน
มา ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 3 ลำดับแรกได้แก่ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบ ถุงและกระสอบพลาสติก และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก ซึ่งมี
สัดส่วนร้อยละ 29.91 23.21 และ 4.76 เมื่อเทียบกับยอดรวมการส่งออกผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้ พบว่าผลิตภัณฑ์หลักที่จะมีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก
ได้แก่ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ พลาสติกปูพื้นและผนัง และ กล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก โดยมีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.79 31.49
และ 73.00 ตามลำดับ
การส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกไปตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกาอาจได้รับผลกระทบเพราะปัญหาตลาดซับไพรม์ หรือ ภาวะวิกฤติสินเชื่อ
อสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ ซึ่งเป็นปัญหาเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดรอง เช่น ออสเตรเลียพบว่าการส่งออกดีขึ้นและจะดีขึ้นอีกในปีหน้า
เพราะการลดภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 ที่จะกลายเป็น 0 ในปี 2551
ประเภทผลิตภัณฑ์ มูลค่าส่งออก (ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 2548 2549
2546 2547 2548 2549 2550 Q4 Q4 Q4 เทียบกับ2549 เทียบกับ2550
2548 2549 2550 (ร้อยละ) (ร้อยละ)
ถุงและกระสอบพลาสติก 385 372.9 518.8 530.4 554 134 124.4 157.8 2.24 4.45
แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ 354.2 466.1 536.7 558.7 714 139 128 197.5 4.1 27.79
เครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบฯ 34.1 25.8 22.6 17.9 21.3 5.1 3.9 5.8 -20.8 18.88
กล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก 21.1 26.3 30.9 30 51.9 8.3 5.4 17.9 -2.91 73
เครื่องใช้สำนักงานทำด้วยพลาสติก 33.4 21.8 22.6 20.2 21.6 5.3 4.4 5.7 -10.62 7.08
หลอดและท่อพลาสติก 26.7 32.7 41.5 46 51.3 13.3 8.5 15.7 10.84 11.57
พลาสติกปูพื้นและผนัง 39.1 40.1 50.6 59.1 77.7 13.9 8.7 18.8 16.8 31.49
เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก 63.2 68.9 84 98.9 113.7 21 28.6 30.4 17.74 14.95
ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ 344.4 493.2 551.1 624.2 781.5 139 154.5 214.4 13.26 25.19
รวมทั้งสิ้น 1,301.20 1,547.80 1,858.80 1,985.40 2,387.00 479 466.4 664 6.81 20.23
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร
การนำเข้า
ในปี 2550 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้าประมาณ 2,377.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.96 เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยมีการนำเข้าแผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.95 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหลอดและท่อพลาสติกมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ
12.71 เมื่อเทียบกับปีก่อน แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ สำหรับผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่านำ
เข้าสูงสุด คือ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก โดยมีสัดส่วนนำเข้าร้อยละ 36.14 ของการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก
ประเภทผลิตภัณฑ์ มูลค่าส่งออก (ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 2548 2549
2546 2547 2548 2549 2550 Q4 Q4 Q4 เทียบกับ2549 เทียบกับ2550
2548 2549 2550 (ร้อยละ) (ร้อยละ)
หลอดและท่อพลาสติก 66.8 80.5 79.7 88.2 99.4 19.3 21 33.9 9.64 12.71
แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก 586 668.9 742.4 767.5 859.2 188 183.1 231.1 3.27 11.95
ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ 1,006.40 1,174.00 1,224.00 1,366.90 1,418.70 316 336.7 389.3 10.45 3.79
รวมทั้งสิ้น 1,659.20 1,923.40 2,046.10 2,222.60 2,377.40 524 540.8 654.4 7.94 6.96
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร
แนวโน้ม
จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นตลอดปี 2550 ทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างต่อ
เนื่องทั้งห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ผู้ประกอบการต้องพยายามลดต้นทุนในการผลิตรวมทั้งระมัดระวังการสต๊อกวัตถุดิบที่มีราคาผันผวนเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
อุตสาหกรรมพลาสติกยังคงอยู่ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงทั้งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในช่วงชะลอตัวแม้ว่า
สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศปีหน้าจะมีความแน่นอนมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง และอุปสงค์ในตลาดโลกที่คาดว่าอาจจะชะลอตัวลงด้วยปัญหา
ซับไพรม์ในสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 33.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้
ประกอบการไทยสูญเสียความได้เปรียบด้านการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน และจะส่งผลให้การแข่งขันมีความรุนแรงและ
ยากลำบากขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นและมีความผันผวนค่อน
ข้างมาก ค่าระวางที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ยังคงส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมนี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ดังนั้นจึงควรมีการกำหนดนโยบายอย่างชัดเจน และมีการนำกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น เช่น การส่ง
เสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ หรือ การพัฒนาช่องทางการขนส่งใหม่ๆ เพื่อลดระยะทาง ระยะเวลา และต้นทุนค่าขนส่ง รวมทั้งจะต้องมีการผลิตเพื่อ
ทดแทนการนำเข้าและมีการส่งเสริมการส่งออกให้มากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาการผลิตให้สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และ เป็นที่ต้องการของตลาด
รวมทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำเพื่อให้สามารถผลิตได้อย่างครบวงจรมากขึ้น เพื่อลดภาระต้นทุนและความเสี่ยง
ของผู้ผลิตของไทยจากการซื้อวัตถุดิบที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น
ในส่วนของกฎระเบียบในตลาดที่สำคัญต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย เช่น สหภาพยุโรปที่ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ
วัสดุสัมผัสอาหารและภาชนะบรรจุอาหารที่มีการหลุดลอกและส่งผ่านสารปนเปื้อนลงสู่อาหารที่บรรจุ ที่ส่งผลต่อสุขภาพผู้บริโภคและคุณภาพอาหารทั้งทาง
ตรงและทางอ้อม โดยมีสารกลุ่มที่อียูให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ กลุ่มพทาเลท (Phthalate) ซึ่งเป็นสารที่ก่ออันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร ทำลาย
ไต กระเพาะปัสสาวะ และสาร ESBO (Epoxidised Soy Bean Oil) ซึ่งมีผลต่อตับและไต โดยประเด็นปัญหาการหลุดลอกของสารทั้งสองกลุ่มดัง
กล่าวจากประเก็นที่ทำจากพลาสติกประเภท PVC ของฝาขวดแก้วที่ทำด้วยโลหะลงสู่อาหารเป็นประเด็นใหม่ที่อียูเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยสหภาพ
ยุโรปจะบังคับใช้ระเบียบว่าด้วยวัสดุสัมผัสอาหารประเภทพลาสติกตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป กำหนดให้สาร ESBO เป็น 1 ใน 7 สารที่
อนุญาตให้ใช้เป็นสารเจือปนหรือพลาสติกไซเซอร์เติมลงในการผลิตวัสดุพลาสติกได้ และกำหนดค่า MRLs ของสาร ESBO ที่อนุญาตให้หลุดลอกออกมา
และตกค้างในอาหารได้ไม่เกิน60 มิลลิกรัม/กิโลกรัมในอาหารทั่วไป และไม่เกิน 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัมในอาหารสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี
ส่วนสารในกลุ่มphthalate กำหนดให้ค่าMRLs มีไม่เกิน0.05มิลลิกรัม/กิโลกรัม
นอกจากนี้ยังออกระเบียบ REACH (Registration, Evaluation, Authorisation and Restriction of Chemicals) เพิ่ม
ความเข้มงวดด้านความปลอดภัย ตั้งแต่แหล่งกำเนิดสินค้า ไปตลอดห่วงโซ่อุปทานของการขนส่งสินค้า ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องยื่นเอกสารที่มีความถูก
ต้องและเชื่อถือได้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับการประเมิน วิเคราะห์ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของสินค้า หากผู้ประกอบการรายใดไม่ปฏิบัติตาม
จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำสินค้าขึ้นเรือขนส่งที่จะเข้า-ออกจากอียูได้
ที่ผ่านมาภาครัฐได้มีความพยายามที่จะสร้างความตระหนักให้แก่ผู้ประกอบการในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เกิดการปรับตัวและสามารถ
รองรับกฎระเบียบใหม่ๆ เหล่านี้ และที่ผ่านมาผู้ผลิตของไทยได้ดำเนินการปรับปรุงกระบวนการจัดการให้มีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุง
ประสิทธิภาพในการผลิตโดยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค เช่น “พลาสติกเขียว” หรือวัสดุ
พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พลาสติกชีวภาพ (Bio-plastic) อย่าง PLA (Polylactic Acid) ซึ่งทำจากข้าวโพดหรือมันสำปะหลังที่นำไป
ผสมกับ PP(Polypropylene) แล้วจะสามารถย่อยสลายได้ ตลาดมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมหรือการลดภาวะโลกร้อน การรณรงค์
ให้รีไซเคิล และการใช้ไบโอพลาสติกที่มีคุณสมบัติย่อยสลายเร็ว ซึ่งผู้ประกอบการของไทยจะต้องปรับตัวเพื่อขยายตลาดและรักษามูลค่าการส่งออกของ
ไทยเอาไว้
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
อุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สำคัญยิ่งต่อเศรษฐกิจไทย เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมสร้างมูลค่าเพิ่มให้ระบบเศรษฐกิจ
ของประเทศปีละหลายหมื่นล้านบาท อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการจำนวนมากหลายพันราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม นอก
จากนี้พลาสติกยังเป็นอุตสาหกรรมเชื่อมต่อระหว่างอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ที่ป้อนวัตถุดิบเม็ดพลาสติก ซึ่งผลิตต่อเป็นผลิตภัณฑ์พลาสติกรูปแบบต่างๆ กับ
อุตสาหกรรมต่อเนื่องนานาประเภท อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องแต่งกาย รองเท้า วัสดุก่อสร้าง
เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้สำนักงาน เครื่องเขียน ของเล่น เครื่องกีฬา บรรจุภัณฑ์ อาหารแปรรูป ฯลฯ ที่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์พลาสติกเป็นวัตถุดิบ กึ่ง
สำเร็จรูปหรือเป็นส่วนประกอบการผลิต แต่อย่างไรก็ดี ในช่วงปี 2550 ที่ผ่านมาผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกกลับประสบปัญหาต่างๆ
อย่างต่อเนื่อง เริ่มตั้งแต่ ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีราคาสูงขึ้นตลอดปี 2550 ทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้รับผลกระทบเป็นลูก
โซ่ โดยเฉพาะราคาเม็ดพลาสติกที่เพิ่มสูงขึ้นส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสินค้าพลาสติกสูงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังประสบกับปัญหาค่าเงินบาทแข็งค่าอย่าง
ต่อเนื่อง แม้ว่าภาครัฐจะได้มีมาตรการลดผลกระทบแล้วก็ตาม
ผลิตภัณฑ์พลาสติก
ผลิตภัณฑ์พลาสติกที่ผลิตในประเทศไทย ที่สำคัญได้แก่ ถุงและกระสอบพลาสติก แผ่นฟิลม์ ฟอยล์ เป็นต้น อุตสาหกรรมพลาสติกมีจำนวน
โรงงานทั่วประเทศประมาณ 5,000 โรง ทั้งนี้โรงงานส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก และมีเพียงร้อยละ 10 ที่เป็นโรงงานขนาดใหญ่ อุตสาหกรรมที่ใช้
พลาสติกเป็นวัตถุดิบในการผลิตได้แก่ บรรจุภัณฑ์ สิ่งทอ รองเท้า วัสดุก่อสร้าง ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนยานยนต์ เป็นต้น
โครงสร้างต้นทุนการผลิตในอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์พลาสติกประกอบด้วยวัตถุดิบ(เม็ดพลาสติก) ร้อยละ 70 แรงงานร้อยละ 10 — 15 พลังงานร้อย
ละ 8 ที่เหลือเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร้อยละ 7-12
การตลาด
การส่งออก
ปี 2550 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการส่งออกประมาณ 2,387.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 20.23 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่าน
มา ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร กลุ่มประเทศในอาเซียน เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม
ผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่าส่งออกสูงสุด 3 ลำดับแรกได้แก่ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์ และแถบ ถุงและกระสอบพลาสติก และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก ซึ่งมี
สัดส่วนร้อยละ 29.91 23.21 และ 4.76 เมื่อเทียบกับยอดรวมการส่งออกผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้ พบว่าผลิตภัณฑ์หลักที่จะมีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นมาก
ได้แก่ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ พลาสติกปูพื้นและผนัง และ กล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก โดยมีอัตราการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.79 31.49
และ 73.00 ตามลำดับ
การส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกไปตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกาอาจได้รับผลกระทบเพราะปัญหาตลาดซับไพรม์ หรือ ภาวะวิกฤติสินเชื่อ
อสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ ซึ่งเป็นปัญหาเศรษฐกิจภายในของสหรัฐฯ ในขณะที่ตลาดรอง เช่น ออสเตรเลียพบว่าการส่งออกดีขึ้นและจะดีขึ้นอีกในปีหน้า
เพราะการลดภาษีนำเข้าอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2548 ที่จะกลายเป็น 0 ในปี 2551
ประเภทผลิตภัณฑ์ มูลค่าส่งออก (ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 2548 2549
2546 2547 2548 2549 2550 Q4 Q4 Q4 เทียบกับ2549 เทียบกับ2550
2548 2549 2550 (ร้อยละ) (ร้อยละ)
ถุงและกระสอบพลาสติก 385 372.9 518.8 530.4 554 134 124.4 157.8 2.24 4.45
แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบ 354.2 466.1 536.7 558.7 714 139 128 197.5 4.1 27.79
เครื่องแต่งกายและของใช้ประกอบฯ 34.1 25.8 22.6 17.9 21.3 5.1 3.9 5.8 -20.8 18.88
กล่องหีบที่ทำด้วยพลาสติก 21.1 26.3 30.9 30 51.9 8.3 5.4 17.9 -2.91 73
เครื่องใช้สำนักงานทำด้วยพลาสติก 33.4 21.8 22.6 20.2 21.6 5.3 4.4 5.7 -10.62 7.08
หลอดและท่อพลาสติก 26.7 32.7 41.5 46 51.3 13.3 8.5 15.7 10.84 11.57
พลาสติกปูพื้นและผนัง 39.1 40.1 50.6 59.1 77.7 13.9 8.7 18.8 16.8 31.49
เครื่องใช้บนโต๊ะอาหารพลาสติก 63.2 68.9 84 98.9 113.7 21 28.6 30.4 17.74 14.95
ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ 344.4 493.2 551.1 624.2 781.5 139 154.5 214.4 13.26 25.19
รวมทั้งสิ้น 1,301.20 1,547.80 1,858.80 1,985.40 2,387.00 479 466.4 664 6.81 20.23
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร
การนำเข้า
ในปี 2550 ผลิตภัณฑ์พลาสติกมีมูลค่าการนำเข้าประมาณ 2,377.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.96 เมื่อเทียบกับปีก่อน
โดยมีการนำเข้าแผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติกเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.95 เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนหลอดและท่อพลาสติกมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ
12.71 เมื่อเทียบกับปีก่อน แหล่งนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย ไต้หวัน และ เกาหลีใต้ สำหรับผลิตภัณฑ์หลักที่มีมูลค่านำ
เข้าสูงสุด คือ แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก โดยมีสัดส่วนนำเข้าร้อยละ 36.14 ของการนำเข้าผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก
ประเภทผลิตภัณฑ์ มูลค่าส่งออก (ล้านเหรียญสหรัฐฯ) 2548 2549
2546 2547 2548 2549 2550 Q4 Q4 Q4 เทียบกับ2549 เทียบกับ2550
2548 2549 2550 (ร้อยละ) (ร้อยละ)
หลอดและท่อพลาสติก 66.8 80.5 79.7 88.2 99.4 19.3 21 33.9 9.64 12.71
แผ่นฟิล์ม ฟอยล์และแถบพลาสติก 586 668.9 742.4 767.5 859.2 188 183.1 231.1 3.27 11.95
ผลิตภัณฑ์พลาสติกอื่นๆ 1,006.40 1,174.00 1,224.00 1,366.90 1,418.70 316 336.7 389.3 10.45 3.79
รวมทั้งสิ้น 1,659.20 1,923.40 2,046.10 2,222.60 2,377.40 524 540.8 654.4 7.94 6.96
ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร
แนวโน้ม
จากการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกมีแนวโน้มสูงขึ้นตลอดปี 2550 ทำให้ต้นทุนการผลิตของภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้รับผลกระทบอย่างต่อ
เนื่องทั้งห่วงโซ่อุปทาน ทำให้ผู้ประกอบการต้องพยายามลดต้นทุนในการผลิตรวมทั้งระมัดระวังการสต๊อกวัตถุดิบที่มีราคาผันผวนเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
อุตสาหกรรมพลาสติกยังคงอยู่ภายใต้ปัจจัยเสี่ยงทั้งจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจซึ่งอยู่ในช่วงชะลอตัวแม้ว่า
สถานการณ์ทางการเมืองในประเทศปีหน้าจะมีความแน่นอนมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้ง และอุปสงค์ในตลาดโลกที่คาดว่าอาจจะชะลอตัวลงด้วยปัญหา
ซับไพรม์ในสหรัฐฯ ที่จะส่งผลกระทบสู่ประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ค่าเงินบาทที่มีการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยมีค่าเฉลี่ยที่ 33.50 บาทต่อเหรียญสหรัฐ นับเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผู้
ประกอบการไทยสูญเสียความได้เปรียบด้านการแข่งขันเมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งในภูมิภาคเอเชียด้วยกัน และจะส่งผลให้การแข่งขันมีความรุนแรงและ
ยากลำบากขึ้นทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ ปัจจัยอื่นๆ เช่น ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ได้มีการปรับตัวสูงขึ้นและมีความผันผวนค่อน
ข้างมาก ค่าระวางที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมัน ยังคงส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมนี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้
ดังนั้นจึงควรมีการกำหนดนโยบายอย่างชัดเจน และมีการนำกลยุทธ์ต่างๆ มาใช้เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบในระยะสั้น เช่น การส่ง
เสริมการใช้วัตถุดิบในประเทศ หรือ การพัฒนาช่องทางการขนส่งใหม่ๆ เพื่อลดระยะทาง ระยะเวลา และต้นทุนค่าขนส่ง รวมทั้งจะต้องมีการผลิตเพื่อ
ทดแทนการนำเข้าและมีการส่งเสริมการส่งออกให้มากยิ่งขึ้น โดยพัฒนาการผลิตให้สามารถผลิตสินค้าที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น และ เป็นที่ต้องการของตลาด
รวมทั้งการประสานความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมต้นน้ำและปลายน้ำเพื่อให้สามารถผลิตได้อย่างครบวงจรมากขึ้น เพื่อลดภาระต้นทุนและความเสี่ยง
ของผู้ผลิตของไทยจากการซื้อวัตถุดิบที่มีแนวโน้มราคาสูงขึ้น
ในส่วนของกฎระเบียบในตลาดที่สำคัญต่อการส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติกของไทย เช่น สหภาพยุโรปที่ได้เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบ
วัสดุสัมผัสอาหารและภาชนะบรรจุอาหารที่มีการหลุดลอกและส่งผ่านสารปนเปื้อนลงสู่อาหารที่บรรจุ ที่ส่งผลต่อสุขภาพผู้บริโภคและคุณภาพอาหารทั้งทาง
ตรงและทางอ้อม โดยมีสารกลุ่มที่อียูให้ความสนใจเป็นพิเศษคือ กลุ่มพทาเลท (Phthalate) ซึ่งเป็นสารที่ก่ออันตรายต่อระบบทางเดินอาหาร ทำลาย
ไต กระเพาะปัสสาวะ และสาร ESBO (Epoxidised Soy Bean Oil) ซึ่งมีผลต่อตับและไต โดยประเด็นปัญหาการหลุดลอกของสารทั้งสองกลุ่มดัง
กล่าวจากประเก็นที่ทำจากพลาสติกประเภท PVC ของฝาขวดแก้วที่ทำด้วยโลหะลงสู่อาหารเป็นประเด็นใหม่ที่อียูเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด โดยสหภาพ
ยุโรปจะบังคับใช้ระเบียบว่าด้วยวัสดุสัมผัสอาหารประเภทพลาสติกตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป กำหนดให้สาร ESBO เป็น 1 ใน 7 สารที่
อนุญาตให้ใช้เป็นสารเจือปนหรือพลาสติกไซเซอร์เติมลงในการผลิตวัสดุพลาสติกได้ และกำหนดค่า MRLs ของสาร ESBO ที่อนุญาตให้หลุดลอกออกมา
และตกค้างในอาหารได้ไม่เกิน60 มิลลิกรัม/กิโลกรัมในอาหารทั่วไป และไม่เกิน 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัมในอาหารสำหรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 3 ปี
ส่วนสารในกลุ่มphthalate กำหนดให้ค่าMRLs มีไม่เกิน0.05มิลลิกรัม/กิโลกรัม
นอกจากนี้ยังออกระเบียบ REACH (Registration, Evaluation, Authorisation and Restriction of Chemicals) เพิ่ม
ความเข้มงวดด้านความปลอดภัย ตั้งแต่แหล่งกำเนิดสินค้า ไปตลอดห่วงโซ่อุปทานของการขนส่งสินค้า ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องยื่นเอกสารที่มีความถูก
ต้องและเชื่อถือได้แก่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อรับการประเมิน วิเคราะห์ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยของสินค้า หากผู้ประกอบการรายใดไม่ปฏิบัติตาม
จะไม่ได้รับอนุญาตให้นำสินค้าขึ้นเรือขนส่งที่จะเข้า-ออกจากอียูได้
ที่ผ่านมาภาครัฐได้มีความพยายามที่จะสร้างความตระหนักให้แก่ผู้ประกอบการในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ เพื่อให้เกิดการปรับตัวและสามารถ
รองรับกฎระเบียบใหม่ๆ เหล่านี้ และที่ผ่านมาผู้ผลิตของไทยได้ดำเนินการปรับปรุงกระบวนการจัดการให้มีประสิทธิภาพและมุ่งเน้นไปที่การปรับปรุง
ประสิทธิภาพในการผลิตโดยการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมทั้งพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตรงต่อความต้องการของผู้บริโภค เช่น “พลาสติกเขียว” หรือวัสดุ
พลาสติกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม พลาสติกชีวภาพ (Bio-plastic) อย่าง PLA (Polylactic Acid) ซึ่งทำจากข้าวโพดหรือมันสำปะหลังที่นำไป
ผสมกับ PP(Polypropylene) แล้วจะสามารถย่อยสลายได้ ตลาดมีแนวโน้มที่จะให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมหรือการลดภาวะโลกร้อน การรณรงค์
ให้รีไซเคิล และการใช้ไบโอพลาสติกที่มีคุณสมบัติย่อยสลายเร็ว ซึ่งผู้ประกอบการของไทยจะต้องปรับตัวเพื่อขยายตลาดและรักษามูลค่าการส่งออกของ
ไทยเอาไว้
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-