สศอ. ชู ?ไทย? ฮับอุตฯไบโอรีไฟเนอรี่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย
เพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร รับนโยบาย BCG Model
สานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี่ (Biorefinery) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ สอดคล้องกับ BCG Model ของรัฐบาล สร้างโอกาสลงทุนผู้ประกอบการไทย รับความต้องการของตลาดโลกที่มีแนวโน้ม แตะ 1.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ในอีก 10 ปีข้างหน้า
นายทองชัย ชวลิตพิเชฐ ผู้อานวยการสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เปิดเผยว่า สศอ. ได้ดาเนินโครงการศึกษาแนวทางการพัฒนาอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี่ (Biorefinery) เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมการเกษตรของไทย ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวมทั้ง 3 มิติ คือ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และ เศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) หรือ BCG Model ที่ภาครัฐให้การส่งเสริมสนับสนุนและมุ่งหน้าขับเคลื่อนเพื่อนาประเทศไทยไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการปรับโครงสร้างและรูปแบบการผลิตของภาคอุตสาหกรรมที่ใช้ผลผลิตจากภาคการเกษตรเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในการผลิต โดยเฉพาะพืชที่มีความสาคัญต่อภาคการเกษตรและความเป็นอยู่ของเกษตรกรไทย เช่น อ้อย มันสาปะหลัง และปาล์มน้ามัน ซึ่งจะต้องสร้างให้เกิดความเชื่อมโยงของกระบวนการผลิตที่จาเป็นต่อการเพิ่มผลตอบแทนทางเศรษฐศาสตร์ในระยะยาว เข้าด้วยกันทั้งหมด ตั้งแต่อุตสาหกรรมต้นน้า กลางน้า และปลายน้า ภายใต้แนวคิดของระบบไบโอรีไฟเนอรี่ (Biorefinery) ร่วมกับการหมุนเวียนการใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างคุ้มค่า ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะก่อให้เกิดระบบเศรษฐกิจฐานชีวภาพ (Bioeconomy) และระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular economy) ทั้งนี้แนวทางการพัฒนาดังกล่าวจะสามารถช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศจากอุตสาหกรรมแปรรูปผลผลิตทางเกษตรแบบดั้งเดิมไปสู่อุตสาหกรรมแปรรูปและผลิตผลิตภัณฑ์ฐานชีวภาพที่มีมูลค่าสูง อันจะช่วยรักษาเสถียรภาพด้านราคาของสินค้าเกษตรภายในประเทศ เพิ่มรายได้และยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับเกษตรกร ลดความเหลื่อมล้าทางเศรษฐกิจของสังคมไทย ลดปัญหามลพิษและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างมูลค่าเพิ่มและขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรม ของประเทศ
ผลการศึกษาโครงการพบว่าผลิตภัณฑ์ชีวภาพเป้าหมายที่ประเทศไทยมีศักยภาพสูงที่สุดและควรที่จะพัฒนาเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี่ ได้แก่ 1) กรดอะมิโน ที่ใช้เป็นอาหารเสริมประเภทต่าง ๆ เช่น ทริโอนีน ทริพโทฟาน และไลซีน จากพืชที่ให้แป้งและน้าตาลอย่างอ้อยและมันสาปะหลัง และ 2) น้ามันหล่อลื่นชีวภาพ (Biolubricant) จากพืชที่ให้น้ามันอย่างปาล์มน้ามัน นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ที่มีศักยภาพในระดับรองลงมา ได้แก่ น้ามันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ (BioTransformer oil) เมทิลเอสเทอร์ซัลโฟเนต (MES) และผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงชีวภาพอย่าง Bio Hydrogenated Diesel หรือ Green Diesel ซึ่งผลิตภัณฑ์ดังกล่าวมีความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมสูง มีแนวโน้มความต้องการและการเติบโตในตลาดโลกสูง รวมถึงมีราคาต่อหน่วยสูง ซึ่งถือได้ว่าเป็นโอกาสของภาครัฐและผู้ประกอบการไทยที่จะส่งเสริมสนับสนุนการลงทุนหรือเอื้อให้เกิดการร่วมทุน เพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ดังกล่าวและ ขยายผลในเชิงพาณิชย์
สาหรับมูลค่าผลิตภัณฑ์ไบโอรีไฟเนอรี่ในตลาดโลก คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 9.41 ต่อปี ในช่วงปี 2561 - 2573 โดยในปี 2564 นั้น ผลิตภัณฑ์ไบโอรีไฟเนอรี่มี
มูลค่า 670,840 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และในปี 2573 คาดว่าผลิตภัณฑ์ไบโอรีไฟเนอรี่จะมีมูลค่าสูงถึง 1,734,510
ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งสอดคล้องกับการเติบโตของมูลค่าตลาดเทคโนโลยีการผลิตสาหรับอุตสาหกรรมไบโอรีไฟเนอรี่
ที่คาดว่าจะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 10.43 ต่อปี ในช่วงดังกล่าว
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม