ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 2563 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัวร้อยละ 9.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
เมื่อพิจารณาข้อมูล MPI ย้อนหลัง 3 เดือน เทียบกับปีก่อน (%YoY) เดือนพฤษภาคม การผลิตหดตัวร้อยละ 23.8 เดือนมิถุนายน หดตัวร้อยละ 17.8 และเดือนกรกฎาคม หดตัวร้อยละ 12.9
สำหรับ 3 เดือนที่ผ่านมา เดือนพฤษภาคม เดือนมิถุนายน และเดือนกรกฎาคม ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ MPI (%MoM) มีอัตราการเปลี่ยนแปลงดังนี้ กล่าวคือ ในเดือนพฤษภาคม ขยายตัวร้อยละ 2.1 เดือนมิถุนายน ขยายตัวร้อยละ 4.0 และเดือนกรกฎาคม ขยายตัวร้อยละ 5.3
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนสิงหาคม 2563 หดตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ
รถยนต์ และเครื่องยนต์ หดตัวร้อยละ 29.7 จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 กระทบต่อความต้องการใช้รถยนต์ลดลง โดยสินค้าหลักที่ลดลงได้แก่ รถบรรทุกปิกอัพ รถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเครื่องยนต์ดีเซล
Hard Disk Drive หดตัวร้อยละ 22.2 ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังแพร่ระบาดไปทั่วโลก และความนิยมในการใช้ SSD (Solid State Drive) แทนการใช้ Hard Disk Drive มากขึ้น
น้ำตาล หดตัวร้อยละ 75.1 เนื่องจากผลผลิตอ้อยในปีนี้มีน้อย ส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลทรายดิบที่มีอยู่นำมาแปรสภาพเป็นน้ำตาลทรายได้น้อยกว่าปีก่อน
อุตสาหกรรมสำคัญที่ยังขยายตัวในเดือนสิงหาคม 2563 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ปุ๋ยเคมี เพิ่มขึ้นร้อยละ 66.8 จากปริมาณฝนที่ตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ทำให้เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้ตามปกติ รวมถึงมีการผลิตปุ๋ยเคมีสูตรใหม่และได้รับการตอบรับจากตลาดดี ทำให้มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น
เครื่องใช้ไฟฟ้า เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.6 จากสินค้าตู้เย็นและเครื่องซักผ้าเป็นหลัก โดยตู้เย็นเพิ่มขึ้นจากการที่ผู้บริโภคยังมีความต้องการสำรองอาหารสดเพิ่มขึ้น ส่วนเครื่องซักผ้าขยายตัวจากการเปิดช่องทางการตลาดใหม่
เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ เดือนสิงหาคม 2563
- การนำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ ในเดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่า 1,202.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 15.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหดตัวจากเครื่องยนต์ เพลาส่งกำลังและส่วนประกอบอื่น ๆ เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรมอื่น ๆ และส่วนประกอบ เครื่องสูบลม เครื่องสูบของเหลว ตลับลูกปืน เครื่องจักรใช้ในการแปรรูปโลหะ และส่วนประกอบ เป็นต้น
- การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่า 5,917.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 17.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งหดตัวจากเหล็ก เหล็กแผ่นรีดทำด้วยเหล็กกล้าเจืออื่น ๆ เคมีภัณฑ์อินทรีย์ เป็นต้น
+ โรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนสิงหาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 207 โรงงาน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2563 ร้อยละ 23.21 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 33.87 (%YoY)
- มูลค่าเงินลงทุนรวมจากโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่ารวม 12,972 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2563 ร้อยละ 22.58 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 85.99 (%YoY)
"อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนสิงหาคม 2563 คือ อุตสาหกรรมการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซัม จำนวน 19 โรงงาน และอุตสาหกรรมการขุดหรือลอกกรวด ทราย หรือดิน จำนวน 16 โรงงาน"
"อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในเดือนสิงหาคม 2563 คือ อุตสาหกรรมการทำภาชนะบรรจุ เช่น ถุง หรือกระสอบ จำนวนเงินทุน 2,363.34 ล้านบาท ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตก๊าซ ซึ่งมิใช่ก๊าซธรรมชาติ และโรงงานส่งหรือจำหน่ายก๊าซ จำนวนเงินทุน 1,995.70 ล้านบาท
+ จำนวนโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการในเดือนสิงหาคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 36 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม 2563 ร้อยละ 20.0 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 45.45 (%YoY)
+ เงินทุนของการเลิกกิจการในเดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่ารวม 848 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกรกฎาคม 2563 ร้อยละ 6.85 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 52.89 (%YoY)
"อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานที่มีการเลิกประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนสิงหาคม 2563 คือ อุตสาหกรรมการดูดทราย จำนวน 3 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอก กรวด ทราย หรือดิน จำนวน 2 โรงงาน
"อุตสาหกรรมที่มีการเลิกประกอบกิจการโดยมีเงินลงทุนสูงสุด ในเดือนสิงหาคม 2563 คือ อุตสาหกรรมโรงงานผลิตเสื่อหรือพรมด้วยวิธีทอ สาน ถัก หรือผูกให้เป็นปุย มูลค่าเงินลงทุน 165 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิต ประกอบ ดัดแปลง หรือซ่อมแซมเครื่องจักรสำหรับอุตสาหกรรม มูลค่าเงินลงทุน 125 ล้านบาท"
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรายสาขา เดือนสิงหาคม 2563
- การผลิต กลุ่มสินค้าอาหารเดือนสิงหาคม 2563 ปรับตัวลดลง (YoY) ร้อยละ 6.5 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง รวมถึงความต้องการบริโภคสินค้าบางชนิดทั้งในประเทศและต่างประเทศชะลอตัว สำหรับสินค้าที่มีผลต่อการปรับลดของดัชนีผลผลิต มีดังนี้ (1) น้ำตาล ลดลง (YoY) ร้อยละ 75.1 (2) แป้งมันสำปะหลัง ลดลง (YoY) ร้อยละ 9.2 (3) เนื้อไก่สุกปรุงรส ลดลง (YoY) ร้อยละ 11.1 (4) เนื้อไก่แช่เย็นและ แช่แข็ง ลดลง (YoY) ร้อยละ 3.8 และ (5) กุ้งแช่แข็ง ลดลง (YoY) ร้อยละ 9.6
ทั้งนี้ หากไม่รวมน้ำตาล ภาพรวมดัชนีผลผลิตอาหารขยายตัวร้อยละ 0.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM) นอกจากนี้ ผลผลิตของอาหารสำเร็จรูปและอาหารพื้นฐาน (commodity) บางชนิดยังคงขยายตัวได้ดี อาทิ (1) สัปปะรดกระป๋อง ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 214 (2) ข้าวโพดหวานกระป๋อง ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 29.2 (3) อาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 10.9 (5) ทูน่ากระป๋อง ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 10.0 และ (6) น้ำมันปาล์มดิบ ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 5.9
+ การจำหน่ายในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายสินค้าอาหารในประเทศเดือนสิงหาคม 2563 ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 2.1 เป็นผลมาจากผู้บริโภคเริ่มกลับมาจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก มาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว "เราเที่ยวด้วยกัน" สำหรับสินค้าบางประเภทที่มีแนวโน้มการบริโภคในประเทศดีขึ้น ได้แก่ ผลิตภัณฑ์จากปลาสดแช่เย็นหรือแช่แข็ง ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 13.7 กุ้งแช่แข็ง ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 12.5 ปลาบรรจุกระป๋อง ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 13.7 ผลิตภัณฑ์นม ขยายตัว (YoY) ร้อยละ 2.6
- ตลาดส่งออก ภาพรวมการส่งออกสินค้าอาหารเดือนสิงหาคม มีมูลค่า 2,387.0 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ร้อยละ 15.1 จากสินค้าสำคัญ ได้แก่ (1) น้ำตาล เนื่องจากบราซิลซึ่งเป็นผู้ผลิตรายใหญ่หันมาผลิตน้ำตาลส่งออกแทนการผลิตเอทานอล ขณะเดียวกันความต้องการบริโภคน้ำตาลในตลาดโลกชะลอตัวลง (2) ผักและผลไม้สดแช่เย็นและแช่แข็ง เนื่องจากผลผลิตของไทยมีแนวโน้มลดลง (3) ข้าว เนื่องจากผลผลิตในแหล่งเพาะปลูกหลักลดลงจากภัยธรรมชาติ
คาดการณ์แนวโน้ม คาดว่าดัชนีผลผลิตของอุตสาหกรรมอาหารในภาพรวมเดือนกันยายนปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากวัตถุดิบสินค้าเกษตร เช่น อ้อย และมันสำปะหลัง ลดลงจากปัญหาภัยแล้ง ทำให้วัตถุดิบไม่เพียงพอต่อความต้องการผลิตของโรงงาน รวมถึงการชะลอตัวจากการบริโภคในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติ ทั้งนี้ คาดว่ามาตรการเราเที่ยวด้วยกันที่เริ่มโครงการตั้งแต่ 18 ก.ค.-31 ต.ค. 2563 และการเพิ่มวันหยุดพิเศษชดเชยวันสงกรานต์ตามมติ ครม. จะช่วยกระตุ้นและส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศให้กลับมาฟื้นตัวดีขึ้น สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะลดลงเล็กน้อยตามสถานการณ์ผลผลิตที่ลดลง อย่างไรก็ตาม สินค้าสำเร็จรูปและอาหารพื้นฐาน เช่น ผลไม้บรรจุกระป๋อง ทูน่ากระป๋อง และอาหารสัตว์เลี้ยง ยังมีแนวโน้มขยายตัวตามความต้องการของตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาระดับความมั่นคงด้านอาหารในประเทศที่มีการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
2. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
+ การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 87.0 สินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า สายไฟฟ้า กระติกน้ำร้อน หม้อหุงข้าว สายเคเบิ้ล มอเตอร์ไฟฟ้าและเตาอบไมโครเวฟ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.2, 28.2, 15.7, 13.0, 9.6, 5.8, 5.0 และ 3.9 ตามลำดับ โดยตู้เย็น เครื่องซักผ้า กระติกน้ำร้อนและสายไฟฟ้า มีการจำหน่ายในประเทศและต่างประเทศเพิ่มขึ้น ส่วนเตาอบไมโครเวฟ หม้อหุงข้าว มอเตอร์ไฟฟ้า หม้อแปลงไฟฟ้าและสายเคเบิ้ล มีการจำหน่ายต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ คอมเพรสเซอร์ หม้อแปลงไฟฟ้า พัดลมตามบ้านและเครื่องปรับอากาศ ปรับตัวลดลงร้อยละ 27.9, 20.0, 7.1 และ 5.6 ตามลำดับ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากในประเทศและต่างประเทศลดลง
+ การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่าการส่งออก 2,095.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.7 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยเตาอบไมโครเวฟ มีมูลค่า 60.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 277.9 จากตลาดญี่ปุ่นและอาเซียน เครื่องซักผ้า มีมูลค่า 114.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 37.2 จากตลาดสหรัฐอเมริกา จีนและอาเซียน และตู้เย็น มีมูลค่า 170.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.4 จากตลาดจีน สหรัฐอเมริกา ยุโรปและอาเซียน ในขณะที่สินค้าที่มีคำสั่งซื้อลดลง ได้แก่ เครื่องอุปกรณ์สำหรับป้องกันวงจรไฟฟ้าและส่วนประกอบ มีมูลค่า 126.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 7.1 ในตลาดอาเซียน ยุโรปและญี่ปุ่น และเครื่องปรับอากาศ มูลค่า 306.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 1.5 ในตลาดญี่ปุ่น จีน อาเซียนและยุโรป
"คาดการณ์การผลิตเดือนกันยายน 2563 อุตสาหกรรมไฟฟ้าคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้ามีการฟื้นตัวดีขึ้น รวมถึงปัจจัยบวกจากการย้ายฐานการผลิตออกจากประเทศจีนของกลุ่มอุตสาหกรรมประเทศญี่ปุ่น"
- การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวลดลงร้อยละ 10.6 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 92.6 สินค้าปรับตัวลดลง โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ซึ่งปรับตัวลดลง ได้แก่ HDD และ PCBA โดยปรับตัวลดลงร้อยละ 24.3 และ 4.1 ตามลำดับ เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง ในขณะที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ Semiconductor devices transistor, Printer, PWB และ IC โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.3, 4.5, 1.8 และ 0.6 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการสินค้าของตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น
- การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออก 2,942.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้า IC มีมูลค่า 561.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ร้อยละ 11.9 ในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา จีนและยุโรป และ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีมูลค่า 1,087.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 8.6 ในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกาและยุโรป ในขณะที่สินค้า Semiconductor devices transistor มีมูลค่า 118.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.9 เนื่องจากอาเซียน จีนและยุโรป มีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
"คาดการณ์การผลิตเดือนกันยายน 2563 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะปรับตัวลดลงร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวโดยประเทศคู่ค้ามีการชะลอการสั่งซื้อ รวมถึงเทคโนโลยีกำลังถูกเปลี่ยนไปใช้ SSD (Solid State Drive) แทน HDD (Hard Disk Drive) อย่างไรก็ตาม HDD จำเป็นต้องใช้ในการพัฒนาระบบเทคโนโลยี 5G, Data Center และผลิตภัณฑ์สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทาง IT ทำให้ยังคงมีความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น"
3. อุตสาหกรรมยานยนต์
+ การผลิตรถยนต์ ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีจำนวน 117,253 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 31.25 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 29.52 (%YoY) จากการปรับลดลงของการผลิตรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน และอนุพันธ์ และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
+ การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีจำนวน 68,883 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 16.09 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 14.79 (%YoY) จากการปรับลดลงของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม ตลาดรถยนต์ในประเทศมีการฟื้นตัวจากเดือนที่ผ่านมา
+ การส่งออกรถยนต์ ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีจำนวน 57,402 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 15.81 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 29.61 (%YoY) โดยการส่งออกรถยนต์ลดลงในตลาดเอเชีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป ตะวันออกกลาง อเมริกาเหนือ และอเมริกากลางและใต้ จากผลกระทบการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในหลายประเทศทั่วโลก อย่างไรก็ตามตลาดส่งออกมีการฟื้นตัวจากเดือนที่ผ่านมา
"คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ในเดือนกันยายน ปี 2563 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ปี 2562 เนื่องจากผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้ง ภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว"
+ การผลิตรถจักรยานยนต์ ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีจำนวน 137,847 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 15.83 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.91 (%YoY) จากการลดลงของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบอเนกประสงค์ และแบบสปอร์ต
+ การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มียอดจำหน่ายจำนวน 143,424 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 4.67 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.01 (%YoY) จากการลดลงของยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขนาด 51-110 ซีซี 111-125 ซีซี และมากกว่าหรือเท่ากับ 400 ซีซี
+ การส่งออกรถจักรยานยนต์ ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มี จำนวน 28,291 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 101.56 (%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 1.49 (%YoY) โดยตลาดส่งออกมีการขยายตัวในประเทศจีน ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และเบลเยี่ยม
"คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์ในเดือนกันยายน ปี 2563 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนกันยายน ปี 2562 เนื่องจาก ผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้ง ภาวะเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว"
4. อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางพารา
- ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) ลดลงร้อยละ 1.81 โดยเป็นการปรับลดลงในสินค้ายางแผ่นรมควันและยางแท่ง ตามความต้องการใช้ทั้งในและต่างประเทศที่ลดลง ประกอบกับมีฝนตกชุกในพื้นที่กรีดยาง
- ยางรถยนต์ ลดลงร้อยละ 9.50 ตามการชะลอตัวของตลาดทั้งในประเทศและส่งออก
+ ถุงมือยาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.54 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ยังคงมีความต้องการใช้ทางการแพทย์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) ลดลงร้อยละ 4.55 โดยเป็นการหดตัวในผลิตภัณฑ์ยางแผ่นรมควันและยางแท่งตามความต้องการใช้ที่ลดลง
- ยางรถยนต์ ลดลงร้อยละ 7.17 ตามการชะลอตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์และตลาด Replacement ในประเทศ
- ถุงมือยาง ลดลงร้อยละ 10.78 เนื่องจากผู้ผลิตหันไปทำตลาดต่างประเทศเองมากขึ้น
- ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) มีมูลค่าลดลงร้อยละ 32.23 ตามความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ยางแท่งจากไทยของจีนที่ปรับลดลงค่อนข้างมาก
+ ยางรถยนต์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.73 ตามการเร่งกักตุนสินค้าก่อนการเรียกเก็บอากรชั่วคราวของสหรัฐอเมริกา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 (ประเด็น Anti-Dumping)
+ ถุงมือยาง มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 125.88 เนื่องจากตลาดสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น มีการขยายตัวที่ดี
การผลิตยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) คาดว่าจะปรับตัวลดลง เนื่องจากมีแนวโน้มความต้องการใช้ทั้งในและต่างประเทศลดลงค่อนข้างมาก ประกอบกับฝนที่ตกชุกในพื้นที่กรีดยางทำให้มีแนวโน้มปริมาณยางเข้าสู่ตลาดลดลง สำหรับการผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์คาดว่าจะยังคงหดตัวตามแนวโน้มการชะลอตัวของตลาดในประเทศ ทั้งในส่วนของอุตสาหกรรมยานยนต์รวมถึงตลาด Replacement ในส่วนของการผลิตและจำหน่ายถุงมือยางในประเทศคาดว่าในภาพรวมจะยังมีการขยายตัวที่ดี เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้มีความต้องการใช้ทางการแพทย์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
การส่งออกยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) คาดว่าจะมีมูลค่าลดลง เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยืดเยื้อ ทำให้ภาคการผลิตในหลายประเทศโดยเฉพาะจีนและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักของไทยในสินค้าดังกล่าวมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน สำหรับการส่งออกยางรถยนต์คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มการเร่งนำเข้าเพื่อกักตุนสินค้าก่อนการเรียกเก็บอากรชั่วคราวซึ่งเป็นผลจากการพิจารณาความเสียหายเบื้องต้น กรณีการไต่สวนการใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti-Dumping) กับสินค้า Passenger Vehicle and Light Truck Tires ของไทยในสหรัฐอเมริกา ในส่วนของการส่งออกถุงมือยางคาดว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นตามความต้องการใช้ที่สูงขึ้นในตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น
5. อุตสาหกรรมพลาสติก
- ดัชนีผลผลิต เดือนสิงหาคม 2563 ค่าดัชนีผลผลิต อยู่ที่ระดับ 88.63 หดตัวร้อยละ 3.08 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิตหดตัวในหลาย ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น เครื่องใช้ประจำโต๊ะ ครัว อาหาร และห้องน้ำ หดตัวร้อยละ 37.21 แผ่นฟิล์มพลาสติก หดตัว ร้อยละ 35.68 และบรรจุภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ หดตัวร้อยละ 11.23
- ดัชนีการส่งสินค้า เดือนสิงหาคม 2563 อุตสาหกรรมพลาสติกมีค่าดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 89.44 หดตัวร้อยละ 4.62 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ประจำโต๊ะ ครัว อาหาร และห้องน้ำ หดตัวร้อยละ 46.79 รองลงมาคือ แผ่นฟิลม์พลาสติก ร้อยละ 27.86 และท่อและข้อต่อพลาสติก หดตัวร้อยละ 12.44
- การส่งออก เดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่า 328.01 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 13.33 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์พลาสติกที่มีการส่งออกหดตัวสูงที่สุด คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์หลอดหรือท่อ (HS 3917) หดตัวร้อยละ 37.49 รองลงมาเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน (HS 3924) หดตัวร้อยละ 29.12 และกลุ่มผลิตภัณฑ์พลาสติกปูพื้น (HS 3918) หดตัวร้อยละ 26.10 การส่งออกหดตัวในตลาดหลัก เช่น ญี่ปุ่น เวียดนาม และอินโดนีเซีย
- การนำเข้าเดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่า 360.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 12.36 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์หลักที่ส่งผลให้การนำเข้าหดตัว เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ใยยาวเดี่ยว (HS 3916) หดตัวร้อยละ 48.74 กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสุขภัณฑ์ (HS 3922) หดตัวร้อยละ 24.08 และกลุ่มผลิตภัณฑ์แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์ และแถบอื่น ๆ ชนิดยึดติดในตัว (HS 3919) หดตัวร้อยละ 22.46
แนวโน้มอุตสาหกรรมพลาสติก เดือนกันยายน 2563 คาดการณ์ว่าการผลิตและการส่งออกจะยังคงหดตัว อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงเพิ่มขึ้นในประเทศคู่ค้าหลัก เช่น สหรัฐฯ และอินเดีย รวมถึงการระบาดรอบใหม่ในหลาย ๆ ประเทศ ซึ่งจะส่งผลต่อการส่งออกของไทยและอาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมพลาสติก
+ ดัชนีผลผลิต เดือนสิงหาคม 2563 อยู่ที่ระดับ114.73 ขยายตัวร้อยละ 10.49 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการผลิตในกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐาน หดตัว ร้อยละ 13.12 ผลิตภัณฑ์ที่มีการหดตัวสูงสุด ได้แก่ โซดาไฟ หดตัวร้อยละ 18.16 สำหรับกลุ่มเคมีภัณฑ์ ขั้นปลาย ขยายตัวร้อยละ 18.61 ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตขยายตัวสูงสุด ได้แก่ การผลิตปุ๋ยเคมี ขยายตัวร้อยละ 66.76 เนื่องจากมีฝนตกอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ เกษตรกรสามารถเพาะปลูกได้ตามปกติ ส่งผลให้มีความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีเพิ่มขึ้น
+ ดัชนีการส่งสินค้า เดือนสิงหาคม 2563 อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์มีค่าดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 120.18 ขยายตัวร้อยละ 14.82 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีการส่งสินค้าในกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐาน หดตัวร้อยละ 19.33 หดตัวในกลุ่มผลิตภัณฑ์โซดาไฟ และเอทานอล สำหรับกลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลาย ดัชนีการส่งสินค้าขยายตัวร้อยละ 25.22 ขยายตัวในหลาย ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น ปุ๋ยเคมี ผงซักฟอก และแป้งฝุ่น เป็นต้น
- การส่งออก เดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่า 711.94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 3.61 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเคมีภัณฑ์พื้นฐานมีมูลค่าการส่งออก 373.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 5.25 สำหรับเคมีภัณฑ์ขั้นปลายมีมูลค่าการส่งออก 338.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 11.81 ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกหดตัว เช่น เครื่องสำอาง หดตัวร้อยละ 23.32 และเคมีภัณฑ์อนินทรีย์ หดตัวร้อยละ 22.16 และสี หดตัวร้อยละ 10.23 การส่งออกหดตัวในตลาดหลัก เช่น จีน อินเดีย อินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น
- การนำเข้า เดือนสิงหาคม 2563 มีมูลค่า 1,143.38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 12.48 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐาน มีมูลค่า การนำเข้า 695.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 14.40 สำหรับเคมีภัณฑ์ขั้นปลาย มีมูลค่าการนำเข้า 448.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 9.33
แนวโน้มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ เดือนกันยายน 2563 การผลิตคาดว่าจะขยายตัว แต่การส่งออกคาดว่าจะหดตัวอย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่ต้องติดตาม เช่น สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ลดลง
- ดัชนีผลผลิต เดือนสิงหาคม 2563 อยู่ที่ระดับ 109.91 หรือหดตัวร้อยละ 2.61 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัวร้อยละ 0.45 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็นปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน ได้แก่ Ethylene และ Propylene หดตัวร้อยละ 2.27 และ 1.20 และปิโตรเคมีขั้นปลาย ได้แก่ ABS resin และ PE resin หดตัวร้อยละ 31.02 และ 12.16 ตามลำดับ
+ ดัชนีการส่งสินค้า ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 109.22 ขยายตัวร้อยละ 0.67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวร้อยละ 2.75 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็นปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน ได้แก่ Toluene, Benzene และ Ethylene ขยายตัวร้อยละ 53.08, 4.21 และ 1.24 และปิโตรเคมีขั้นปลาย ได้แก่ SAN resin, PS resin, PVC resin, PP resin และ PE resin ขยายตัวร้อยละ 71.30, 33.92, 13.03, 9.26 และ 4.96 ตามลำดับ
+ การส่งออก การส่งออกเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีมูลค่า 774.24 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 17.72 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวร้อยละ 4.92 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวในกลุ่มปิโตรเคมี ขั้นพื้นฐาน เช่น Terephthalic acid, Para-Xylene, Benzene และ Toluene เป็นต้น หดตัวร้อยละ 29.99 และ หดตัวในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น PE resin, PP resin, PC resin, PVC resin และ PET resin เป็นต้น หดตัวร้อยละ 14.85
- การนำเข้า การนำเข้าเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีมูลค่า 322.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 31.92 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และหดตัว ร้อยละ 0.49 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งหดตัวในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน เช่น Vinyl Chloride, Acetic Acid, Ethylene Glycol และ Styrene เป็นต้น หดตัวร้อยละ 47.03 และหดตัวในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น PE resin, PP resin, Nylon resin, SR BR rubber และ PMMA resin เป็นต้น หดตัวร้อยละ 28.63
คาดการณ์แนวโน้ม อุตสาหกรรมปิโตรเคมี เดือนกันยายน ปี 2563 คาดว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมอาจจะยังคงชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจากผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 และความกังวลของตลาดโลกกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่ยังคงไม่เข้าสู่สภาวะปกติ
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนสิงหาคม2563 มีค่า 85.6 หดตัวร้อยละ 13.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการชะลอตัวของการผลิตในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมยานยนต์ จากการชะลอตัวของสถานการณ์เศรษฐกิจทั้งในส่วนของเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมมีค่า 88.1 หดตัวร้อยละ 13.3 จากการผลิตเหล็กเส้น หดตัว ร้อยละ 29.1 รองลงมา คือ เหล็กเส้นข้ออ้อย และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ชนิดรีดร้อน หดตัวร้อยละ 21.2 และ 19.4 ตามลำดับ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมมีค่า 76.6 หดตัวร้อยละ 17.9 จากการผลิตเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี หดตัวร้อยละ 34.1 รองลงมา คือ เหล็กแผ่นรีดเย็น และเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน หดตัวร้อยละ 33.0 และ 6.1 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การผลิตเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นเคลือบโครเมี่ยม ขยายตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยขยายตัว ร้อยละ 90.8 และ 47.6 ตามลำดับ ตามการเพิ่มขึ้นของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมผลิตบรรจุภัณฑ์กระป๋องโลหะ
- การจำหน่ายในประเทศ ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีปริมาณการจำหน่าย 1.3 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 19.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่มีการจำหน่ายลดลง คือ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน ซึ่งมีปริมาณการจำหน่าย 0.7 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 29.7 จากการจำหน่ายเหล็กแผ่นบางรีดร้อน หดตัวร้อยละ 47.9 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดเย็น และเหล็กแผ่นหนารีดร้อน หดตัวร้อยละ 41.1 และ 23.0 ตามลำดับ ส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว มีปริมาณการจำหน่าย 0.6 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 0.2 จากการจำหน่ายเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรีดร้อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.8
- การนำเข้า ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีปริมาณนำเข้า 0.8 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 29.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว มีปริมาณนำเข้า 0.2 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 27.8 จากการนำเข้าเหล็กเส้น ประเภท Carbon Steel ซึ่งหดตัวร้อยละ 77.6 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน) รองลงมา คือ เหล็กเส้น ประเภท Alloy Steel และเหล็กลวดประเภท Carbon Steel หดตัวร้อยละ 67.4 และ 65.4 ตามลำดับ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน มีปริมาณนำเข้า 0.6 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 30.0 จากการนำเข้าเหล็กแผ่นบางรีดร้อน ประเภท Carbon Steel P&O ซึ่งลดลง ร้อยละ 84.3 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน) รองลงมา คือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ประเภท Alloy Steel และเหล็กแผ่นรีดเย็น ประเภท Carbon Steel หดตัวร้อยละ 70.1 และ 67.8 ตามลำดับ
"แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนกันยายน 2563 คาดการณ์ว่า การผลิตลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการชะลอตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ และอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่น่าติดตาม เช่น ได้แก่ สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ราคาสินค้าเหล็กต่างประเทศ และการดำเนินการโครงการก่อสร้างภาครัฐ ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะส่งผลต่อปริมาณการผลิต และการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กในประเทศ"
9. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
- เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ลดลง ร้อยละ 20.96 37.00 และ 26.05 (YoY) เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังส่งผลต่อการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูป และกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศ ทำให้การผลิตตั้งแต่วัตถุดิบ ต้นน้ำจนถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปลดลง อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเดือนก่อน พบว่า การผลิตเส้นใย สิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ขยายตัว ร้อยละ 12.67 15.08 และ 6.22 จากการที่ คู่ค้าหลายประเทศสามารถควบคุมการระบาดของโรคได้และเริ่มผ่อนคลายให้ทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากขึ้น การจำหน่ายในประเทศ
- เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ลดลง 29.44 33.62 และ 24.55 (YoY) เนื่องจากความต้องการวัตถุดิบเพื่อการส่งออกลดลง รวมถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศชะลอตัวจากผลกระทบของการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 หากเปรียบเทียบกับเดือนก่อน พบว่า การจำหน่ายเส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ขยายตัว ร้อยละ 12.34 15.34 และ 6.79 จากการผ่อนคลายกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ
- การส่งออก เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูปมูลค่าลดลง ร้อยละ 24.54 20.43 และ 25.41 (YoY) จากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวจากการระบาดของเชื้อไวรัส โควิด-19 ซึ่งยังคงแพร่ระบาดในหลายประเทศ โดยตลาดสำคัญที่ลดลง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเดือนก่อน พบว่า การส่งออกเส้นใยสิ่งทอ และผ้าผืน ขยายตัว ร้อยละ 4.66 และ 15.65 จากการส่งออก ไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา บังคลาเทศ จีน และในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น เวียดนาม เมียนมา และกัมพูชา เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตสินค้าปลายน้ำ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการคลายล็อกดาวน์และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในหลายประเทศทำให้เริ่มมีความต้องการสินค้าอุปโภคเพิ่มขึ้น
คาดว่า ภาวะอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจะชะลอตัวตามกำลังซื้อในประเทศ และภาพรวมของเศรษฐกิจโลก ที่ทุกประเทศได้รับผลกระทบจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับเดือนก่อน คาดว่า จะมีแนวโน้มขยายตัวทั้งในภาคการผลิตและการส่งออก
- การผลิตปูนซีเมนต์รวม ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีจำนวน 6.79 ล้านตัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 5.81 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.44 (%YoY)
+ การจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมในประเทศ ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีปริมาณการจำหน่าย 3.01 ล้านตัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 5.32 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.87 (%YoY)
- การส่งออกปูนซีเมนต์รวม ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีจำนวน 0.44 ล้านตัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 59.91 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 59.35 (%YoY) เป็นผลจากการปรับลดคำสั่งในตลาดหลัก ได้แก่ กัมพูชา บังคลาเทศ สปป.ลาว และฟิลิปปินส์
คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ในภาพรวมเดือนกันยายน ปี 2563 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะยังส่งผลกระทบอยู่ แต่ผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลทำให้คาดว่าจะส่งผลต่อความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ให้สามารถปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อย
- การผลิตซีเมนต์(ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีจำนวน 3.24 ล้านตัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 9.86 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 3.68 (%YoY)
+ การจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศ (ไม่รวมปูนเม็ด) เดือนสิงหาคม ปี 2563 มีปริมาณการจำหน่าย 3.01 ล้านตัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 5.32 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.87 (%YoY)
- การส่งออกซีเมนต์(ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนสิงหาคม ปี 2563 มีจำนวน 0.28 ล้านตัน ลดลงจากเดือนกรกฎาคม ปี 2563 ร้อยละ 18.33 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 46.68 (%YoY) เป็นผลจากการปรับลดคำสั่งซื้อในตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว และฟิลิปปินส์
คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนกันยายน ปี 2563 สามารถขยายตัวเล็กน้อย
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม