ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนกรกฎาคม 2564
สถานการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรม
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนกรกฎาคม 2564 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ขยายตัวร้อยละ 5.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนหนึ่งยังคงได้รับอานิสงส์จากฐานเปรียบเทียบในเดือนกรกฎาคม 2563 ที่ต่ำ ซึ่งยังเป็นเดือนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดในระลอกแรก รวมถึงในปีนี้การส่งออกมีการขยายตัวได้ดี
เมื่อพิจารณาข้อมูล MPI ย้อนหลัง 3 เดือน เทียบกับปีก่อน (%YoY) เดือนเมษายน การผลิตขยายตัวร้อยละ 18.0 เดือนพฤษภาคมขยายตัวร้อยละ 25.7 และเดือนมิถุนายน ขยายตัวร้อยละ 18.3
สำหรับ 3 เดือนที่ผ่านมา เดือนเมษายน เดือนพฤษภาคม และเดือนมิถุนายน 2564 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ MPI (%MoM) มีอัตราการเปลี่ยนแปลงดังนี้ กล่าวคือ ในเดือนเมษายน หดตัวร้อยละ 16.5 เดือนพฤษภาคม ขยายตัวร้อยละ 9.7 และเดือนมิถุนายน หดตัวร้อยละ 2.1
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนกรกฎาคม 2564 ขยายตัวเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน คือ รถยนต์และชิ้นส่วน เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.49 จากตลาดส่งออกเป็นหลัก ด้วยผลของฐานต่ำ และความต้องการของลูกค้าต่างประเทศ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าที่ฟื้นตัว จากการควบคุมการระบาดได้ดีและมีการฉีดวัคซีนทั่วประเทศในระดับสูง ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 19.02 ตามความต้องการที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ของตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และคาดว่าความต้องการจะเพิ่มขึ้นในระยะยาว ผลิตภัณฑ์ยางอื่นๆ ที่มิใช่ยางล้อ เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.55 จากยางแท่งและยางแผ่นเป็นหลัก จากสถานการณ์โควิด-19 ของกลุ่มประเทศคู่ค้าหลัก (จีน อเมริกา และยุโรป) คลี่คลายและกลับมาสั่งซื้อเพิ่มขึ้น รวมถึงปีนี้ฝนตกต่อเนื่องทำให้ต้นยางสมบูรณ์ผลิตน้ำยางได้มาก
เม็ดพลาสติก เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.61 เนื่องจากฐานต่ำจากการหยุดซ่อมบำรุงของโรงงานหนึ่ง ในปีก่อน และบางโรงงานเร่งผลิตหลังจากมีการขยายกำลังการผลิต รวมถึงมีการปรับปรุงสูตรการผลิตทำให้สามารถผลิตสินค้าได้เพิ่มขึ้น
น้ำตาล เพิ่มขึ้นร้อยละ 93.73 จากการผลิตน้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ หลังจากปิดหีบ เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ เดือนกรกฎาคม 2564 การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย การนำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ ในเดือนกรกฎาคม 2564 มีมูลค่า 1,454.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 35.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวจากเครื่องยนต์ เพลาส่งกำลัง และส่วนประกอบอื่น ๆ ตลับลูกปืน เครื่องจักรใช้ในการแปรรูปไม้ และส่วนประกอบ เครื่องจักรและอุปกรณ์ ใช้ในการแปรรูปยาง หรือพลาสติก เครื่องกังหันไอพ่นและส่วนประกอบ เครื่องจักรใช้ในการก่อสร้างและส่วนประกอบ เป็นต้น การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนกรกฎาคม 2564 มีมูลค่า 9,305.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 50.1 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ขยายตัวจากเคมีภัณฑ์ โดยเฉพาะ เม็ดพลาสติก เหล็กและผลิตภัณฑ์ ทองแดงและผลิตภัณฑ์ อลูมิเนียมและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
โรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนกรกฎาคม 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 225 โรงงาน ลดลงเล็กน้อยจากเดือนมิถุนายน 2564 ร้อยละ 0.44 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 33.9 (%YoY)
มูลค่าเงินลงทุนรวมจากโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนกรกฎาคม 2564 มีมูลค่ารวม 9,653 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2564 ร้อยละ 79.91 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 42.39 (%YoY)
"อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนกรกฎาคม 2564 คือ อุตสาหกรรม การทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซัม จำนวน 35 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอก กรวด ทราย หรือดิน จำนวน 14 โรงงาน"
"อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในเดือนกรกฎาคม 2564 คือ อุตสาหกรรมการบรรจุสินค้าทั่วไป จำนวนเงินทุน 838 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซัม จำนวนเงินทุน 675 ล้านบาท สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรม
จำนวนโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการในเดือนกรกฎาคม 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 53 ราย ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2564 ร้อยละ 17.19 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 76.67 (%YoY) เงินทุนของการเลิกกิจการในเดือนกรกฎาคม 2564 มีมูลค่ารวม 1,865 ล้านบาท ลดลงจากเดือนมิถุนายน 2564 ร้อยละ 35.34 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 104.82 (%YoY) "อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานที่มีการเลิกประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนกรกฎาคม 2564 คือ อุตสาหกรรมการดูดทราย จำนวน 6 โรงงาน รองลงมา คือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอก กรวด ทราย หรือดิน จำนวน 5 โรงงาน
"อุตสาหกรรมที่มีการเลิกประกอบกิจการโดยมีเงินลงทุนสูงสุด ในเดือนกรกฎาคม 2564 คือ อุตสาหกรรม ผลิต ประกอบ ดัดแปลง หรือซ่อมแซมเครื่องจักรสำหรับใช้ในการกสิกรรม มูลค่าเงินลงทุน 576 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการถลุง หลอม หล่อ รีด ดึง เหล็กหรือเหล็กกล้า มูลค่าเงินลงทุน 200 ล้านบาท"
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรายสาขา เดือนกรกฎาคม 2564 1.อุตสาหกรรมอาหาร
การผลิต เดือนกรกฎาคม 2564 หดตัว (%YoY) ร้อยละ 1.7 เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้โรงงานบางแห่งต้องปิดชั่วคราว หรือปิดไลน์ผลิตบางส่วน โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่มีดัชนีผลผลิตหดตัว มีดังนี้ 1) ผลิตภัณฑ์นม หดตัวร้อยละ 10.7 2) ประมง หดตัวร้อยละ 10.6 จากสินค้าสำคัญ คือ ปลาทูน่ากระป๋อง ปรับตัวลดลงร้อยละ 29.7 3) อาหารสัตว์สำเร็จรูป หดตัวร้อยละ 7.4 จากสินค้าสำคัญคือ อาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป ปรับตัวลดลงร้อยละ 14.9 4) ปศุสัตว์ หดตัวร้อยละ 6.0 จากสินค้าสำคัญคือ เนื้อไก่แช่แข็งและแช่เย็น ปรับตัวลดลงร้อยละ 7.7 และเนื้อไก่สุกปรุงรส ปรับตัวลดลงร้อยละ 7.1 และ 5) ผักและผลไม้แปรรูป หดตัวร้อยละ 1.5 จากสินค้าสำคัญคือ ข้าวโพดหวานกระป๋อง ปรับตัวลดลงร้อยละ 38.4
อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าบางรายการ เช่น 1) น้ำตาล ขยายตัว ร้อยละ 93.7 จากสินค้าสำคัญคือ น้ำตาลทรายขาวและน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ เนื่องจากมีการละลายน้ำตาลทรายดิบเพื่อผลิตเป็นน้ำตาลทรายอย่างต่อเนื่อง 2) มันสำปะหลัง ขยายตัวร้อยละ 48.4 จากสินค้าสำคัญคือ แป้งมันสำปะหลัง เนื่องจากความต้องการบริโภคของตลาดในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลัก ได้นำเข้าแป้งมันสำปะหลังเพื่อใช้เป็นสินค้าทดแทน ในช่วงที่ราคาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ยังคงอยู่ในระดับ ที่สูง 3) น้ำมันพืช ขยายตัวร้อยละ 14.7 จากสินค้าสำคัญ คือ น้ำมันถั่วเหลือง เนื่องจากความต้องการบริโภคของตลาดในและต่างประเทศ โดยตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ กัมพูชา
การจำหน่ายในประเทศ ปริมาณการผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าอาหารในประเทศเดือนกรกฎาคม 2564 ปรับตัวลดลง (%YoY) ร้อยละ 9.9 โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่หดตัว มีดังนี้ 1) ผลิตภัณฑ์อาหารอื่น ปรับตัวลดลงร้อยละ 51.0 จากสินค้าอาหารชุดสำเร็จรูปพร้อมปรุง 2) ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการโม่-สีธัญพืช ปรับตัวลดลงร้อยละ 20.4 จากสินค้า นมถั่วเหลือง 3) ผักและผลไม้แปรรูป ปรับตัวลดลงร้อยละ 15.4 จากสินค้าสำคัญคือ ผลไม้กระป๋องอื่น ๆ และผักผลไม้แช่แข็ง และ 4) ปศุสัตว์ ปรับตัวลดลงร้อยละ 12.1 จากสินค้าสำคัญคือ เนื้อไก่สุก ปรุงรส และเนื้อไก่แช่แข็งและแช่เย็น ตลาดส่งออก ภาพรวมการส่งออกสินค้าอาหารเดือนกรกฎาคม 2564 มีมูลค่า 2,886.33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 19.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากสินค้าดังนี้ 1) ผัก ผลไม้ สด แช่เย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป เนื่องจากสินค้ามีคุณภาพเป็นที่ยอมรับ ในมาตรฐานระดับโลก โดยตลาดส่งออกที่ขยายตัวได้ดี เช่น จีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย 2) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง เนื่องจากเป็นที่ต้องการในตลาดสำคัญอย่างจีน ญี่ปุ่น และไต้หวัน ประกอบกับผู้บริโภคมีความมั่นใจในคุณภาพและมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ และ 3) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ เนื่องจากความต้องการนำเข้าน้ำมันปาล์มและน้ำมันถั่วเหลืองในหลายตลาดเริ่มกลับมาฟื้นตัว โดยการส่งออกน้ำมันปาล์มขยายตัวได้ดี ในตลาดมาเลเซีย และการส่งออกน้ำมันถั่วเหลืองขยายตัวได้ดีในตลาดเวียดนาม คาดการณ์แนวโน้ม คาดว่าดัชนีผลผลิตของอุตสาหกรรมอาหารเดือนสิงหาคม 2564 ในภาพรวมจะหดตัวเล็กน้อย เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 ในโรงงาน ประกอบกับการขาดแคลนแรงงานต่างด้าวที่ยังไม่สามารถ กลับเข้ามาทำงานในภาคการผลิตได้ ขณะที่มูลค่าการส่งออกคาดว่ายังคงขยายตัวเนื่องตามความต้องการบริโภคของประเทศคู่ค้า 2. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
อุตสาหกรรมไฟฟ้า
การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 96.6 โดยสินค้า ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ คอมเพรสเซอร์ มอเตอร์ไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ และสายไฟฟ้า โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.0, 20.9, 10.5 และ 8.7 ตามลำดับ เนื่องจากมีการจำหน่ายในประเทศและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้า ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ พัดลมตามบ้าน กระติกน้ำร้อน สายเคเบิ้ล หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องซักผ้า ตู้เย็น เตาไมโครเวฟ และหม้อหุงข้าว โดยลดลงร้อยละ 28.1, 25.1, 20.8, 19.4, 9.3, 9.2, 8.4 และ 1.4 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการสินค้าในประเทศลดลง
การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า มูลค่า 2,187.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ สายไฟฟ้า ชุดสายไฟ มีมูลค่า 90.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.8 ในตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรป และอาเซียน เครื่องคอมเพรสเซอร์มีมูลค่า 79.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.1 ในตลาดอาเซียน ยุโรป และจีน พัดลม มีมูลค่า 7.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2 ในตลาดสหรัฐอเมริกา และยุโรป มอเตอร์ไฟฟ้า มีมูลค่า 62.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 ในตลาดยุโรป ญี่ปุ่น และอาเซียน เครื่องปรับอากาศ มีมูลค่า 366.3ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.0 จากตลาดสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป และ หม้อแปลงไฟฟ้า มีมูลค่า 9.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 ในตลาดญี่ปุ่น และอาเซียน "คาดการณ์การผลิตเดือนสิงหาคม 2564 อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 4.0-9.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกัน ของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าเริ่มฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 เช่น ตลาดสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน รวมทั้งการพัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูงมาเป็นส่วนประกอบของเครื่องใช้ไฟฟ้า ทำให้ความต้องการสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น" อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยมีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ 93.9 โดยสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ PWB, PCBA, IC และ Semiconductor devices transistor โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.7, 25.4, 16.7 และ 14.1 ตามลำดับ เนื่องจากมีการจำหน่ายในประเทศและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ HDD และ Printer โดยลดลงร้อยละ 9.9 และ 8.5 ตามลำดับ เนื่องจากความต้องการสินค้าของตลาด ในประเทศและต่างประเทศลดลง
การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่าการส่งออก 3,428.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกัน ของปีก่อน สินค้าที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด มีมูลค่า 201.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 48.6 ในตลาดสหรัฐอเมริกา ยุโรป และเอเชีย HDD มีมูลค่า 638.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 35.3 ในตลาดญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา วงจรพิมพ์ มีมูลค่า 137.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 29.8 ในตลาดสหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป และวงจรรวม มีมูลค่า 674.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.2 ในตลาดสหรัฐอเมริกา เอเชีย และยุโรป
"คาดการณ์การผลิตเดือนสิงหาคม 2564 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะยังคงปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่องประมาณร้อยละ 5.0-10.0 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากตลาดโลกขยายตัว อย่างต่อเนื่องทำให้มีความต้องการสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้น เช่น กลุ่มสินค้าเซมิคอนดักเตอร์, HDD รวมทั้งการขยายโครงข่าย 5G ซึ่งทำให้เกิดความต้องการอุปกรณ์และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ"
อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์
การผลิตรถยนต์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 122,852 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 8.49 (%MoM) เนื่องจากผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ส่วนใหญ่พบกับปัญหาขาดแคลนชิปที่เป็นชิ้นส่วนสำคัญและชิ้นส่วนรถยนต์บางชิ้นในการผลิต จึงต้องชะลอการผลิตรถยนต์บางรุ่น อย่างไรก็ตาม เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 37.52 (%YoY) จากการปรับเพิ่มขึ้นของรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน และอนุพันธ์ และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์
การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 52,442 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 15.08 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.62 (%YoY) จากการปรับลดลงของการจำหน่ายรถยนต์นั่ง รถยนต์กระบะ 1 ตัน รถยนต์ PPV และ SUV เนื่องจากการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสามที่รุนแรงมากขึ้น และมีการล็อกดาวน์ตั้งแต่ช่วงกลางเดือนกรกฎาคม ส่งผลให้มีข้อจำกัดของกิจกรรมทางเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลง และรถยนต์บางรุ่นผลิตไม่พอกับความต้องการเพราะขาดแคลนชิ้นส่วน รวมทั้งการเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน และการชะลอการผลิตรถยนต์จากการขาดแคลนชิปและชิ้นส่วนรถยนต์จากการระบาดของโควิด-19 ในประเทศและประเทศ คู่ค้าที่ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
การส่งออกรถยนต์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 70,590 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 14.97 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 42.42 (%YoY) เนื่องจากฐานปีที่ผ่านมาต่ำ ประกอบกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าขยายตัวมากขึ้น โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในตลาดเอเชีย โอเชียเนีย อเมริกาเหนือ อเมริกากลางและใต้ อย่างไรก็ตาม การส่งออกลดลงในตลาดตะวันกลาง แอฟริกา และยุโรป เนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ยอดขายรถยนต์ในประเทศคู่ค้าลดลง
"คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์ในเดือนสิงหาคม ปี 2564 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ปี 2563 เนื่องจาก ผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสาม และปัญหาขาดแคลนชิปที่ต้องเฝ้าระวัง"
อุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์
การผลิตรถจักรยานยนต์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 83,690 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 51.83 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 29.68 (%YoY) จากการลดลงของการผลิตรถจักรยานยนต์แบบอเนกประสงค์ การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มียอดจำหน่ายจำนวน 115,623 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 28.23 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 15.62 (%YoY) จากการลดลงของ ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขนาด 51-110 ซีซี, 111-125 ซีซี, 126-250 ซีซี และมากกว่าหรือเท่ากับ 400 ซีซี การส่งออกรถจักรยานยนต์ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 39,840 คัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 23.59 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 183.84 (%YoY) โดยตลาดส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูปมีการเพิ่มขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาจีน และเบลเยียม
"คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์ ในเดือนสิงหาคม ปี 2564 ลดลงเมื่อเทียบกับเดือนสิงหาคม ปี 2563 เนื่องจาก ผลกระทบของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกสาม และปัญหาขาดแคลนชิปที่ต้องเฝ้าระวัง"
ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.09 จากการขยายตัวของการผลิตยางแผ่นรมควันและยางแท่ง ตามการขยายตัวของตลาดส่งออก
ยางรถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.78 ตามการขยายตัวของตลาดทั้งในและต่างประเทศ
ถุงมือยาง ลดลงร้อยละ 4.91 เนื่องจากโรงงานผู้ผลิตหลายแห่งพบการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ของพนักงาน จึงได้มีการทำ Bubble and Seal ส่งผลให้มีปริมาณการผลิตลดลงชั่วคราว การจำหน่ายในประเทศ
ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) ลดลงร้อยละ 4.47 จากการจำหน่ายยางแผ่นรมควันและน้ำยางข้นลดลง
ยางรถยนต์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.33 ตามการขยายตัวของตลาด Replacement และอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ
ถุงมือยาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.98 ตามความต้องการใช้ที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นการซื้อเพื่อกักตุน ของประชาชน เนื่องจากมีความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 การส่งออก
ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 121.18 จากการขยายตัวของการส่งออกยางแผ่นรมควันและยางแท่งไปยังจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ตามลำดับ
ยางรถยนต์ มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.46 ตามการขยายตัวที่ดีของตลาดญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และออสเตรเลีย ตามลำดับ
ถุงมือยาง มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.04 ตามการขยายตัวที่ดีของตลาดสหรัฐอเมริกา เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น คาดการณ์ภาวะอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 2564
การผลิตยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) คาดว่าจะขยายตัวตามความต้องการใช้ของตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม ฝนที่ตกชุกตลอดช่วงเดือนสิงหาคม ยังเป็นปัจจัยกดดันให้มีปริมาณยางเข้าสู่ตลาดลดลง สำหรับการผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์คาดว่าจะยังขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากเดือนก่อน ตามแนวโน้มการขยายตัวที่ดีของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในส่วนของการผลิตถุงมือยาง คาดว่าจะ ชะลอตัวลงจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในโรงงาน ซึ่งโรงงานหลายแห่งมีการทำ Bubble and Seal ตามนโยบายของรัฐบาล ทำให้ขาดแคลนแรงงาน เป็นการชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมอุตสาหกรรม ถุงมือยางยังขยายตัวได้ดี เนื่องจากทั่วโลกยังคงมีความต้องการใช้ทางการแพทย์สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่นเดียวกับการจำหน่ายถุงมือยางในประเทศที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นจากความต้องการใช้ที่สูงขึ้นเช่นกัน
การส่งออกยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง และน้ำยางข้น) คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในตลาดจีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดหลักในสินค้ายางแผ่นรมควันและยางแท่ง สำหรับการส่งออกยางรถยนต์ คาดว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นจากแนวโน้มการขยายตัวที่ดีของตลาดส่งออกลำดับรอง ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน และออสเตรเลีย ในขณะที่มูลค่าการส่งออกอาจลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา เนื่องจากฐานตัวเลขตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคม 2563 ค่อนข้างสูง ในส่วนของการส่งออกถุงมือยางคาดว่าจะมีมูลค่าสูงขึ้นตามแนวโน้มความต้องการใช้ที่สูงขึ้นของตลาดโลก โดยเฉพาะตลาดสหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป 4. อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางพารา 5. อุตสาหกรรมพลาสติก
ดัชนีผลผลิต-ดัชนีการสyงสินคญา
ดัชนีผลผลิต เดือนกรกฎาคม 2564 ค่าดัชนีผลผลิต อยู่ที่ระดับ 91.93 ขยายตัวร้อยละ 2.42 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการผลิตที่ขยายตัวอยู่ในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น แผ่นฟิล์มพลาสติก ขยายตัวร้อยละ 35.52 พลาสติกแผ่น ขยายตัวร้อยละ 20.42 และกระสอบพลาสติกขยายตัวร้อยละ 8.47
ดัชนีการส่งสินค้า เดือนกรกฎาคม 2564 ค่าดัชนี การส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 90.62 หดตัวร้อยละ 1.70 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หดตัว เช่น ท่อ และ ข้อต่อพลาสติก หดตัวร้อยละ 27.82 ถุงพลาสติก หดตัวร้อยละ 5.12 การส่งออก เดือนกรกฎาคมปี 2564 มีมูลค่า 383.60 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 17.15 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้การส่งออกขยายตัว เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์ และแถบอื่น ๆ ชนิดยึดติดในตัว (HS 3919) ขยายตัวร้อยละ 38.37 กลุ่มผลิตภัณฑ์ของอื่น ๆ ทำด้วยพลาสติก (HS 3926) ขยายตัวร้อยละ 31.14 และกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสุขภัณฑ์(HS 3922) ขยายตัวร้อยละ 24.27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การส่งออกขยายตัวในตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน และเวียดนาม ปริมาณ"ละมลคาการสงออก-น!"ขญา การนำเข้าเดือนกรกฎาคม 2564 มีมูลค่า 461.53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 25.35 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์หลักที่ส่งผลให้การนำเข้าขยายตัว เช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ใยยาวเดี่ยว (HS 3916) ขยายตัวร้อยละ 70.61 กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสุขภัณฑ์ (HS 3922) ขยายตัวร้อยละ 67.20 และกลุ่มผลิตภัณฑ์แผ่น แผ่นบาง ฟิล์ม ฟอยล์ และ แถบอื่น ๆ ที่ไม่เป็นแบบเซลลูลาร์ (HS 3920) ขยายตัวร้อยละ 31.06 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนก่อน
แนวโน้มอุตสาหกรรมพลาสติก เดือนสิงหาคม 2564 คาดการณ์ว่าการผลิตและการส่งออกขยายตัว ซึ่งยังคงต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในกลุ่มคลัสเตอร์โรงงานอุตสาหกรรม อย่างไรก็ตามภาครัฐได้มีการปรับมาตรการ ต่าง ๆ เพื่อช่วยลดการแพร่ระบาดในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป 6. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์
ดัชนีผลผลิต เดือนกรกฎาคม ปี 2564 อยู่ที่ระดับ 103.75 ขยายตัวร้อยละ 6.46 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นพื้นฐานขยายตัวร้อยละ 23.67 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตขยายตัว เช่น โซดาไฟ ขยายตัวร้อยละ 46.30 และคลอรีน
ขยายตัวร้อยละ 43.34 สำหรับกลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลายขยายตัวร้อยละ 1.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตขยายตัวสูงสุด ได้แก่ ปุ๋ยเคมี ขยายตัวร้อยละ 38.89 และสีอุตสาหกรรม ขยายตัวร้อยละ 9.31
ดัชนีการส่งสินค้า เดือนกรกฎาคม 2564 อยู่ที่ระดับ 103.4 ขยายตัวร้อยละ 1.98 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน โดยดัชนีการส่งสินค้าในกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐาน ขยายตัวร้อยละ 18.94 ขยายตัวในกลุ่มผลิตภัณฑ์ โซดาไฟ ขยายตัวร้อยละ 45.68 และคลอรีน ขยายตัวร้อยละ 47.85
สำหรับกลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลาย ดัชนีการส่งสินค้าหดตัว ร้อยละ 1.67 หดในหลาย ๆ กลุ่มผลิตภัณฑ์ เช่น น้ำยาล้างจาน หดตัวร้อยละ 32.10 และยาสระผม หดตัวร้อยละ 22.06 เป็นต้น
การส่งออก เดือนกรกฎาคม 2564 มีมูลค่าการส่งออกรวม 849.82 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 24.72 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐานมีมูลค่า การส่งออก 509.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 40.60 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับการส่งออกเคมีภัณฑ์ขั้นปลาย มีมูลค่าการส่งออก 340.45 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 6.69 ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกขยายตัว เช่น ปุ๋ยเคมี ขยายตัวร้อยละ 59.45 เคมีภัณฑ์อินทรีย์ ขยายตัวร้อยละ 49.68 และเคมีภัณฑ์อนินทรีย์ ขยายตัวร้อยละ 37.82 การส่งออกขยายตัวในหลาย ๆ ตลาด เช่น จีน ญี่ปุ่น เวียดนาม และอินเดีย
การนำเข้า เดือนกรกฎาคม 2564 มีมูลค่า การนำเข้ารวม 1,708.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 60.55 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐานมีมูลค่าการนำเข้า 1,167.47 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 81.87 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนเคมีภัณฑ์ขั้นปลายมีมูลค่าการนำเข้า 541.07 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 27.80 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ เดือนสิงหาคม 2564 คาดการณ์ว่าการผลิต และการส่งออกขยายตัว ซึ่งยังคงต้องติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์ราคาน้ำมันมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อราคาต้นทุนวัตถุดิบ ทำให้สินค้ามีราคาต้นทุนที่สูงขึ้น ตามไปด้วย 7. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ดัชนีผลผลิตการผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เดือนกรกฎาคม ปี 2564 อยู่ที่ระดับ 121.38 หรือขยายตัวร้อยละ 9.04 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวร้อยละ 4.18 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็น ปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน ได้แก่ Propylene และ Benzene ขยายตัวร้อยละ 36.22 และ 12.90 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และปิโตรเคมีขั้นปลาย ได้แก่ PE resin และ PP ขยายตัวร้อยละ 11.89 และ 7.62 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ดัชนีการสyงสินคญาดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 115.61 ขยายตัวร้อยละ 9.04 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน และหดตัวร้อยละ 0.32 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็นปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน ได้แก่ Ethylene และ Benzene ขยายตัวร้อยละ 42.31 และ 11.51 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน และปิโตรเคมีขั้นปลาย ได้แก่ PP และ PS resin ขยายตัวร้อยละ 18.16 และ 12.95 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การสงออกการส่งออกเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีมูลค่า 1,214.21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 64.55 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัว ร้อยละ 3.28 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งเป็นการขยายตัว ในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน เช่น Terephthalic Acid และ Propylene เป็นต้น ร้อยละ 89.75 และขยายตัวในกลุ่ม ปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น PP resin และ PE resin เป็นต้น ขยายตัวร้อยละ 58.92
การนำเข้า การนำเข้าเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีมูลค่า 625.53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือขยายตัวร้อยละ 94.50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และขยายตัวร้อยละ 0.63 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ซึ่งขยายตัวในกลุ่ม ปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน เช่น Styrene เป็นต้น ร้อยละ 177.28 และขยายตัวในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น PE resin และ PP resin เป็นต้น ขยายตัวร้อยละ 78.02 ส่วนหนึ่งมาจากระดับราคาที่เริ่มมีทิศทางเพิ่มขึ้นตามระดับราคาน้ำมันดิบ
คาดการณ์แนวโน้ม เดือนสิงหาคม ปี 2564 คาดว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมจะขยายตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการกลับมาผลิตเพิ่มขึ้นในหลายผลิตภัณฑ์ ประกอบกับการเพิ่มขึ้นของระดับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก การฟื้นตัวของเศรษฐกิจหลังสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ทำให้การผลิตและส่งออกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามไปด้วย 8. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนกรกฎาคม 2564 มีค่า 93.1 ขยายตัวร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามการปรับฟื้นตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อพิจารณาตามผลิตภัณฑ์หลัก คือ ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน พบว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมกลุ่มเหล็กทรงยาว มีค่า 82.2 หดตัวร้อยละ 14.0 ผลิตภัณฑ์ที่การผลิตหดตัวมาก ได้แก่ เหล็ก เส้นกลม หดตัวร้อยละ 61.4 รองลงมาคือ เหล็กเส้นข้ออ้อย และเหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรีดเย็น หดตัวร้อยละ 40.4 และ 13.7 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็ก ทรงแบน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมมีค่า 109.3 ขยายตัว ร้อยละ 45.6 ผลิตภัณฑ์ที่การผลิตขยายตัว ได้แก่ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก ขยายตัวร้อยละ 161.9 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นรีดเย็น ขยายตัวร้อยละ 99.7 และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ขยายตัวร้อยละ 79.4
การบริโภคในประเทศ ในเดือนกรกฎาคม 2564 มีปริมาณการบริโภค 1.5 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 5.1 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กทรงยาว มีปริมาณการบริโภค 0.5 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 24.0 จากการบริโภคเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรีดร้อนที่หดตัว ร้อยละ 30.3 และ เหล็กลวดหดตัวร้อยละ 19.5 สำหรับกลุ่มเหล็กทรงแบน มีปริมาณการบริโภค 1.0 ล้านตัน ขยายตัว ร้อยละ 7.0 จากการบริโภคเหล็กแผ่นบางรีดเย็นที่ขยายตัว
ร้อยละ 75.6 รองลงมาคือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ขยายตัวร้อยละ 22.7 และเหล็กแผ่นเคลือบ ขยายตัวร้อยละ 3.4
การนำเข้า ในเดือนกรกฎาคม 2564 มีปริมาณ การนำเข้า 1.1 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 5.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเหล็กทรงยาว มีปริมาณการนำเข้า 0.2 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 0.6 จากการนำเข้า เหล็กโครงสร้างรีดร้อนประเภท Carbon steel ที่การนำเข้าหดตัวร้อยละ 54.9 รองลงมาคือ เหล็กลวด ประเภท Alloy steel และ Carbon steel หดตัวร้อยละ 27.7 และ 22.7 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน มีปริมาณนำเข้า 0.9 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 7.2 เหล็กทรงแบนที่การนำเข้าขยายตัว เช่น เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ประเภท Carbon steel P&O ขยายตัวร้อยละ 332.6 (นำเข้าจากญี่ปุ่น จีน และเกาหลี มากที่สุด) รองลงมาคือ เหล็กแผ่นหนารีดร้อน ประเภท Alloy steel ขยายตัวร้อยละ 157.3 และ เหล็กแผ่นบางรีดเย็นประเภท Alloy steel ขยายตัว ร้อยละ 97.4
"แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนสิงหาคม 2564 คาดการณ์ว่า การผลิตทรงตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ราคาเหล็กและวัตถุดิบที่สูงส่งผลต่อต้นทุนของผู้ผลิตและผู้บริโภคที่สูงขึ้น ทั้งนี้ ประเด็นสำคัญที่ควรติดตาม เช่น ราคาสินค้าเหล็กต่างประเทศสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งประเด็นดังกล่าว จะส่งผลต่อปริมาณการผลิตและการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กในประเทศ"
เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ขยายตัว ร้อยละ 18.45 27.06 และ 8.47 (%YoY) เพื่อรองรับการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสถานการณ์การฟื้นตัว หลังอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การระบาด เริ่มคลี่คลายในประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และจีน ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ กลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น ประกอบกับฐานที่ต่ำในปีก่อน หากเปรียบเทียบกับปี 2562 (ก่อนการระบาดโควิด-19) การผลิตเส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ยังคงหดตัว ร้อยละ 15.22 31.24 และ 31.05 การจำหน่ายในประเทศ
เส้นใยสิ่งทอ และผ้าผืน ขยายตัว ร้อยละ 18.52 และ 20.02 (%YoY) จากฐานที่ต่ำในปีก่อนที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดฯ ประกอบกับความต้องการวัตถุดิบเพื่อการส่งออกกลับมาขยายตัวในหลายประเทศที่การระบาดคลายตัว เช่น จีน สหรัฐอเมริกา อังกฤษ และยุโรป ในขณะที่เสื้อผ้าสำเร็จรูป หดตัว ร้อยละ 1.95 เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคในประเทศชะลอตัว การส่งออก
เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืนและเสื้อผ้าสำเร็จรูป ฟื้นตัวตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน โดยมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 54.73 39.64 และ 13.28 (%YoY) ตามลำดับ เนื่องจากสถานการณ์การระบาดเริ่มคลี่คลายในประเทศคู่ค้าสำคัญ หลังอัตราการฉีดวัคซีนอยู่ในระดับสูง ทำให้การดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ภาวะปกติมากขึ้น การส่งออกจึงเพิ่มขึ้น โดยกลุ่มเส้นใย สิ่งทอเพิ่มขึ้น ร้อยละ 47.67 ในตลาดสหรัฐอเมริกา ปากีสถาน อินโดนีเซีย และจีน กลุ่มผ้าผืนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 16.53 ในตลาดเวียดนาม บังกลาเทศ กัมพูชา และสหรัฐอเมริกา และกลุ่มเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.75 ในตลาดเบลเยียม สหราชอาณาจักร ฮ่องกง และเยอรมนี
คาดการณ์ภาวะอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม 2564
คาดว่า ภาวะอุตสาหกรรมสิ่งทอขยายตัวต่อเนื่องด้วยฐานที่ต่ำ ในปีก่อน ประกอบกับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่มีอย่างต่อเนื่องตลอดโซ่อุปทาน ในขณะที่อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่มน่าจะชะลอตัวตามกำลังซื้อในประเทศลดลง จากการระบาดของโรคโควิด-19 ที่รุนแรงขึ้น และได้รับผลกระทบจากปัญหาการระบาดของคลัสเตอร์โรงงานกลุ่มสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มและโซ่อุปทาน ที่มีการปรับโยกไลน์การผลิตและขอเลื่อนการส่งมอบบางส่วน แต่มีสัดส่วนไม่มากนักเมื่อเทียบกับตลาดรวม จึงอาจจะกระทบต่อภาพรวมการผลิตและการส่งออกเล็กน้อย ในขณะที่ความต้องการเครื่องนุ่งห่มในต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญที่เศรษฐกิจฟื้นตัว เช่น จีน สหรัฐอเมริกา และยุโรป 10. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
การผลิตปูนซีเมนต์รวม ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 7.13 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 0.91 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.26 (%YoY) การจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมในประเทศ ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีปริมาณการจำหน่าย 3.29 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 8.05 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 5.83 (%YoY) เป็นผลจากภาครัฐประกาศใช้มาตรการ กึ่งล็อกดาวน์ให้งดการก่อสร้างในพื้นที่สีแดงเข้ม
การส่งออกปูนซีเมนต์รวม ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 0.59 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 24.59 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 46.75 (%YoY) เป็นผลจากการปรับลดคำสั่งซื้อจากตลาดฟิลิปปินส์ เมียนมา บังคลาเทศ และกัมพูชา โดยลดลง ร้อยละ 49.99 37.47 29.89 และ 24.63
คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ในภาพรวมเดือนสิงหาคม ปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าอาจจะขยายตัวได้เล็กน้อย
การผลิตซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 3.65 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 6.25 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.72 (%YoY)
การจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศ (ไม่รวมปูนเม็ด)เดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีปริมาณการจำหน่าย 3.27 ล้านตัน ลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 8.08 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 6.17 (%YoY)
การส่งออกซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนกรกฎาคม ปี 2564 มีจำนวน 0.32 ล้านตัน ปรับตัวลดลงจากเดือนมิถุนายน ปี 2564 ร้อยละ 18.01 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.80 (%YoY) เป็นผลจากการปรับลดคำสั่งซื้อจากตลาดฟิลิปปินส์ เมียนมา และกัมพูชา โดยลดลง ร้อยละ 63.62 37.52 และ 24.61
คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนสิงหาคม ปี 2564 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดว่าอาจจะขยายตัวได้เล็กน้อย
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม