แท็ก
อุตสาหกรรม
สรุปประเด็นสำคัญ
ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนธันวาคม 2550
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) = 186.50 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (183.76) ร้อยละ 1.5 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.29) ร้อยละ 14.2
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ การผลิตเครื่องจักรสำนักงานเครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) การผลิตน้ำตาล การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์(เบียร์) การผลิตผ้าและสิ่งของที่ได้จากการถักนิตติ้งและโครเชท์
- อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย = 65.99 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (67.99) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (64.16)
ประเด็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนมกราคม 2551
- อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
- การผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในประเทศปรับเปลี่ยนการผลิต โดยเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น สอดคล้องกับความต้องการและตรงตามลักษณะการใช้งานของแต่ละผลิตภัณฑ์
- มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น เช่น Technical และ Functional Textile โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน
- นอกจากนี้การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะขยายตัวต่อเนื่องไปยังตลาดสหภาพยุโรป เนื่องจากความต้องการสินค้าคุณภาพสูงที่ต้องใช้ฝีมือยังไม่ลดลง ขณะที่โรงงานในไทยก็มีขีดความสามารถที่จะตอบสนองได้
- อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
- การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในเดือนมกราคม 2551 และเดือนกุมภาพันธ์ 2551 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง
- แต่ปัจจัยเสี่ยงในด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
- สำหรับการส่งออกคาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลง แต่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนและเอเชียใต้รวมทั้งในตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรปละตินอเมริกา และแอฟริกายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
- อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ภาวะอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเดือนมกราคม 2551 จะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เพียงร้อยละ 3 เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นของสินค้าหลักที่ส่งไปยังสหภาพยุโรป เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เป็นต้น
- อย่างไรก็ตาม สินค้าบางชนิด เช่น เครื่องรับโทรทัศน์สี ปรับตัวลดลง เนื่องจากสินค้าดังกล่าวไทยส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลัก ประกอบกับการถูกตัดจีเอสพีจนถึงเดือนมิ.ย.51 ทำให้คำสั่งซื้อในตลาดนี้ลดลง
ดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4 ปี 2550
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 184.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (174.7) ร้อยละ 5.3 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (163.1) ร้อยละ 12.8
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ ลิกเคอและมอลต์ (เบียร์) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น
ปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.1 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรมโดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 67.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (66.9) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (65.5)
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชี และเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive)อุตสาหกรรมการแปรรูปผลไม้และผัก เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ยกเว้นปุ๋ยและสารประกอบไนโตรเจน เป็นต้น
ปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 66.1 ลดลงจากปี 2549 (67.7) โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทออุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(มูลค่าเพิ่ม)
พ.ย. 50 = 183.76
ธ.ค. 50 = 186.50
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive)
- การผลิตน้ำตาล
- การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
อัตราการใช้กำลังการผลิต
พ.ย. 50 = 67.99
ธ.ค. 50 = 65.99
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่
- การผลิตยานยนต์
- การจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ
- การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก
1.อุตสาหกรรมอาหาร
ภาวะการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหารเดือนมกราคม 2551 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนธันวาคม สำหรับการจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากระดับราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น
1. การผลิต
ภาวะการผลิตโดยรวม (ไม่รวมน้ำตาล) ชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 0.1 และ 4.2 แบ่งเป็น
กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดส่งออกเป็นหลัก เช่น ปลาทูน่ากระป๋องมีปริมาณการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อนประมาณร้อยละ 14.0 จากค่าเงินบาทแข็งค่าและปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ
กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดภายในประเทศ เช่น น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มมีปริมาณการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 37.6 และ 11.8 เนื่องจากผลผลิตลดลงและความต้องการใช้เพิ่มขึ้นก่อนที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้น
สำหรับสินค้าน้ำตาลในช่วงเปิดฤดูกาลหีบอ้อยมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.1 ตามปริมาณวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ สินค้าอาหารและเกษตร มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.3 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นจากปัจจัยความชัดเจนทางการเมือง ประกอบกับข่าวการปรับราคาสินค้า ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการจับจ่ายสินค้าอาหารเพิ่มขึ้นก่อนที่จะปรับราคาสูงขึ้น
2) ตลาดต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 19.2 แต่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.2 เนื่องจากเป็นช่วงที่ปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น สับปะรดกระป๋อง ปลาทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูปเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 52.6 51.6 และ 41.5 อย่างไรก็ตามผลจากการแข็งค่าของเงินบาทและมาตรการกีดกันทางการค้า ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอื่นๆ ของไทย เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 9.0
3. แนวโน้ม
คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศจะมีแนวโน้มชะลอตัวจากแนวโน้มราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น
2.อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
..สนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในประเทศปรับเปลี่ยนการผลิต โดยเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น เช่น Technical และ Funtional Textile ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดอาเซียน...
1. การผลิต
การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯ เดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.1 และ 6.7 ตามลำดับ โดยเฉพาะเส้นใยประดิษฐ์ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดอาเซียนมาก การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถักเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าทอปรับตัวลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลกระทบจากค่าเงินบาท และปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวของตลาดส่งออกหลัก(สหรัฐอเมริกา) ยังส่งผลต่อเนื่องต่อเครื่องนุ่งห่มไทย
2. การตลาด
การจำหน่ายในประเทศ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอเดือนธันวาคม 2550 ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ที่ปรับลดลงในตลาดส่งออกหลัก ได้แก่สหรัฐอเมริกา อาเซียน และญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 7.0, 9.6 และ 5.3 ตามลำดับ ยกเว้นเพียงตลาดสหภาพยุโรป ที่ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
3. แนวโน้ม
คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในประเทศปรับเปลี่ยนการผลิต โดยเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นสอดคล้องกับความต้องการและตรงตามลักษณะการใช้งานของแต่ละผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น เช่นTechnical และ Functional Textile โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนทั้งในกลุ่ม Mobitech, Indutech และ Sportech และยังครอบคลุมตามลักษณะงานที่ใช้ใน 12 ประเภทอุตสาหกรรม นอกจากนี้การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะขยายตัวต่อเนื่องไปยังตลาดสหภาพยุโรป เนื่องจากความต้องการสินค้าคุณภาพสูงที่ต้องใช้ฝีมือยังไม่ลดลง ขณะที่โรงงานในไทยก็มีขีดความสามารถที่จะตอบสนองได้
3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
ประเทศเวียดนามมีการบริโภคเหล็กสำเร็จรูปโดยรวมในปี 2550 ขยายตัวขึ้นถึงร้อยละ 43 เป็นผลมาจากความต้องการในประเทศที่ขยายตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากต่างชาติได้เข้ามาลงทุนในประเทศ ประกอบกับการขยายตัวของโครงการก่อสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศ
1.การผลิต
ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนธันวาคม 2550 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ลดลงร้อยละ 5.83 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 139.40 เมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวมีการผลิตที่ลดลงร้อยละ 8.88 โดยผลิตภัณฑ์ที่ลดลงมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ลวดเหล็ก เหล็กลวด และลวดเหล็กแรงดึงสูง ลดลงมากที่สุด ร้อยละ 22.85 9.48 และ 8.07 ตามลำดับเนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศที่ลดลง ขณะที่ราคาวัตถุดิบคือเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ตปรับตัวสูงขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการปรับภาษีส่งออกของประเทศจีนประกอบกับความต้องการใช้ในส่วนของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ขยายตัวขึ้นจากประเทศเวียดนาม บราซิลรัสเซีย อินเดีย ฯลฯ ส่งผลให้ปริมาณของผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปในตลาดโลกลดลงจึงเป็นเหตุให้ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อผู้ประกอบการในไทยทำให้ไม่กล้าสต๊อกวัตถุดิบไว้ในปริมาณมาก สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนมีการผลิตที่ลดลงร้อยละ 2.72 โดยเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีลดลงมากที่สุด ร้อยละ 16.59 เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน ลดลง ร้อยละ 16.07 เนื่องจากมีผู้ผลิตโรงงานหนึ่งได้ปรับลดการผลิตลงหลังจากที่เพิ่มการผลิตเมื่อเดือนที่แล้ว ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.98 โดยเหล็กทรงยาว ได้แก่ เหล็กลวดและลวดเหล็ก มีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 51.20 และ 32.68 สำหรับเหล็กทรงแบนมีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 12 โดยเหล็กแผ่นรีดเย็น เพิ่มขึ้น ร้อยละ 56.92 และเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 40.63
3. แนวโน้ม
สถานการณ์เหล็กในเดือน ม.ค.2551 คาดว่ายังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในส่วนของการผลิตเหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่ายังคงทรงตัวเนื่องจากภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ยังชะลอตัวอยู่ ขณะที่เหล็กทรงแบน คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากความต้องการของตลาดโลกที่ยังคงมีอยู่จึงทำให้มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศยังคงทรงตัวอยู่
รถยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนธันวาคม 2550 การผลิตมีการขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 อันเนื่องมาจากการส่งออก แต่การจำหน่ายในประเทศชะลอตัว โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนธันวาคม ดังนี้
- การผลิตรถยนต์ จำนวน 105,024 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการผลิต 91,751 คัน ร้อยละ 14.47 และมีปริมาณการผลิตรถยนต์ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 16.03
- การจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 64,346 คัน ลดลงจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการจำหน่าย 84,521 คัน ร้อยละ 23.87 โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็ก แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 11.48
- การส่งออกรถยนต์ จำนวน 68,313 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการส่งออก 54,896 คัน ร้อยละ 24.44 โดยเป็นการส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดในภูมิภาคเอเชียมากขึ้นโดยเฉพาะรถยนต์ PPV แต่ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 2.11
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมกราคม 2551 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2551 สำหรับการจำหน่ายในเดือนมกราคมประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 45 และส่งออกร้อยละ 55
รถจักรยานยนต์
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนธันวาคม 2550 ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 อันเนื่องมาจากการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ภายในประเทศที่ยังชะลอตัว อย่างไรก็ดี การส่งออกรถจักรยานยนต์ยังสามารถขยายตัวได้ โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนธันวาคม ดังนี้
- การผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 133,039 คัน ลดลงจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการผลิต 152,582 คัน ร้อยละ 12.81 และลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 4.29
- การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จำนวน 103,218 คัน ลดลงจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการจำหน่าย 163,197 คัน ร้อยละ 36.75 และลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 20.36
- การส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU) มีจำนวน 9,747 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการส่งออก 4,734 คันร้อยละ 105.89 เนื่องจากในช่วงปีที่แล้วได้มีการชะลอการส่งออกรถจักรยานยนต์รุ่นเดิม เพื่อเตรียมการส่งออกรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ซึ่งมีคุณภาพที่สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ใหม่ของยุโรป และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 37.83 ตลาดส่งออกที่มีอัตราการขยายสูง ได้แก่ แคนาดา, เวียดนาม และกรีซ
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนมกราคม 2551 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2550
5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
“การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศชะลอตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงซบเซา แต่แนวโน้มความต้องการปูนซีเมนต์ภายในประเทศในปี 2551คาดว่ายังมีโอกาสปรับตัวดีตามความเชื่อมั่นของการบริโภคและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง แต่ปัจจัยเสี่ยงในด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์”
1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ
เดือนธันวาคม 2550 ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศชะลอตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ลดลงร้อยละ 2.10 และ 9.57 ตามลำดับโดยลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 12.03 และ 20.00 ตามลำดับ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ในภาวะซบเซา ตามการชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
2.การส่งออก
มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์เดือนธันวาคม 2550 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ลดลงร้อยละ 13.42 เนื่องจากผลของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.13
3.แนวโน้ม
การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในเดือนมกราคม 2551 และเดือนกุมภาพันธ์ 2551 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวขึ้นหลังการเลือกตั้งแต่ปัจจัยเสี่ยงในด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังเป็นตัวแปร สำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์สำหรับการส่งออกคาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลง แต่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนและเอเชียใต้รวมทั้งในตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรปละตินอเมริกา และแอฟริกายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 34.39 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.65 โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ HDD, Other IC และ Semiconductor devices Transistors ตามลำดับ
- มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนธันวาคม 2550 มีมูลค่าส่งออก 4,094.48 ล้านเหรียญสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 0.04 ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.48 เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์และ IC เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.04และ 11.35 ตามลำดับ
ตารางที่1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลักที่มีมูลค่าการส่งออกมาก เป็นอันดับต้นๆ ในเดือน ธ.ค. 2550
เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า CPM CPY
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 1,531.86 -2.93 17.04
IC 688.00 8.43 11.35
เครื่องปรับอากาศ 183.82 1.90 22.16
เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า 141.41 3.93 15.47
รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 4,094.48 0.04 17.48
1.การผลิต
ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 354.98 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.39 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.39 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.65 โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ HDD, Other IC และSemiconductor devices Transistors ตามลำดับ
สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยมีดัชนีอยู่ที่ระดับ 512.88 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 8.52 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 39.65เป็นผลจากการเพิ่ม HDD และ Other IC เพิ่มขึ้น 44.52% และ 33.37% เนื่องจากภาวะความต้องการของตลาดโลกของสินค้าเทคโนโลยีค่อนข้างสูง แต่ภาวะการแข่งขันของชิ้นส่วนค่อนข้างสูงเช่นกัน จึงทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปควบคู่กันไปด้วย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย และผสมผสานฟังก์ชันต่างๆในเครื่องเดียวกันทำให้ราคาสินค้าสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น
2. การตลาด
มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนธันวาคม 2550 มีมูลค่าส่งออก 4,094.48 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 0.04 ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.48 ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมูลค่าการส่งออกที่สูงที่สุดได้แก่ เครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย โรงงาน มีมูลค่า 187.31 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมา ได้แก่ เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับตัดต่อป้องกันวงจรไฟฟ้า รวมถึงแป้นและแผงควบคุม มีมูลค่าส่งออก 141.41 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เดือนธันวาคม 2550 มีมูลค่า 2,681.42 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนร้อยละ 0.55 ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.83 เนื่องจากมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์และ IC ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,531.86 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 688.00 ล้านเหรียญสหรัฐ
3. แนวโน้ม
ภาวะอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการว่าจะปรับเพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2551 อันเนื่องมาจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประมาณการจากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.16 จากการปรับเพิ่มขึ้นของ HDD ร้อยละ 25.22 แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักของชิ้นส่วนนี้
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในเดือนธันวาคม 2550 มีค่า 186.50 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (183.76) ร้อยละ 1.5 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.29) ร้อยละ 14.2
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ(Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ (เบียร์)อุตสาหกรรมการผลิตผ้าและสิ่งของที่ได้จากการถักนิตติ้งและโครเชท์ เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ(Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล เป็นต้น
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนธันวาคม 2550 มีค่า 65.99 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (67.99) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (64.16)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้าเป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าขั้นมูลฐาน อุตสาหกรรม การผลิตเม็ดพลาสติก เป็นต้น
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในเดือนธันวาคม 2550 มีค่า 186.50 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (183.76) ร้อยละ 1.5 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.29) ร้อยละ 14.2
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ (เบียร์)อุตสาหกรรมการผลิตผ้าและสิ่งของที่ได้จากการถักนิตติ้งและโครเชท์ เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล เป็นต้น
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนธันวาคม 2550 มีค่า 65.99 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (67.99) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (64.16)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก อุตสาหกรรมการผลิต ผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้า เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าขั้นมูลฐาน อุตสาหกรรม การผลิตเม็ดพลาสติก เป็นต้น
สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม 2550
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 277 ราย เพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 340 รายหรือน้อยกว่าร้อยละ-18.53 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุน มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 9,391.94 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งมีการลงทุน 26,422.95 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -64.46 สำหรับการจ้างงานรวมมีจำนวน 6,859 คน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 14,032 คน หรือลดลงร้อยละ-51.12
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 333 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ -16.82 และมีการจ้างงานลดลงจากเดือนธันวาคม 2549 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 8,090 คน ร้อยละ -15.22 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการลงทุน 7,993.25 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.50
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนธันวาคม 2550 คืออุตสาหกรรมขุดหรือลอก กรวด ทรายหรือดิน จำนวน 35 ราย รองลงมาคืออุตสาหกรรมทำเครื่องเรือนจากไม้ ยาง อโลหะอื่น ซึ่งมิได้ทำจากพลาสติกอัดเข้ารูปจำนวน 25 ราย
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนธันวาคม 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิตเอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งมิได้ผลิตจากกากซัลไฟต์ในการทำเยื่อกระดาษมีเงินทุน 2,083.70 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำอาหารผสมหรืออาหารสำเร็จรูปสำหรับเลี้ยงสัตว์ มีเงินทุน 667.30 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนธันวาคม 2550 คืออุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์คนงาน 988 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำชิ้นส่วนพิเศษสำหรับรถยนต์หรือรถพ่วง คนงาน 482 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 87 ราย น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 194 ราย คิดเป็นร้อยละ -55.15 ในส่วนของเงินทุนมีจำนวน 2,029.97 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 3,025.61 ล้านบาท สำหรับการเลิกจ้างงานมีจำนวน 4,707 คน มากกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งเลิกจ้างงานจำนวน 4,008 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการน้อยกว่าเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 143 รายคิดเป็นร้อยละ -39.16 ในส่วนการเลิกจ้างงานมากกว่าเดือนธันวาคม 2549 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 3,909 คน แต่ในส่วนของเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนธันวาคม 2549 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 2,217.11 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนธันวาคม 2550 คือ อุตสาหกรรมทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต คอนกรีตผสม ผลิตภัณฑ์ยิมซั่ม ปูนปลาสเตอร์จำนวน 10 ราย รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องเรือนเครื่องประดับจากพลาสติกและอุตสาหกรรมซ่อมยานที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หรือส่วนประกอบ ทั้ง 2 อุตสาหกรรมเท่ากันจำนวน 6 ราย
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนธันวาคม 2550 คืออุตสาหกรรมถลุง หลอม หล่อ รีด ดึง ผลิตเหล็ก เหล็กกล้าในขั้นต้นเงินทุน 935.60 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์เงินทุน 259.21 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนธันวาคม 2550 คือ อุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์ คนงาน 1,928 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตรองเท้าหรือชิ้นส่วนรองเท้า ซึ่งมิได้ทำจากไม้ ยางอบแข็ง พลาสติก คนงาน 1,060 คน
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น 101 โครงการ น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่มีจำนวน 115 โครงการ ร้อยละ -12.17 และมีเงินลงทุน 78,300 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่มีเงินลงทุน 83,100 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ -5.78
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท.น้อยกว่าเดือนธันวาคม 2549 ที่มีจำนวน 168 โครงการ ร้อยละ -39.88 แต่มีเงินลงทุนมากกว่าเดือนธันวาคม 2549 ที่มีเงินลงทุน 67,700 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 15.66
- การกระจายหุ้นของโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมในช่วงเดือน ม.ค.-ธ.ค.2550
การร่วมทุน จำนวน(โครงการ) มูลค่าเงินลงทุน(ล้านบาท)
1.โครงการคนไทย 100% 452 220,400
2.โครงการต่างชาติ 100% 479 238,000
3.โครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ 411 286,100
- ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในช่วงเดือน ม.ค.-ธ.ค.2550 คือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 191,700 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดเคมี กระดาษ และพลาสติก มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 175,100 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-
ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนธันวาคม 2550
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) = 186.50 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (183.76) ร้อยละ 1.5 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.29) ร้อยละ 14.2
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ การผลิตเครื่องจักรสำนักงานเครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) การผลิตน้ำตาล การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์(เบียร์) การผลิตผ้าและสิ่งของที่ได้จากการถักนิตติ้งและโครเชท์
- อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย = 65.99 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (67.99) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (64.16)
ประเด็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนมกราคม 2551
- อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
- การผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในประเทศปรับเปลี่ยนการผลิต โดยเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น สอดคล้องกับความต้องการและตรงตามลักษณะการใช้งานของแต่ละผลิตภัณฑ์
- มีการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น เช่น Technical และ Functional Textile โดยเฉพาะในตลาดอาเซียน
- นอกจากนี้การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะขยายตัวต่อเนื่องไปยังตลาดสหภาพยุโรป เนื่องจากความต้องการสินค้าคุณภาพสูงที่ต้องใช้ฝีมือยังไม่ลดลง ขณะที่โรงงานในไทยก็มีขีดความสามารถที่จะตอบสนองได้
- อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
- การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในเดือนมกราคม 2551 และเดือนกุมภาพันธ์ 2551 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวขึ้นหลังการเลือกตั้ง
- แต่ปัจจัยเสี่ยงในด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์
- สำหรับการส่งออกคาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลง แต่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนและเอเชียใต้รวมทั้งในตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรปละตินอเมริกา และแอฟริกายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
- อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ภาวะอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าเดือนมกราคม 2551 จะปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย เพียงร้อยละ 3 เนื่องจากการปรับเพิ่มขึ้นของสินค้าหลักที่ส่งไปยังสหภาพยุโรป เช่น เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น เป็นต้น
- อย่างไรก็ตาม สินค้าบางชนิด เช่น เครื่องรับโทรทัศน์สี ปรับตัวลดลง เนื่องจากสินค้าดังกล่าวไทยส่งออกไปยังประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลัก ประกอบกับการถูกตัดจีเอสพีจนถึงเดือนมิ.ย.51 ทำให้คำสั่งซื้อในตลาดนี้ลดลง
ดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 4 ปี 2550
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 184.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (174.7) ร้อยละ 5.3 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (163.1) ร้อยละ 12.8
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ ลิกเคอและมอลต์ (เบียร์) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์เป็นต้น
ปี 2550 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 8.1 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์ และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรมโดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ โดยในไตรมาสที่ 4 ของปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 67.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (66.9) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (65.5)
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชี และเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive)อุตสาหกรรมการแปรรูปผลไม้และผัก เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ยกเว้นปุ๋ยและสารประกอบไนโตรเจน เป็นต้น
ปี 2550 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 66.1 ลดลงจากปี 2549 (67.7) โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทออุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมผลิตเครื่องรับโทรทัศน์ และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง เป็นต้น
สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(มูลค่าเพิ่ม)
พ.ย. 50 = 183.76
ธ.ค. 50 = 186.50
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive)
- การผลิตน้ำตาล
- การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
อัตราการใช้กำลังการผลิต
พ.ย. 50 = 67.99
ธ.ค. 50 = 65.99
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่
- การผลิตยานยนต์
- การจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ
- การผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก
1.อุตสาหกรรมอาหาร
ภาวะการผลิตและการส่งออกของอุตสาหกรรมอาหารเดือนมกราคม 2551 จะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากเดือนธันวาคม สำหรับการจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มชะลอตัวลงจากระดับราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น
1. การผลิต
ภาวะการผลิตโดยรวม (ไม่รวมน้ำตาล) ชะลอตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 0.1 และ 4.2 แบ่งเป็น
กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดส่งออกเป็นหลัก เช่น ปลาทูน่ากระป๋องมีปริมาณการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อนประมาณร้อยละ 14.0 จากค่าเงินบาทแข็งค่าและปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ
กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดภายในประเทศ เช่น น้ำมันถั่วเหลืองและน้ำมันปาล์มมีปริมาณการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 37.6 และ 11.8 เนื่องจากผลผลิตลดลงและความต้องการใช้เพิ่มขึ้นก่อนที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้น
สำหรับสินค้าน้ำตาลในช่วงเปิดฤดูกาลหีบอ้อยมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.1 ตามปริมาณวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ สินค้าอาหารและเกษตร มีปริมาณจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 4.3 เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้นจากปัจจัยความชัดเจนทางการเมือง ประกอบกับข่าวการปรับราคาสินค้า ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการจับจ่ายสินค้าอาหารเพิ่มขึ้นก่อนที่จะปรับราคาสูงขึ้น
2) ตลาดต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 19.2 แต่ชะลอตัวลงจากเดือนก่อนร้อยละ 1.2 เนื่องจากเป็นช่วงที่ปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น สับปะรดกระป๋อง ปลาทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูปเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 52.6 51.6 และ 41.5 อย่างไรก็ตามผลจากการแข็งค่าของเงินบาทและมาตรการกีดกันทางการค้า ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าอื่นๆ ของไทย เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 9.0
3. แนวโน้ม
คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน เป็นผลจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศจะมีแนวโน้มชะลอตัวจากแนวโน้มราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น
2.อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
..สนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในประเทศปรับเปลี่ยนการผลิต โดยเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้น และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น เช่น Technical และ Funtional Textile ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดมากขึ้นโดยเฉพาะในตลาดอาเซียน...
1. การผลิต
การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯ เดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน และเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.1 และ 6.7 ตามลำดับ โดยเฉพาะเส้นใยประดิษฐ์ ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาดอาเซียนมาก การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถักเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.3 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และร้อยละ 15.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน แต่การผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าทอปรับตัวลดลงเล็กน้อยร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและร้อยละ 2.9 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลกระทบจากค่าเงินบาท และปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวของตลาดส่งออกหลัก(สหรัฐอเมริกา) ยังส่งผลต่อเนื่องต่อเครื่องนุ่งห่มไทย
2. การตลาด
การจำหน่ายในประเทศ ผลิตภัณฑ์สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอเดือนธันวาคม 2550 ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนพฤศจิกายน ที่ปรับลดลงในตลาดส่งออกหลัก ได้แก่สหรัฐอเมริกา อาเซียน และญี่ปุ่น ลดลงร้อยละ 7.0, 9.6 และ 5.3 ตามลำดับ ยกเว้นเพียงตลาดสหภาพยุโรป ที่ส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.9 ในเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
3. แนวโน้ม
คาดว่าการผลิตและการส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการภายในประเทศปรับเปลี่ยนการผลิต โดยเน้นการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพสูงขึ้นสอดคล้องกับความต้องการและตรงตามลักษณะการใช้งานของแต่ละผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการใช้เทคโนโลยีการผลิตที่สูงขึ้น เช่นTechnical และ Functional Textile โดยเฉพาะในตลาดอาเซียนทั้งในกลุ่ม Mobitech, Indutech และ Sportech และยังครอบคลุมตามลักษณะงานที่ใช้ใน 12 ประเภทอุตสาหกรรม นอกจากนี้การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปจะขยายตัวต่อเนื่องไปยังตลาดสหภาพยุโรป เนื่องจากความต้องการสินค้าคุณภาพสูงที่ต้องใช้ฝีมือยังไม่ลดลง ขณะที่โรงงานในไทยก็มีขีดความสามารถที่จะตอบสนองได้
3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
ประเทศเวียดนามมีการบริโภคเหล็กสำเร็จรูปโดยรวมในปี 2550 ขยายตัวขึ้นถึงร้อยละ 43 เป็นผลมาจากความต้องการในประเทศที่ขยายตัวขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากต่างชาติได้เข้ามาลงทุนในประเทศ ประกอบกับการขยายตัวของโครงการก่อสร้างพื้นฐานต่างๆ ของประเทศ
1.การผลิต
ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนธันวาคม 2550 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่ลดลงร้อยละ 5.83 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 139.40 เมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ผลิตภัณฑ์เหล็กทรงยาวมีการผลิตที่ลดลงร้อยละ 8.88 โดยผลิตภัณฑ์ที่ลดลงมากที่สุด 3 อันดับแรก คือ ลวดเหล็ก เหล็กลวด และลวดเหล็กแรงดึงสูง ลดลงมากที่สุด ร้อยละ 22.85 9.48 และ 8.07 ตามลำดับเนื่องจากความต้องการใช้ในประเทศที่ลดลง ขณะที่ราคาวัตถุดิบคือเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ตปรับตัวสูงขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากการปรับภาษีส่งออกของประเทศจีนประกอบกับความต้องการใช้ในส่วนของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่ขยายตัวขึ้นจากประเทศเวียดนาม บราซิลรัสเซีย อินเดีย ฯลฯ ส่งผลให้ปริมาณของผลิตภัณฑ์เหล็กกึ่งสำเร็จรูปในตลาดโลกลดลงจึงเป็นเหตุให้ราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อผู้ประกอบการในไทยทำให้ไม่กล้าสต๊อกวัตถุดิบไว้ในปริมาณมาก สำหรับผลิตภัณฑ์เหล็กทรงแบนมีการผลิตที่ลดลงร้อยละ 2.72 โดยเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีลดลงมากที่สุด ร้อยละ 16.59 เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน ลดลง ร้อยละ 16.07 เนื่องจากมีผู้ผลิตโรงงานหนึ่งได้ปรับลดการผลิตลงหลังจากที่เพิ่มการผลิตเมื่อเดือนที่แล้ว ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.98 โดยเหล็กทรงยาว ได้แก่ เหล็กลวดและลวดเหล็ก มีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 51.20 และ 32.68 สำหรับเหล็กทรงแบนมีการผลิตที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 12 โดยเหล็กแผ่นรีดเย็น เพิ่มขึ้น ร้อยละ 56.92 และเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เพิ่มขึ้น ร้อยละ 40.63
3. แนวโน้ม
สถานการณ์เหล็กในเดือน ม.ค.2551 คาดว่ายังคงทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยในส่วนของการผลิตเหล็กทรงยาวคาดการณ์ว่ายังคงทรงตัวเนื่องจากภาวะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศที่ยังชะลอตัวอยู่ ขณะที่เหล็กทรงแบน คาดการณ์ว่าจะขยายตัวขึ้นเล็กน้อยเนื่องจากความต้องการของตลาดโลกที่ยังคงมีอยู่จึงทำให้มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศยังคงทรงตัวอยู่
รถยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนธันวาคม 2550 การผลิตมีการขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 อันเนื่องมาจากการส่งออก แต่การจำหน่ายในประเทศชะลอตัว โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนธันวาคม ดังนี้
- การผลิตรถยนต์ จำนวน 105,024 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการผลิต 91,751 คัน ร้อยละ 14.47 และมีปริมาณการผลิตรถยนต์ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 16.03
- การจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 64,346 คัน ลดลงจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการจำหน่าย 84,521 คัน ร้อยละ 23.87 โดยเฉพาะรถยนต์นั่งขนาดเล็ก แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 11.48
- การส่งออกรถยนต์ จำนวน 68,313 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการส่งออก 54,896 คัน ร้อยละ 24.44 โดยเป็นการส่งออกรถยนต์ไปยังตลาดในภูมิภาคเอเชียมากขึ้นโดยเฉพาะรถยนต์ PPV แต่ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 2.11
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมกราคม 2551 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2551 สำหรับการจำหน่ายในเดือนมกราคมประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 45 และส่งออกร้อยละ 55
รถจักรยานยนต์
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนธันวาคม 2550 ชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2549 อันเนื่องมาจากการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ภายในประเทศที่ยังชะลอตัว อย่างไรก็ดี การส่งออกรถจักรยานยนต์ยังสามารถขยายตัวได้ โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนธันวาคม ดังนี้
- การผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 133,039 คัน ลดลงจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการผลิต 152,582 คัน ร้อยละ 12.81 และลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 4.29
- การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จำนวน 103,218 คัน ลดลงจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการจำหน่าย 163,197 คัน ร้อยละ 36.75 และลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 20.36
- การส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU) มีจำนวน 9,747 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการส่งออก 4,734 คันร้อยละ 105.89 เนื่องจากในช่วงปีที่แล้วได้มีการชะลอการส่งออกรถจักรยานยนต์รุ่นเดิม เพื่อเตรียมการส่งออกรถจักรยานยนต์รุ่นใหม่ซึ่งมีคุณภาพที่สอดคล้องกับมาตรฐานผลิตภัณฑ์ใหม่ของยุโรป และเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ร้อยละ 37.83 ตลาดส่งออกที่มีอัตราการขยายสูง ได้แก่ แคนาดา, เวียดนาม และกรีซ
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนมกราคม 2551 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2550
5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
“การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศชะลอตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยยังคงซบเซา แต่แนวโน้มความต้องการปูนซีเมนต์ภายในประเทศในปี 2551คาดว่ายังมีโอกาสปรับตัวดีตามความเชื่อมั่นของการบริโภคและการลงทุนที่เพิ่มขึ้นหลังจากการเลือกตั้ง แต่ปัจจัยเสี่ยงในด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์”
1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ
เดือนธันวาคม 2550 ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศชะลอตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ลดลงร้อยละ 2.10 และ 9.57 ตามลำดับโดยลดลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 4 และเมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 12.03 และ 20.00 ตามลำดับ เนื่องจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ในภาวะซบเซา ตามการชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนในประเทศ
2.การส่งออก
มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์เดือนธันวาคม 2550 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน ลดลงร้อยละ 13.42 เนื่องจากผลของอัตราแลกเปลี่ยนทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นร้อยละ 21.13
3.แนวโน้ม
การผลิตและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในเดือนมกราคม 2551 และเดือนกุมภาพันธ์ 2551 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูกาลก่อสร้าง ประกอบกับความเชื่อมั่นในการบริโภคและการลงทุนฟื้นตัวขึ้นหลังการเลือกตั้งแต่ปัจจัยเสี่ยงในด้านราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นยังเป็นตัวแปร สำคัญที่จะมีผลต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์สำหรับการส่งออกคาดว่าจะยังขยายตัวได้ดี แม้ว่าความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ในสหรัฐอเมริกาจะชะลอตัวลง แต่ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ของประเทศเพื่อนบ้านในแถบอาเซียนและเอเชียใต้รวมทั้งในตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรปละตินอเมริกา และแอฟริกายังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 34.39 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.65 โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ HDD, Other IC และ Semiconductor devices Transistors ตามลำดับ
- มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนธันวาคม 2550 มีมูลค่าส่งออก 4,094.48 ล้านเหรียญสหรัฐปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 0.04 ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.48 เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์และ IC เพิ่มขึ้นร้อยละ 17.04และ 11.35 ตามลำดับ
ตารางที่1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลักที่มีมูลค่าการส่งออกมาก เป็นอันดับต้นๆ ในเดือน ธ.ค. 2550
เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า CPM CPY
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 1,531.86 -2.93 17.04
IC 688.00 8.43 11.35
เครื่องปรับอากาศ 183.82 1.90 22.16
เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า 141.41 3.93 15.47
รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 4,094.48 0.04 17.48
1.การผลิต
ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนธันวาคม 2550 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 354.98 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.39 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.39 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 39.65 โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ HDD, Other IC และSemiconductor devices Transistors ตามลำดับ
สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยมีดัชนีอยู่ที่ระดับ 512.88 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน ร้อยละ 8.52 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 39.65เป็นผลจากการเพิ่ม HDD และ Other IC เพิ่มขึ้น 44.52% และ 33.37% เนื่องจากภาวะความต้องการของตลาดโลกของสินค้าเทคโนโลยีค่อนข้างสูง แต่ภาวะการแข่งขันของชิ้นส่วนค่อนข้างสูงเช่นกัน จึงทำให้ราคาลดลงอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงไปควบคู่กันไปด้วย สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย และผสมผสานฟังก์ชันต่างๆในเครื่องเดียวกันทำให้ราคาสินค้าสำเร็จรูปปรับตัวสูงขึ้น
2. การตลาด
มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนธันวาคม 2550 มีมูลค่าส่งออก 4,094.48 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 0.04 ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.48 ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีมูลค่าการส่งออกที่สูงที่สุดได้แก่ เครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย โรงงาน มีมูลค่า 187.31 ล้านเหรียญสหรัฐ รองลงมา ได้แก่ เครื่องอุปกรณ์ไฟฟ้า สำหรับตัดต่อป้องกันวงจรไฟฟ้า รวมถึงแป้นและแผงควบคุม มีมูลค่าส่งออก 141.41 ล้านเหรียญสหรัฐ
สำหรับมูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เดือนธันวาคม 2550 มีมูลค่า 2,681.42 ล้านเหรียญสหรัฐ ปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนร้อยละ 0.55 ขณะที่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 15.83 เนื่องจากมูลค่าการส่งออกอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์และ IC ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1,531.86 ล้านเหรียญสหรัฐ และ 688.00 ล้านเหรียญสหรัฐ
3. แนวโน้ม
ภาวะอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการว่าจะปรับเพิ่มขึ้นในเดือนมกราคม 2551 อันเนื่องมาจากสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งประมาณการจากแบบจำลองดัชนีชี้นำภาวะอุตสาหกรรมรายสาขาของสถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ปรับเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.16 จากการปรับเพิ่มขึ้นของ HDD ร้อยละ 25.22 แต่เป็นอัตราการขยายตัวที่ชะลอลงจากภาวะชะลอตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าอย่างสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นตลาดหลักของชิ้นส่วนนี้
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในเดือนธันวาคม 2550 มีค่า 186.50 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (183.76) ร้อยละ 1.5 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.29) ร้อยละ 14.2
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ(Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ (เบียร์)อุตสาหกรรมการผลิตผ้าและสิ่งของที่ได้จากการถักนิตติ้งและโครเชท์ เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ(Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล เป็นต้น
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนธันวาคม 2550 มีค่า 65.99 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (67.99) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (64.16)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้าเป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าขั้นมูลฐาน อุตสาหกรรม การผลิตเม็ดพลาสติก เป็นต้น
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในเดือนธันวาคม 2550 มีค่า 186.50 เพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (183.76) ร้อยละ 1.5 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (163.29) ร้อยละ 14.2
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จาก การกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ (เบียร์)อุตสาหกรรมการผลิตผ้าและสิ่งของที่ได้จากการถักนิตติ้งและโครเชท์ เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล เป็นต้น
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนธันวาคม 2550 มีค่า 65.99 ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 (67.99) แต่เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (64.16)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติก อุตสาหกรรมการผลิต ผลิตภัณฑ์โลหะประดิษฐ์อื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น อุตสาหกรรมการผลิตรองเท้า เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อนได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าขั้นมูลฐาน อุตสาหกรรม การผลิตเม็ดพลาสติก เป็นต้น
สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนธันวาคม 2550
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 277 ราย เพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 340 รายหรือน้อยกว่าร้อยละ-18.53 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุน มียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 9,391.94 ล้านบาท ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งมีการลงทุน 26,422.95 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -64.46 สำหรับการจ้างงานรวมมีจำนวน 6,859 คน ลดลงจากเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 14,032 คน หรือลดลงร้อยละ-51.12
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 333 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ -16.82 และมีการจ้างงานลดลงจากเดือนธันวาคม 2549 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 8,090 คน ร้อยละ -15.22 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุนเพิ่มขึ้นจากเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีการลงทุน 7,993.25 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.50
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนธันวาคม 2550 คืออุตสาหกรรมขุดหรือลอก กรวด ทรายหรือดิน จำนวน 35 ราย รองลงมาคืออุตสาหกรรมทำเครื่องเรือนจากไม้ ยาง อโลหะอื่น ซึ่งมิได้ทำจากพลาสติกอัดเข้ารูปจำนวน 25 ราย
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนธันวาคม 2550 คือ อุตสาหกรรมผลิตเอทิลแอลกอฮอล์ ซึ่งมิได้ผลิตจากกากซัลไฟต์ในการทำเยื่อกระดาษมีเงินทุน 2,083.70 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำอาหารผสมหรืออาหารสำเร็จรูปสำหรับเลี้ยงสัตว์ มีเงินทุน 667.30 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนธันวาคม 2550 คืออุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์คนงาน 988 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำชิ้นส่วนพิเศษสำหรับรถยนต์หรือรถพ่วง คนงาน 482 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 87 ราย น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 194 ราย คิดเป็นร้อยละ -55.15 ในส่วนของเงินทุนมีจำนวน 2,029.97 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 3,025.61 ล้านบาท สำหรับการเลิกจ้างงานมีจำนวน 4,707 คน มากกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ซึ่งเลิกจ้างงานจำนวน 4,008 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการน้อยกว่าเดือนธันวาคม 2549 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 143 รายคิดเป็นร้อยละ -39.16 ในส่วนการเลิกจ้างงานมากกว่าเดือนธันวาคม 2549 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 3,909 คน แต่ในส่วนของเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนธันวาคม 2549 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 2,217.11 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนธันวาคม 2550 คือ อุตสาหกรรมทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต คอนกรีตผสม ผลิตภัณฑ์ยิมซั่ม ปูนปลาสเตอร์จำนวน 10 ราย รองลงมาคือ อุตสาหกรรมทำเครื่องมือเครื่องใช้ เครื่องเรือนเครื่องประดับจากพลาสติกและอุตสาหกรรมซ่อมยานที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หรือส่วนประกอบ ทั้ง 2 อุตสาหกรรมเท่ากันจำนวน 6 ราย
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนธันวาคม 2550 คืออุตสาหกรรมถลุง หลอม หล่อ รีด ดึง ผลิตเหล็ก เหล็กกล้าในขั้นต้นเงินทุน 935.60 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์เงินทุน 259.21 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนธันวาคม 2550 คือ อุตสาหกรรมตัดเย็บเครื่องนุ่งห่ม ผ้าเช็ดหน้า เนกไท ถุงมือ ถุงเท้าจากผ้า หนังสัตว์ คนงาน 1,928 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตรองเท้าหรือชิ้นส่วนรองเท้า ซึ่งมิได้ทำจากไม้ ยางอบแข็ง พลาสติก คนงาน 1,060 คน
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนพฤศจิกายน 2550 มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น 101 โครงการ น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่มีจำนวน 115 โครงการ ร้อยละ -12.17 และมีเงินลงทุน 78,300 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนพฤศจิกายน 2550 ที่มีเงินลงทุน 83,100 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ -5.78
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนธันวาคม 2550 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท.น้อยกว่าเดือนธันวาคม 2549 ที่มีจำนวน 168 โครงการ ร้อยละ -39.88 แต่มีเงินลงทุนมากกว่าเดือนธันวาคม 2549 ที่มีเงินลงทุน 67,700 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 15.66
- การกระจายหุ้นของโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมในช่วงเดือน ม.ค.-ธ.ค.2550
การร่วมทุน จำนวน(โครงการ) มูลค่าเงินลงทุน(ล้านบาท)
1.โครงการคนไทย 100% 452 220,400
2.โครงการต่างชาติ 100% 479 238,000
3.โครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ 411 286,100
- ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในช่วงเดือน ม.ค.-ธ.ค.2550 คือ หมวดบริการ และสาธารณูปโภค มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 191,700 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดเคมี กระดาษ และพลาสติก มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 175,100 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-