ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) หดตัวร้อยละ 10.6 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ อาวุธ และอากาศยาน) หดตัวร้อยละ 2.1 โดยสินค้าอุตสาหกรรมที่การส่งออกหดตัว ได้แก่ อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ด้านตลาดส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมขยายตัวดีในบางประเทศ เช่น CLMV จีน และสหภาพยุโรป (27) ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอาเซียน (5) หดตัวลง
ในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 การส่งออกรวมมีมูลค่า 20,641.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 4.47 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เมื่อพิจารณาการส่งออกในหมวดสินค้าสำคัญพบว่า สินค้าอุตสาหกรรมมีมูลค่า 16,812.81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 5.18 สินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า 15,401.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 10.58 โดยหดตัวจากอัญมณีและเครื่องประดับ (หักทอง) เม็ดพลาสติก เคมีภัณฑ์ เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ในส่วนสินค้าเกษตรกรรม มีมูลค่า 1,587.06 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 8.14 สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร มีมูลค่า 1,488.43 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 3.21
การนำเข้ามีมูลค่ารวม 16,744.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 4.30 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าเชื้อเพลิงมีมูลค่า 2,726.50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 12.15 สินค้าทุนมีมูลค่า 3,944.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 8.97 โดยหดตัวจากเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องจักรไฟฟ้าและส่วนประกอบ ด้านสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่า 6,021.14 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 5.65 จากการนำเข้าเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เคมีภัณฑ์ ปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืชและสัตว์
ด้านตลาดส่งออกในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวดีในบางประเทศ เช่น CLMV จีน และสหภาพยุโรป (27) ขณะที่การส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และอาเซียน (5) หดตัวลง ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่สำคัญ
ในเดือน ก.พ. 2563 มีมูลค่าการส่งออก 2,753.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 4.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกเครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบเป็นสำคัญ โดยขยายตัวร้อยละ 6.5 จากการส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา จีน และเนเธอร์แลนด์ ขณะที่การส่งออกไปประเทศฮ่องกง ญี่ปุ่น และเยอรมนีหดตัว
ในเดือน ก.พ. 2563 มีมูลค่าการส่งออก 2,017.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกสินค้าประเภทเครื่องซักผ้าเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 33.0 จากการส่งออกไปยังประเทศญี่ปุ่น เวียดนาม ออสเตรเลีย และการส่งออกเครื่องรับวิทยุโทรทัศน์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 12.1 จากการส่งออกไปประเทศญี่ปุ่น อินเดีย ในขณะที่การส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก และจีน ยังคงขยายตัว
ในเดือน ก.พ. 2563 มีมูลค่าการส่งออก 600.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 20.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนจากการส่งออกไปยังประเทศจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย เวียดนาม ในขณะที่การส่งออกไปยังประเทศอินเดียขยายตัวดี ทั้งนี้การส่งออกเม็ดพลาสติกในเดือน ก.พ. 2563 เป็นการปรับลดลงทั้งด้านราคาและปริมาณการส่งออก โดยดัชนีราคาส่งออกเม็ดพลาสติกหดตัวร้อยละ 7.7 และปริมาณการส่งออกเม็ดพลาสติกหดตัวร้อยละ 17.6 ทั้งนี้ปริมาณการส่งออกในเดือน ก.พ. มีจำนวน 468.7 ล้านกิโลกรัม
ในเดือน ก.พ. 2563 มีมูลค่าการส่งออก 3,108.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนตามการส่งออกรถจักรยานยนต์และส่วนประกอบเป็นสำคัญโดยขยายตัวร้อยละ 28.9 จากการส่งออกไปตลาดสำคัญ เช่น สหราชอาณาจักร จีน เบลเยี่ยม กัมพูชา และญี่ปุ่น ในขณะที่การส่งออกไปประเทศสหรัฐอเมริกาและเวียดนามหดตัว
ในเดือน ก.พ. 2563 มีมูลค่าการส่งออก 573.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อนจากการส่งออกสินค้ากลางน้ำอย่างผ้าผืนขยายตัวร้อยละ 10.0 จากการส่งออกไปประเทศ CLMV สินค้าปลายน้ำอย่างเสื้อผ้าสำเร็จรูปขยายตัวร้อยละ 3.5 จากการส่งออกไปยังสหภาพยุโรป (27) สินค้าต้นน้ำอย่างด้ายและด้ายเส้นใยประดิษฐ์หดตัวร้อยละ 0.9 เส้นใยประดิษฐ์หดตัวร้อยละ 3.6 จากการส่งออกไปประเทศจีน ตุรกี
ในเดือน ก.พ. 2563 มีมูลค่าการส่งออก 595.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 31.5 จากการส่งออกอัญมณีประเภทพลอย เพชร ไปยังประเทศฮ่องกง เบลเยี่ยม อิสราเอล และกาตาร์ การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับมีมูลค่าการส่งออก 2,006.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 45.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกทองคำแท่งที่ยังไม่ได้ขึ้นรูป มูลค่า 1,411.1 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 178.4 ไปยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์ สิงคโปร์ ฮ่องกง และออสเตรเลีย
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม