ไตรมาส 4 ปี 2550 ราคาแนฟธาของตลาดเอเชียตลอดไตรมาสมีความผันผวนอย่างมากและปรับตัวในช่วงขาขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ
โดยมีสาเหตุจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลาง และการหยุดผลิตน้ำมันชั่วคราวของเม็กซิโก รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับความ
ตึงตัวในตลาดน้ำมันดิบ ส่วนราคาเอทิลีนโดยเฉลี่ยของตลาดเอเชียในช่วงต้นไตรมาสมีการปรับตัวลดลงจากปลายไตรมาสที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขาย
ค่อนข้างน้อย เนื่องจากประเทศจีนยังอยู่ในช่วงวันหยุด National Holidays ประกอบกับตลาดคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณเอทิลีนเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น
เมื่อแครกเกอร์ในเอเชียหลายแห่งกลับมาเดินเครื่องตามปกติหลังปิดซ่อมบำรุง จึงมีการชะลอการซื้อลงเพื่อรอดูทิศทางราคา ส่วนในปลายไตรมาสราคา
เอทิลีนปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการลดกำลังการผลิตเอทิลีนของแครกเกอร์ในประเทศจีน ทำให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดความตึงตัวในตลาด
เอทิลีน
สำหรับการซื้อขายเม็ดพลาสติกทั้ง PE และ PP ตลอดไตรมาสปริมาณการซื้อขายในประเทศมีเพิ่มขึ้น จากการที่ผู้ซื้อทยอยซื้อเม็ดพลาสติก
เข้าสต็อกมากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นมาก รวมถึงผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลายทางต้องใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่
ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สำหรับปี พ.ศ. 2551 ดังมี
รายละเอียดตามตารางแนบท้าย
การผลิต
ไตรมาส 4 ปี 2550 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีภายในประเทศ มีการปิดซ่อมบำรุงสายการผลิต HDPE กำลังการผลิต 125,000 ตัน/ปี ใน
ช่วงเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค และสายการผลิต PP กำลังการผลิต 200,000 ตัน/ปี ในช่วงเดือนธันวาคม นอกจากนี้ได้มีการร่วม
ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนในโครงการหน่วยผลิต LLDPE ขนาด 350,000 ตัน/ปี โดยจะใช้วัตถุดิบเอทิลีนจากแครกเกอร์ขนาด 900,000 ตัน/ปี โดยมี
กำหนดเริ่มเดินเครื่องในครึ่งปีแรกของปี 2553
สำหรับการผลิตในภูมิภาคเอเชีย จีนเลื่อนกำหนดการเดินเครื่องหน่วยผลิต PP ขนาด 450,000 ตัน/ปี จากไตรมาส 4 ปี 2550 เป็น
ไตรมาสแรกของปี 2551 เนื่องจากความล่าช้าในการจัดส่งเครื่องมือและอุปกรณ์ รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายบรรเทาความตึงตัวของตลาดผลิตภัณฑ์
น้ำมันในประเทศ โดยให้เพิ่มปริมาณการผลิต Gasoline และ Diesel ประมาณ 5-10% ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณแนฟธาสำหรับเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับ
ผลิตปิโตรเคมีลดลง ไตรมาสแรกของปี 2551 มีแผนเริ่มเดินเครื่องหน่วยผลิต Phenol/Acetone ที่สามารถผลิต Phenol 80,000 ตัน/ปี และ
Acetone 120,000 ตัน/ปี
เกาหลีใต้ วางแผนปิดซ่อมบำรุงพร้อมขยายกำลังการผลิตเอทิลีนแครกเกอร์จาก 650,000 ตัน/ปี เป็น 1 ล้านตัน/ปี ในไตรมาสที่ 2
ของปี 2551 โดยเอทิลีนที่ผลิตได้จะใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับส่วนขยายของหน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ประกอบด้วย หน่วยผลิต LLDPE ขยายจาก
160,000 ตัน/ปี เป็น 300,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต MEG ขยายจาก 400,000 ตัน/ปี เป็น 650,000 ตัน/ปี และหน่วยผลิต PP ขยายจาก
300,000 ตัน/ปี เป็น 550,000 ตัน/ปี
สิงคโปร์ ลงทุนในคอมเพล็กซ์ใหม่ที่ประกอบด้วย เอทิลีนแครกเกอร์ขนาด 1 ล้านตัน/ปี หน่วยผลิต PE 2 หน่วย กำลังการผลิตหน่วยละ
650,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต PP ขนาด 450,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต Specialty Elastomer กำลังการผลิต 300,000 ตัน/ปี และหน่วยแยกสารอะ
โรมาติกส์ ที่สามารถผลิต Benzeneได้ 340,000 ตัน/ปี คาดว่าจะสามารถเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในต้นปี 2554 และมีโครงการลงทุนสร้างหน่วยผลิต
Polyolefins Elastomer กำลังการผลิต 100,000 ตัน/ปี โดยจะเริ่มงานก่อสร้างในปลายไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 และมีกำหนดเริ่มเดินเครื่อง
ในปลายไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิต Polyolefins Elastomer ของสิงคโปร์เพิ่มเป็น 150,000 ตัน/ปี
อินเดีย วางแผนขยายกำลังการผลิต Polycarbonate (PC) จาก 30,000 ตัน/ปี เป็น 60,000 ตัน/ปี โดยทำการขยายกำลังการ
ผลิตเป็น 3 ระยะ ระยะแรกเริ่มกลางไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 ส่งผลให้กำลังการผลิต PC เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ตัน/ปี และคาดว่าจะเริ่มเดิน
เครื่องหน่วยผลิต HDPE หน่วยใหม่ขนาด 100,000 ตัน/ปี ในไตรมาสแรกของปี 2551 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิต PE เพิ่มเป็น 410,000 ตัน/ปี นอก
จากนี้ ประเทศอินเดียยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตเอทิลีนจาก 1.3 ล้านตัน/ปี เป็น 1.6 ล้านตัน/ปี โดยใช้ Off gas จากโครงการ
โรงกลั่นน้ำมันเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ซึ่งจะส่งผลทำให้สัดส่วนโพรพิลีนที่ผลิตได้จากแครกเกอร์ลดลงจาก 700,000 ตัน/ปี เป็น 400,000 ตัน/ปี สำหรับ
หน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในโครงการประกอบด้วย หน่วยผลิต PE และหน่วยผลิต MEG กำลังการผลิตรวมหน่วยละ 720,000 ตัน/ปี อีกทั้งอยู่
ระหว่างการพิจารณาลงทุนผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องสายโพรพิลีน ได้แก่ Propylene Oxide, Isopropyl Alcohol (IPA) และ Acrylonitrile โครง
การปิโตรเคมีทั้งหมดมีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ในปี 2553-2554
อิหร่าน คาดว่าจะต้องเลื่อนกำหนดเริ่มเดินเครื่องเอทิลีนแครกเกอร์ขนาด 1.32 ล้านตัน/ปี จากกำหนดการล่าสุดปลายปี 2550 เป็นช่วง
ครึ่งแรกของปี 2551 ซึ่งคอมพล็กซ์นี้ประกอบด้วยหน่วยผลิตHDPE ขนาด 300,000 ตัน/ปี ที่จะเริ่มเดินเครื่องในไตรมาสแรกของปี 2551 อีกทั้งยังมี
หน่วยผลิต PP และหน่วยผลิต LLDPE/HDPE กำลังการผลิตหน่วยละ 300,000 ตัน/ปี นอกจากนี้ ประเทศอิหร่านสามารถผลิต on-spec เอทิลีนได้
100% จากแครกเกอร์ขนาด 1 ล้านตัน/ปี ในช่วงเดือนธันวาคม 2550 และเริ่มป้อนเอทิลีนเป็นวัตถุดิบให้กับหน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในคอมเพล็กซ์
ประกอบด้วย หน่วยผลิต LDPE และหน่วยผลิต LLDPE/MDPE กำลังการผลิตหน่วยละ 300,000 ตัน/ปี และหน่วยผลิต HDPE ขนาด 300,000 ตัน/ปี
คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องได้ในกลางปี 2551
ซาอุดิอาระเบีย เริ่มทำ pre-marketing เม็ดพลาสติก PE และ PP สำหรับโครงการร่วมลงทุนในโรงกลั่นน้ำมันและโรงปิโตรเคมีกับ
ประเทศญี่ปุ่น โดยเม็ดพลาสติกนี้มาจากหน่วยผลิต PP และ PE ในเอเชีย ตลาดเป้าหมายหลัก ได้แก่ จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้
โครงการร่วมทุนนี้ประกอบด้วย โรงกลั่นน้ำมันขนาด 18.4 ล้านตัน/ปี เอทิลีนแครกเกอร์ขนาด 1.3 ล้านตัน/ปี หน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องประกอบ
ด้วย หน่วยผลิต PP 2 หน่วย กำลังการผลิตรวม 700,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต LLDPE ขนาด 300,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต HDPE ขนาด 300,000
ตัน/ปี หน่วยผลิต LDPE ขนาด 250,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต Monoethylene Glycol (MEG) ขนาด 400,000 ตัน/ปี และหน่วยผลิต Propylene
Oxide (PO) ขนาด 200,000 ตัน/ปี นอกจากโครงการข้างต้นแล้ว ยังมีโครงการวางแผนทดลองเดินเครื่องแครกเกอร์ใหม่ในไตรมาสที่ 2 ของปี
2551 ซึ่งสามารถผลิตเอทิลีนได้ 1 ล้านตัน/ปี โพรพิลีน 280,000 ตัน/ปี และหน่วยผลิต HDPE และ LDPE กำลังการผลิตหน่วยละ 400,000 ตัน/
ปี ขณะนี้งานก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่า 81% โดยเป็นการร่วมลงทุนกับประเทศเยอรมนี
คูเวต จัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินกิจกรรมด้านการผลิตและการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ PE, PP, Ethyleneamines, Ethanolamines
และ Polycarbonate คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2551 โดยสำนักงานใหญ่จะตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา และยังมีโครงการร่วมลงทุนในโครงการ
คอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีมีกำลังการผลิตเอทิลีน 850,000 ตัน/ปี กำลังการผลิต MEG 600,000 ตัน/ปี กำลังการผลิต Strylene Monomer 450,000
ตัน/ปี และขยายกำลังการผลิต PE จาก 600,000 ตัน/ปี เป็น 825,000 ตัน/ปี มีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ในเดือนสิงหาคม 2551
การตลาด
ราคาเม็ดพลาติก PE และ PP ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2550 ราคาจำหน่ายเม็ดพลาสติก (ราคาเฉลี่ย SE Asia CIF) ในเดือน
ธันวาคม 2550 ของ LDPE, HDPE, และ PP อยู่ที่ระดับ 54.43, 51.50 และ 48.01 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ทั้งนี้ LDPE, HDPE และ
PP มีระดับราคาเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2550 ที่ระดับราคา 52.77, 47.97 และ 47.53 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ
การนำเข้า
ไตรมาส 4 ปี 2550 การนำเข้าปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่า 7,311.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.50 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และ
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 82.62 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่านำเข้า 7,025.08 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.44 เมื่อเทียบ
กับไตรมาสที่แล้ว และลดลงถึง ร้อยละ 17.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่านำเข้า 19,305.90 ล้าน
บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.05 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.69 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปิโตรเคมี มูลค่านำเข้า (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
Q4/2549 Q3/2550 Q4/2550 เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขั้นต้น 4,003.58 6,170.11 7,311.45 18.5 82.62
ขั้นกลาง 8,552.54 7,351.40 7,025.08 -4.44 -17.86
ขั้นปลาย 15,735.06 18,553.77 19,305.90 4.05 22.69
ที่มา : ข้อมูลจากกรมศุลกากร
การส่งออก
ไตรมาส 4 ปี 2550 การส่งออกปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่าส่งออก 6,019.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32.60 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่
แล้ว แต่ลดลงร้อยละ 7.97 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออก 13,389.93 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.84 เมื่อ
เทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงร้อยละ 19.09 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่าส่งออก 46,958.60ล้านบาท เพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 8.07 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปิโตรเคมี มูลค่าส่งออก (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
Q4/2549 Q3/2550 Q4/2550 เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขั้นต้น 6,541.03 4,539.69 6,019.83 32.6 -7.97
ขั้นกลาง 16,549.96 15,188.93 13,389.93 -11.84 -19.09
ขั้นปลาย 38,236.51 43,452.14 46,958.60 8.07 22.81
ที่มา : ข้อมูลจากกรมศุลกากร
แนวโน้ม
คาดการณ์ว่า วัฏจักรธุรกิจโพลีโอเลฟินส์จะเริ่มเข้าสู่ขาลงในปี 2553 และจะเข้าสู่จุดต่ำสุดในช่วงปี 2554-2555 กำลังการผลิตมีปริมาณ
เพิ่มขึ้นมหาศาลจากการขยายการผลิตของผู้ผลิตในตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา ซึ่งมีความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบตั้งต้น รวมถึงการเพิ่มกำลัง
การผลิตจากจีน ซึ่งหมายถึงตลาดเม็ดพลาสติกที่ใหญ่ที่สุดของโลกจะมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อความรุนแรงในการแข่งขันใน
ช่วงวัฏจักรขาลงที่กำลังมาถึงนี้
สำหรับประเทศไทย จากการที่ค่าเงินบาทมีการปรับค่าแข็งขึ้นอย่างมาก โดยในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 33.82 บาท/เหรียญสหรัฐฯ อีก
ทั้งประเทศไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งปัญหาข้างต้นจะส่งผลให้
เกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกต้องประสบกับปัญหาตลาดส่งออกที่ลดลง ซึ่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็
ได้รับผลจากปัจจัยดังกล่าวด้วย หากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทยังคงดำเนินต่อไป จึงไม่ควรมองข้ามผู้ใช้ปลายทางที่เป็นตลาดในประเทศเพื่อเป็น
แหล่งรองรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนเกินที่จะประสบปัญหาการส่งออกและเพื่อเป็นการบรรเทาไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในระยะยาว และจากการขยาย
กำลังการผลิตของผู้ประกอบการในตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา และจีน ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งปรับตัวในการขยายการผลิตให้มีความ
หลากหลายและครบวงจรเพื่อลดต้นทุนการผลิตและลดความเสี่ยงในแต่ละช่วงเวลา โดยการย้ายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มราคาที่ดีกว่า มีมูลค่า
เพิ่มมากกว่า และตลาดมีความต้องการมากกว่า
ตาราง แสดงอัตราภาษีอัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีประเทศจีน ประจำปี พ.ศ. 2551
Product Tariff rate in 2008(%) Tariff rate in 2007(%)
Naphtha 1 6
Ethylene 0* -
Propylene 1* -
PTA 6.5 7.6
VCM 1* 1* (5.5)
ACN 3* 5*
HDPE 6.5** 7.8**
LDPE 6.5** 7.8**
LLDPE 6.5 6.5
PVC 6.5 7.6
PP 6.5 7.6
Polycarbonate - 6.5
Polyols 6.5 7.6
PS 6.5 7.6
ABS 6.5 7.6
Nylon 6,6 6.5 7.6
Epoxy resin 6.5 7.6
Polyisobutylene 6.5 7.6
หมายเหตุ : * อัตราภาษีเบื้องต้น
** ใช้อัตรา 3% เมื่อราคานำเข้าสูงกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน
(ราคาที่รวมต้นทุนค่าขนส่งและค่าประกันแล้ว)
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
โดยมีสาเหตุจากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองในตะวันออกกลาง และการหยุดผลิตน้ำมันชั่วคราวของเม็กซิโก รวมถึงความกังวลเกี่ยวกับความ
ตึงตัวในตลาดน้ำมันดิบ ส่วนราคาเอทิลีนโดยเฉลี่ยของตลาดเอเชียในช่วงต้นไตรมาสมีการปรับตัวลดลงจากปลายไตรมาสที่ผ่านมา ปริมาณการซื้อขาย
ค่อนข้างน้อย เนื่องจากประเทศจีนยังอยู่ในช่วงวันหยุด National Holidays ประกอบกับตลาดคาดการณ์ว่าจะมีปริมาณเอทิลีนเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น
เมื่อแครกเกอร์ในเอเชียหลายแห่งกลับมาเดินเครื่องตามปกติหลังปิดซ่อมบำรุง จึงมีการชะลอการซื้อลงเพื่อรอดูทิศทางราคา ส่วนในปลายไตรมาสราคา
เอทิลีนปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เนื่องจากการลดกำลังการผลิตเอทิลีนของแครกเกอร์ในประเทศจีน ทำให้เกิดความกังวลว่าจะเกิดความตึงตัวในตลาด
เอทิลีน
สำหรับการซื้อขายเม็ดพลาสติกทั้ง PE และ PP ตลอดไตรมาสปริมาณการซื้อขายในประเทศมีเพิ่มขึ้น จากการที่ผู้ซื้อทยอยซื้อเม็ดพลาสติก
เข้าสต็อกมากขึ้น เนื่องจากราคาน้ำมันดิบปรับสูงขึ้นมาก รวมถึงผู้ผลิตผลิตภัณฑ์ปลายทางต้องใช้ในการผลิตสินค้าสำหรับช่วงเทศกาลปีใหม่
ประเทศจีน ซึ่งเป็นตลาดสำคัญของผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ได้ประกาศอัตราภาษีนำเข้าสำหรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี สำหรับปี พ.ศ. 2551 ดังมี
รายละเอียดตามตารางแนบท้าย
การผลิต
ไตรมาส 4 ปี 2550 อุตสาหกรรมปิโตรเคมีภายในประเทศ มีการปิดซ่อมบำรุงสายการผลิต HDPE กำลังการผลิต 125,000 ตัน/ปี ใน
ช่วงเดือนพฤศจิกายน เนื่องจากปัญหาทางเทคนิค และสายการผลิต PP กำลังการผลิต 200,000 ตัน/ปี ในช่วงเดือนธันวาคม นอกจากนี้ได้มีการร่วม
ลงนามในสัญญาร่วมลงทุนในโครงการหน่วยผลิต LLDPE ขนาด 350,000 ตัน/ปี โดยจะใช้วัตถุดิบเอทิลีนจากแครกเกอร์ขนาด 900,000 ตัน/ปี โดยมี
กำหนดเริ่มเดินเครื่องในครึ่งปีแรกของปี 2553
สำหรับการผลิตในภูมิภาคเอเชีย จีนเลื่อนกำหนดการเดินเครื่องหน่วยผลิต PP ขนาด 450,000 ตัน/ปี จากไตรมาส 4 ปี 2550 เป็น
ไตรมาสแรกของปี 2551 เนื่องจากความล่าช้าในการจัดส่งเครื่องมือและอุปกรณ์ รัฐบาลจีนได้ประกาศนโยบายบรรเทาความตึงตัวของตลาดผลิตภัณฑ์
น้ำมันในประเทศ โดยให้เพิ่มปริมาณการผลิต Gasoline และ Diesel ประมาณ 5-10% ซึ่งจะส่งผลให้ปริมาณแนฟธาสำหรับเป็นวัตถุดิบตั้งต้นสำหรับ
ผลิตปิโตรเคมีลดลง ไตรมาสแรกของปี 2551 มีแผนเริ่มเดินเครื่องหน่วยผลิต Phenol/Acetone ที่สามารถผลิต Phenol 80,000 ตัน/ปี และ
Acetone 120,000 ตัน/ปี
เกาหลีใต้ วางแผนปิดซ่อมบำรุงพร้อมขยายกำลังการผลิตเอทิลีนแครกเกอร์จาก 650,000 ตัน/ปี เป็น 1 ล้านตัน/ปี ในไตรมาสที่ 2
ของปี 2551 โดยเอทิลีนที่ผลิตได้จะใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับส่วนขยายของหน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่อง ประกอบด้วย หน่วยผลิต LLDPE ขยายจาก
160,000 ตัน/ปี เป็น 300,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต MEG ขยายจาก 400,000 ตัน/ปี เป็น 650,000 ตัน/ปี และหน่วยผลิต PP ขยายจาก
300,000 ตัน/ปี เป็น 550,000 ตัน/ปี
สิงคโปร์ ลงทุนในคอมเพล็กซ์ใหม่ที่ประกอบด้วย เอทิลีนแครกเกอร์ขนาด 1 ล้านตัน/ปี หน่วยผลิต PE 2 หน่วย กำลังการผลิตหน่วยละ
650,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต PP ขนาด 450,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต Specialty Elastomer กำลังการผลิต 300,000 ตัน/ปี และหน่วยแยกสารอะ
โรมาติกส์ ที่สามารถผลิต Benzeneได้ 340,000 ตัน/ปี คาดว่าจะสามารถเริ่มเดินเครื่องผลิตได้ในต้นปี 2554 และมีโครงการลงทุนสร้างหน่วยผลิต
Polyolefins Elastomer กำลังการผลิต 100,000 ตัน/ปี โดยจะเริ่มงานก่อสร้างในปลายไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 และมีกำหนดเริ่มเดินเครื่อง
ในปลายไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิต Polyolefins Elastomer ของสิงคโปร์เพิ่มเป็น 150,000 ตัน/ปี
อินเดีย วางแผนขยายกำลังการผลิต Polycarbonate (PC) จาก 30,000 ตัน/ปี เป็น 60,000 ตัน/ปี โดยทำการขยายกำลังการ
ผลิตเป็น 3 ระยะ ระยะแรกเริ่มกลางไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 ส่งผลให้กำลังการผลิต PC เพิ่มขึ้นเป็น 40,000 ตัน/ปี และคาดว่าจะเริ่มเดิน
เครื่องหน่วยผลิต HDPE หน่วยใหม่ขนาด 100,000 ตัน/ปี ในไตรมาสแรกของปี 2551 ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิต PE เพิ่มเป็น 410,000 ตัน/ปี นอก
จากนี้ ประเทศอินเดียยังอยู่ระหว่างการพิจารณาเพิ่มกำลังการผลิตเอทิลีนจาก 1.3 ล้านตัน/ปี เป็น 1.6 ล้านตัน/ปี โดยใช้ Off gas จากโครงการ
โรงกลั่นน้ำมันเป็นวัตถุดิบตั้งต้น ซึ่งจะส่งผลทำให้สัดส่วนโพรพิลีนที่ผลิตได้จากแครกเกอร์ลดลงจาก 700,000 ตัน/ปี เป็น 400,000 ตัน/ปี สำหรับ
หน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในโครงการประกอบด้วย หน่วยผลิต PE และหน่วยผลิต MEG กำลังการผลิตรวมหน่วยละ 720,000 ตัน/ปี อีกทั้งอยู่
ระหว่างการพิจารณาลงทุนผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องสายโพรพิลีน ได้แก่ Propylene Oxide, Isopropyl Alcohol (IPA) และ Acrylonitrile โครง
การปิโตรเคมีทั้งหมดมีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ในปี 2553-2554
อิหร่าน คาดว่าจะต้องเลื่อนกำหนดเริ่มเดินเครื่องเอทิลีนแครกเกอร์ขนาด 1.32 ล้านตัน/ปี จากกำหนดการล่าสุดปลายปี 2550 เป็นช่วง
ครึ่งแรกของปี 2551 ซึ่งคอมพล็กซ์นี้ประกอบด้วยหน่วยผลิตHDPE ขนาด 300,000 ตัน/ปี ที่จะเริ่มเดินเครื่องในไตรมาสแรกของปี 2551 อีกทั้งยังมี
หน่วยผลิต PP และหน่วยผลิต LLDPE/HDPE กำลังการผลิตหน่วยละ 300,000 ตัน/ปี นอกจากนี้ ประเทศอิหร่านสามารถผลิต on-spec เอทิลีนได้
100% จากแครกเกอร์ขนาด 1 ล้านตัน/ปี ในช่วงเดือนธันวาคม 2550 และเริ่มป้อนเอทิลีนเป็นวัตถุดิบให้กับหน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องในคอมเพล็กซ์
ประกอบด้วย หน่วยผลิต LDPE และหน่วยผลิต LLDPE/MDPE กำลังการผลิตหน่วยละ 300,000 ตัน/ปี และหน่วยผลิต HDPE ขนาด 300,000 ตัน/ปี
คาดว่าจะสามารถเดินเครื่องได้ในกลางปี 2551
ซาอุดิอาระเบีย เริ่มทำ pre-marketing เม็ดพลาสติก PE และ PP สำหรับโครงการร่วมลงทุนในโรงกลั่นน้ำมันและโรงปิโตรเคมีกับ
ประเทศญี่ปุ่น โดยเม็ดพลาสติกนี้มาจากหน่วยผลิต PP และ PE ในเอเชีย ตลาดเป้าหมายหลัก ได้แก่ จีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้
โครงการร่วมทุนนี้ประกอบด้วย โรงกลั่นน้ำมันขนาด 18.4 ล้านตัน/ปี เอทิลีนแครกเกอร์ขนาด 1.3 ล้านตัน/ปี หน่วยผลิตผลิตภัณฑ์ต่อเนื่องประกอบ
ด้วย หน่วยผลิต PP 2 หน่วย กำลังการผลิตรวม 700,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต LLDPE ขนาด 300,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต HDPE ขนาด 300,000
ตัน/ปี หน่วยผลิต LDPE ขนาด 250,000 ตัน/ปี หน่วยผลิต Monoethylene Glycol (MEG) ขนาด 400,000 ตัน/ปี และหน่วยผลิต Propylene
Oxide (PO) ขนาด 200,000 ตัน/ปี นอกจากโครงการข้างต้นแล้ว ยังมีโครงการวางแผนทดลองเดินเครื่องแครกเกอร์ใหม่ในไตรมาสที่ 2 ของปี
2551 ซึ่งสามารถผลิตเอทิลีนได้ 1 ล้านตัน/ปี โพรพิลีน 280,000 ตัน/ปี และหน่วยผลิต HDPE และ LDPE กำลังการผลิตหน่วยละ 400,000 ตัน/
ปี ขณะนี้งานก่อสร้างแล้วเสร็จไปกว่า 81% โดยเป็นการร่วมลงทุนกับประเทศเยอรมนี
คูเวต จัดตั้งบริษัทร่วมทุนดำเนินกิจกรรมด้านการผลิตและการตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ PE, PP, Ethyleneamines, Ethanolamines
และ Polycarbonate คาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์ภายในปี 2551 โดยสำนักงานใหญ่จะตั้งอยู่ในสหรัฐอเมริกา และยังมีโครงการร่วมลงทุนในโครงการ
คอมเพล็กซ์ปิโตรเคมีมีกำลังการผลิตเอทิลีน 850,000 ตัน/ปี กำลังการผลิต MEG 600,000 ตัน/ปี กำลังการผลิต Strylene Monomer 450,000
ตัน/ปี และขยายกำลังการผลิต PE จาก 600,000 ตัน/ปี เป็น 825,000 ตัน/ปี มีกำหนดเสร็จสมบูรณ์ในเดือนสิงหาคม 2551
การตลาด
ราคาเม็ดพลาติก PE และ PP ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2550 ราคาจำหน่ายเม็ดพลาสติก (ราคาเฉลี่ย SE Asia CIF) ในเดือน
ธันวาคม 2550 ของ LDPE, HDPE, และ PP อยู่ที่ระดับ 54.43, 51.50 และ 48.01 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ ทั้งนี้ LDPE, HDPE และ
PP มีระดับราคาเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2550 ที่ระดับราคา 52.77, 47.97 และ 47.53 บาท/กิโลกรัม ตามลำดับ
การนำเข้า
ไตรมาส 4 ปี 2550 การนำเข้าปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่า 7,311.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.50 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และ
เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 82.62 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่านำเข้า 7,025.08 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4.44 เมื่อเทียบ
กับไตรมาสที่แล้ว และลดลงถึง ร้อยละ 17.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่านำเข้า 19,305.90 ล้าน
บาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.05 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.69 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปิโตรเคมี มูลค่านำเข้า (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
Q4/2549 Q3/2550 Q4/2550 เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขั้นต้น 4,003.58 6,170.11 7,311.45 18.5 82.62
ขั้นกลาง 8,552.54 7,351.40 7,025.08 -4.44 -17.86
ขั้นปลาย 15,735.06 18,553.77 19,305.90 4.05 22.69
ที่มา : ข้อมูลจากกรมศุลกากร
การส่งออก
ไตรมาส 4 ปี 2550 การส่งออกปิโตรเคมีขั้นต้นมีมูลค่าส่งออก 6,019.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 32.60 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่
แล้ว แต่ลดลงร้อยละ 7.97 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปิโตรเคมีขั้นกลางมีมูลค่าส่งออก 13,389.93 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 11.84 เมื่อ
เทียบกับไตรมาสที่แล้ว และลดลงร้อยละ 19.09 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนปิโตรเคมีขั้นปลายมีมูลค่าส่งออก 46,958.60ล้านบาท เพิ่ม
ขึ้นร้อยละ 8.07 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 22.81 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ปิโตรเคมี มูลค่าส่งออก (ล้านบาท) เปลี่ยนแปลง (ร้อยละ)
Q4/2549 Q3/2550 Q4/2550 เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา เทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ขั้นต้น 6,541.03 4,539.69 6,019.83 32.6 -7.97
ขั้นกลาง 16,549.96 15,188.93 13,389.93 -11.84 -19.09
ขั้นปลาย 38,236.51 43,452.14 46,958.60 8.07 22.81
ที่มา : ข้อมูลจากกรมศุลกากร
แนวโน้ม
คาดการณ์ว่า วัฏจักรธุรกิจโพลีโอเลฟินส์จะเริ่มเข้าสู่ขาลงในปี 2553 และจะเข้าสู่จุดต่ำสุดในช่วงปี 2554-2555 กำลังการผลิตมีปริมาณ
เพิ่มขึ้นมหาศาลจากการขยายการผลิตของผู้ผลิตในตะวันออกกลาง และละตินอเมริกา ซึ่งมีความได้เปรียบด้านต้นทุนวัตถุดิบตั้งต้น รวมถึงการเพิ่มกำลัง
การผลิตจากจีน ซึ่งหมายถึงตลาดเม็ดพลาสติกที่ใหญ่ที่สุดของโลกจะมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองสูงขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อความรุนแรงในการแข่งขันใน
ช่วงวัฏจักรขาลงที่กำลังมาถึงนี้
สำหรับประเทศไทย จากการที่ค่าเงินบาทมีการปรับค่าแข็งขึ้นอย่างมาก โดยในเดือนธันวาคมอยู่ที่ระดับ 33.82 บาท/เหรียญสหรัฐฯ อีก
ทั้งประเทศไทยอยู่ระหว่างขั้นตอนการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองยังไม่มีความชัดเจน ซึ่งปัญหาข้างต้นจะส่งผลให้
เกิดความไม่มั่นใจในการลงทุนของภาคเอกชน รวมถึงภาคอุตสาหกรรมที่มีการส่งออกต้องประสบกับปัญหาตลาดส่งออกที่ลดลง ซึ่งอุตสาหกรรมปิโตรเคมีก็
ได้รับผลจากปัจจัยดังกล่าวด้วย หากปัญหาการแข็งค่าของเงินบาทยังคงดำเนินต่อไป จึงไม่ควรมองข้ามผู้ใช้ปลายทางที่เป็นตลาดในประเทศเพื่อเป็น
แหล่งรองรับผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนเกินที่จะประสบปัญหาการส่งออกและเพื่อเป็นการบรรเทาไม่ให้เกิดผลกระทบที่รุนแรงในระยะยาว และจากการขยาย
กำลังการผลิตของผู้ประกอบการในตะวันออกกลาง ละตินอเมริกา และจีน ดังนั้นผู้ประกอบการไทยจึงควรเร่งปรับตัวในการขยายการผลิตให้มีความ
หลากหลายและครบวงจรเพื่อลดต้นทุนการผลิตและลดความเสี่ยงในแต่ละช่วงเวลา โดยการย้ายการผลิตไปยังผลิตภัณฑ์ที่มีแนวโน้มราคาที่ดีกว่า มีมูลค่า
เพิ่มมากกว่า และตลาดมีความต้องการมากกว่า
ตาราง แสดงอัตราภาษีอัตราภาษีนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีประเทศจีน ประจำปี พ.ศ. 2551
Product Tariff rate in 2008(%) Tariff rate in 2007(%)
Naphtha 1 6
Ethylene 0* -
Propylene 1* -
PTA 6.5 7.6
VCM 1* 1* (5.5)
ACN 3* 5*
HDPE 6.5** 7.8**
LDPE 6.5** 7.8**
LLDPE 6.5 6.5
PVC 6.5 7.6
PP 6.5 7.6
Polycarbonate - 6.5
Polyols 6.5 7.6
PS 6.5 7.6
ABS 6.5 7.6
Nylon 6,6 6.5 7.6
Epoxy resin 6.5 7.6
Polyisobutylene 6.5 7.6
หมายเหตุ : * อัตราภาษีเบื้องต้น
** ใช้อัตรา 3% เมื่อราคานำเข้าสูงกว่า 2,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน
(ราคาที่รวมต้นทุนค่าขนส่งและค่าประกันแล้ว)
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-