1
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
สถานการณ์การผลิตภาคอุตสาหกรรม Indicators 2564 2565 2565 2566 %YoY Year Year พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค.
MPI
5.8
0.4
-
2.3
-
0.5
6.0
14.6
3.0
-
4.3
-
5.3
-
8.5
-
4.8
-
2.4
-
3.9
-
8.7
-
3.1
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมเดือนพฤษภาคม 2566 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) หดตัว ร้อยละ 3.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจัยหลักมาจากภาคการส่งออกที่ยังคงเปราะบาง จากผลกระทบ ของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจในประเทศทยอยปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัวต่อเนื่อง ทำให้ความต้องการสินค้าอุตสาหกรรมในบางกลุ่มเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม
เมื่อพิจารณาข้อมูล MPI ย้อนหลัง 3 เดือน เทียบกับปีก่อน (%YoY) เดือนกุมภาพันธ์ หดตัวร้อยละ 2.4 เดือนมีนาคม หดตัวร้อยละ 3.9 และเดือนเมษายน หดตัวร้อยละ 8.7
สำหรับ 3 เดือนที่ผ่านมา เดือนกุมภาพันธ์ เดือนมีนาคม และเดือนเมษายน 2566 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหรือ MPI เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมา (%MoM) มีอัตราการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ กล่าวคือ ในเดือนกุมภาพันธ์ หดตัวเล็กน้อยร้อยละ 0.1 เดือนมีนาคม ขยายตัวร้อยละ 6.2 และเดือนเมษายน หดตัวร้อยละ 21.3
อุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลให้ MPI เดือนพฤษภาคม 2566 หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ
? เหล็กและเหล็กกล้า หดตัวร้อยละ 26.72 เนื่องจากผู้บริโภคมีการชะลอคำสั่งซื้อ เพื่อดูแนวโน้มทิศทางราคา ประกอบกับผู้ผลิตมีการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง จากความไม่มั่นใจสถานการณ์ตลาด
? Hard Disk Drive (HDD) หดตัวร้อยละ 27.72 ตามการพัฒนาเทคโนโลยีความจุ ทำให้ปริมาณการผลิตน้อยลง แต่ราคาต่อหน่วยสูงขึ้นตามปริมาณความจุ รวมถึงความต้องการใช้ปรับตัวลดลง นอกจากนี้ Solid State Drive (SSD) มีสัดส่วนการใช้ในอุปกรณ์ต่าง ๆ ทดแทน HDD เพิ่มมากขึ้น ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีฐานการผลิต SSD ในประเทศ
? เครื่องนุ่งห่ม หดตัวร้อยละ 31.55 ลดลงจากจากคำสั่งซื้อที่ลดลงของประเทศคู่ค้า เนื่องจากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวส่งผลให้อุตสาหกรรมเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มซบเซาลง รวมถึงปัจจัยเงินเฟ้อ และสงครามรัสเซีย ยูเครน ส่งผลให้ลูกค้าลดคำสั่งซื้อลง รวมถึงความใส่ใจของผู้บริโภคในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ที่มีความยั่งยืนและความตระหนักในการรักษาสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผู้บริโภคมีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมโดยเลือกใช้สินค้าเสื้อผ้ามือสองที่ราคาย่อมเยามากขึ้น
อุตสาหกรรมสำคัญที่ยังขยายตัวในเดือนพฤษภาคม 2566 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
? รถยนต์ ขยายตัวร้อยละ 17.54 โดยมาจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกเป็นสำคัญ
? เครื่องปรับอากาศ ขยายตัวร้อยละ 12.57 จากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่ รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีการก่อสร้างใหม่ที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการเครื่องปรับอากาศมากขึ้นด้วย รวมถึงการส่งออกที่ยังขยายตัวดี จากตลาดสหรัฐอเมริกา เวียดนาม และอินเดีย
Indicators 2565 2566 %MoM พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย. ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค.
MPI
7.7
-
0.2
-
2.3
4.2
-
1.8
-
4.2
2.1
-1.8
6.1
-
0.1
6.2
-
21.3
14.2
2
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ
เดือนพฤษภาคม 2566
3
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
เครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ เดือนพฤษภาคม 2566
? การนำเข้าของภาคอุตสาหกรรมไทย
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์ ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
การนำเข้าเครื่องจักรที่ใช้ในอุตสาหกรรมและส่วนประกอบ ในเดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่า 1,630.70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 9.65 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยขยายตัวจากการนำเข้าสินค้าประเภทเครื่องกังหันไอพ่นและส่วนประกอบ เครื่องจักรใช้ในการแปรรูปไม้ และส่วนประกอบ เป็นต้น
การนำเข้าสินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป (ไม่รวมทองคำ) ในเดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่า 9,871.78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 8.83 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยการนำเข้าหดตัวในสินค้าประเภท เคมีภัณฑ์ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ เป็นต้น
4
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
? สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรม
ที่มา : กรมโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนพฤษภาคม 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 143 โรงงาน เพิ่มขึ้น จากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 41.58 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.73 (%YoY)
มูลค่าเงินลงทุนรวมจากโรงงานที่ได้รับอนุญาตประกอบกิจการในเดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่ารวม 8,126 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 6.32 (%MoM) และลดลงจากเดือนเดียวกัน ของปีก่อน ร้อยละ 60.52 (%YoY)
?อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนพฤษภาคม 2566 คือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอกกรวด ทราย หรือดิน จำนวน 12 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการทำผลิตภัณฑ์คอนกรีต ผลิตภัณฑ์คอนกรีตผสมผลิตภัณฑ์ยิปซัม จำนวน 11 โรงงาน?
?อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุดในเดือนพฤษภาคม 2566 คือ อุตสาหกรรมโรงงานผลิตภัณฑ์ เครื่องกระเบื้องเคลือบ เครื่องปั้นดินเผา หรือเครื่องดินเผา จำนวนเงินทุน 2,166 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการผลิตพลังงานไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ ยกเว้นที่ติดตั้งบนหลังคา ดาดฟ้า จำนวนเงินทุน 1,259 ล้านบาท
5
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
? สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรม (ต่อ)
ที่มา : กรมโรงงานอุตสาหกรรม
จำนวนโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการในเดือนพฤษภาคม 2566 มีจำนวนทั้งสิ้น 41 ราย เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 141.18 (%MoM) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 48.1 (%YoY)
เงินทุนของการเลิกกิจการในเดือนพฤษภาคม 2566 มีมูลค่ารวม 1,231 ล้านบาท ลดลงจากเดือนเมษายน 2566 ร้อยละ 96.56 (%MoM) แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 1.40 (%YoY)
?อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานที่มีการเลิกประกอบกิจการมากที่สุด ในเดือนพฤษภาคม 2566 คือ อุตสาหกรรมการขุดหรือลอกกรวด ทราย หรือดิน จำนวน 6 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมการทำพลาสติก เป็นเม็ด แท่ง ท่อ หลอด แผ่น ชิ้น ผง หรือรูปทรงต่าง ๆ จำนวน 3 โรงงาน
?อุตสาหกรรมที่มีการเลิกประกอบกิจการโดยมีเงินลงทุนสูงสุด ในเดือนพฤษภาคม 2566 คือ อุตสาหกรรม การทำพลาสติกเป็นเม็ด แท่ง ท่อ หลอด แผ่น ชิ้น ผง หรือรูปทรงต่าง ๆ มูลค่าเงินลงทุน 362 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมโรงงานผลิต ตบแต่ง ดัดแปลง เครื่องมือ หรือเครื่องใช้ที่ทำด้วยเหล็ก มูลค่าเงินลงทุน 250 ล้านบาท?
6
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมรายสาขา เดือนพฤษภาคม 2566
1. อุตสาหกรรมอาหาร
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอาหาร เดือนพฤษภาคม 2566 ชะลอตัว (%YoY) ร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าอาหารที่มีดัชนีผลผลิตชะลอตัว มีดังนี้ 1) มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 34.4 จากสินค้าสำคัญคือ แป้งมันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 35.8 เนื่องจากมีฝนตกต่อเนื่อง ในพื้นที่เพาะปลูก ทำให้ผลผลิตมันสำปะหลังและเชื้อแป้งมีคุณภาพลดลง ส่งผลให้มีหัวมันสำปะหลังออกสู่ตลาดน้อยลง 2) ผักและผลไม้แปรรูป หดตัวร้อยละ 16.8 จากสินค้าสำคัญคือ สับปะรดกระป๋อง หดตัวร้อยละ 50.8 เนื่องจากความต้องการบริโภคทั้งในและต่างประเทศลดลง 3) ประมง หดตัวร้อยละ 4.6 จากสินค้าสำคัญ ได้แก่ ปลาทูน่ากระป๋อง หดตัวร้อยละ 16.9 อย่างไรก็ตาม ยังมีดัชนีผลผลิตผลิตภัณฑ์อาหารที่ขยายตัว ดังนี้ 1) น้ำตาล ขยายตัวร้อยละ 31.1 จากน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ ขยายตัวร้อยละ 28.3 และน้ำตาลทรายขาว ขยายตัวร้อยละ 38.2 เนื่องจากความต้องการบริโภคทั้งในและต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น ตามการขยายตัวทางเศรษฐกิจเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง โดยปีนี้ผลผลิตของน้ำตาลมีปริมาณมากขึ้นและคุณภาพดีขึ้น รวมถึงการที่อินเดียยังคงจำกัดการส่งออกน้ำตาล โดยตลาดส่งออกหลักของไทย ได้แก่ อินโดนีเซีย 2) ปศุสัตว์ ขยายตัวร้อยละ 9.9 จากสินค้าสำคัญคือ เนื้อไก่แช่แข็งและแช่เย็น ขยายตัวร้อยละ 10.0 จากความต้องการบริโภคของตลาดในประเทศ ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจในภาคการท่องเที่ยวและการบริโภค ในครัวเรือน 3) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 0.7 จากสินค้า ได้แก่ น้ำอัดลม เครื่องดื่มรสน้ำผลไม้ และน้ำดื่มบริสุทธิ์
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
การจำหน่ายในประเทศ ปริมาณการผลิตเพื่อจำหน่ายสินค้าอาหารในประเทศเดือนพฤษภาคม 2566 ขยายตัวจากกลุ่มสินค้าอาหาร (%YoY) ร้อยละ 8.3 เช่น 1) น้ำอัดลม ขยายตัวร้อยละ 39.2 2) น้ำตาลทรายขาว ขยายตัวร้อยละ 35.7 3) ไส้กรอก ขยายตัวร้อยละ 24.5 4) น้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ ขยายตัวร้อยละ 15.4 5) เนื้อไก่แช่แข็งและแช่เย็น ขยายตัวร้อยละ 8.8
ตลาดส่งออก การส่งออกสินค้าอาหารเดือนพฤษภาคม 2566 ในภาพรวม ชะลอตัวร้อยละ 16.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากกลุ่มผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง เนื่องจากผลผลิตในปีนี้ลดลงกว่าปีก่อน อย่างไรก็ตาม ยังมีสินค้าที่ขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ 1) ปศุสัตว์ จากสินค้าสำคัญคือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง โดยตลาดหลัก คือ จีน ญี่ปุ่น 2) ข้าวและธัญพืช จากสินค้าสำคัญ คือ ข้าว โดยตลาดหลัก คือ อินโดนีเซีย อิรัก 3) น้ำตาล จากสินค้าสำคัญ คือ น้ำตาลทราย โดยตลาดหลัก คือ อินโดนีเซีย
คาดการณ์แนวโน้ม เดือนมิถุนายน 2566 ในภาพรวมจะมีแนวโน้มขยายตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขยายตัวของการบริโภคในประเทศ รวมถึงภาคการท่องเที่ยว ที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ทยอยเข้ามาเที่ยวในประเทศ สำหรับมูลค่าการส่งออกคาดว่าจะขยายตัว เนื่องจากความต้องการสินค้าอาหารของประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ตาม ยังคง ต้องเฝ้าระวังสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเงินโลกที่ยังคงชะลอตัว รวมถึงติดตามปรากฏการณ์เอลนีโญที่อาจจะส่งผลกระทบต่อผลผลิตของสินค้าเกษตร
7
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
2. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
? อุตสาหกรรมไฟฟ้า
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และกระทรวงพาณิชย์
การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 117.6 ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกัน ของปีก่อน โดยสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ สายเคเบิ้ล หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 39.9, 25.9, 25.2 และ 18.5 ตามลำดับ เนื่องจากมีความต้องการสินค้าในประเทศและคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ มอเตอร์ไฟฟ้า กระติก น้ำร้อน เตาไมโครเวฟ ตู้เย็น คอมเพรสเซอร์ สายไฟฟ้า หม้อหุงข้าว และพัดลม ลดลงร้อยละ 34.4, 32.2, 18.3, 17.9, 10.0, 9.6, 6.0 และ 3.5 ตามลำดับ เนื่องจากมีการจำหน่าย ในประเทศลดลง
การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า มีมูลค่า 2,623.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 เมื่อเทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ มีมูลค่า 375.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.7 เครื่องซักผ้า ซักแห้ง และส่วนประกอบ มีมูลค่า 123.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 แผงสวิทซ์และแผงควบคุมกระแสไฟฟ้า มีมูลค่า 244.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.1 เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ มีมูลค่า 660.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10.2 เตาอบไมโครเวฟ มีมูลค่า 17.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.5 พัดลม มีมูลค่า 51.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.2 และเครื่องตัดต่อและป้องกันวงจรไฟฟ้า มีมูลค่า 155.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.4 ในขณะที่สินค้าที่มีคำสั่งซื้อลดลง ได้แก่ มอเตอร์และเครื่องกำเนิดไฟฟ้า มีมูลค่า 78.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 24.8 ตู้เย็น ตู้แช่แข็ง และส่วนประกอบ มีมูลค่า 186.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 16.7 และสายไฟฟ้า สายเคเบิ้ล มีมูลค่า 109.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 6.3
?คาดการณ์การผลิตเดือนมิถุนายน 2566 อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าคาดว่าจะปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการตลาดโลกลดลงและเศรษฐกิจโลกยังไม่ฟื้นตัวและการชะลอคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้า?
? อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ และกระทรวงพาณิชย์
การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 79.4 ปรับตัวลดลงร้อยละ 13.4 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกัน ของปีก่อน โดยสินค้าที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ HDD, Semiconductor devices Transistors, PWB, Printer และ IC โดยลดลงร้อยละ 29.7, 29.1, 27.5, 9.2 และ 8.1 ตามลำดับ เนื่องจากมีความต้องการสินค้าในประเทศและคำสั่งซื้อ จากต่างประเทศลดลง
การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ มีมูลค่า 3,753.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.4 เมื่อเทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อน สินค้าที่มีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุปกรณ์ กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด มีมูลค่า 468.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 87.72 ในตลาดอินเดีย สหรัฐอเมริกา และเวียดนาม และแผงวงจรไฟฟ้า มีมูลค่า 817.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.5 ในตลาดเยอรมนี ไต้หวัน และจีน ในขณะที่สินค้าที่มีคำสั่งซื้อลดลง ได้แก่ HDD มีมูลค่า 623.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 28.8 ในตลาดยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน และวงจรพิมพ์ มีมูลค่า 114.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 4.1 ในตลาดอาเซียน
?คาดการณ์การผลิตเดือนมิถุนายน 2566 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ คาดว่าจะยังคงปรับตัวลดลง เมื่อเทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากแนวโน้มต้นทุนการผลิต ที่สูงขึ้น และการแบ่งส่วนการตลาดกับประเทศเพื่อนบ้าน เช่น มาเลเซีย เวียดนาม และอินเดีย เป็นต้น?
8
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
3. อุตสาหกรรมยานยนต์
? อุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์
0
20,000
40,000
60,000
80,000
100,000
120,000
140,000
160,000
180,000
200,000
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รวบรวมจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
การผลิตรถยนต์ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีจำนวน
150,532 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ปี 2566 ร้อยละ 27.96
(%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 16.48
(%YoY) โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการผลิตรถยนต์นั่งและรถยนต์
กระบะ 1 ตัน เนื่องจากฐานปีก่อนต่ำจากการขาดแคลนชิ้นส่วน
เซมิคอนดักเตอร์ สงครามรัสเซียยูเครน และการระบาดของโควิด-19
ในประเทศจีน
การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ ในเดือนพฤษภาคม
ปี 2566 มีจำนวน 65,088 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ปี 2566
ร้อยละ 9.34 (%MoM) และเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดือนเดียวกัน
ของปีก่อน ร้อยละ 0.55 (%YoY) โดยเป็นการปรับเพิ่มขึ้นของการ
จำหน่ายรถยนต์นั่ง และรถยนต์ PPV รวมกับรถยนต์ SUV
การส่งออกรถยนต์ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2566
มีจำนวน 86,358 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายนปี 2566 ร้อยละ
8.03 (%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ
12.25 (%YoY) โดยตลาดส่งออกมีการเพิ่มขึ้นในตลาดเอเชีย
ตะวันออกกลาง แอฟริกา ยุโรป และอเมริกาเหนือ
?คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตรถยนต์ในเดือน
มิถุนายน ปี 2566 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน ปี 2565
เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของตลาดส่งออก และการคลี่คลาย
ของสถานการณ์การขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์?
? อุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์
0
20,000
40,000
60,000
80,000
100,000
120,000
140,000
160,000
180,000
200,000
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รวบรวมจากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย
ก รผ ลิต รถ จัก ร ย น ย น ต์ ใน เดือ น พ ฤ ษ ภ ค ม
ปี 2566 มีจำนวน 199,316 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน
ปี 2566 ร้อยละ 41.92 (%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกัน
ของปีก่อน ร้อยละ 26.20 (%YoY) จากการเพิ่มขึ้นของการผลิต
รถจักรยานยนต์แบบอเนกประสงค์ และแบบสปอร์ต
การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ในเดือนพฤษภาคม
ปี 2566 มียอดจำหน่ายจำนวน 184,091 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือน
เมษายน ปี 2566 ร้อยละ 48.51 (%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือน
เดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 13.39 (%YoY) จากการเพิ่มขึ้นของ
ยอดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ขนาด 51-110 ซีซี, 126-250 ซีซี,
251-399 ซีซี และมากกว่าหรือเท่ากับ 400 ซีซี
การส่งออกรถจักรยานยนต์สำเร็จรูป ในเดือนพฤษภาคม
ปี 2566 มีจำนวน 38,125 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนเมษายน ปี 2566
ร้อยละ 10.42 (%MoM) และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน
ร้อยละ 33.64 (%YoY) โดยตลาดส่งออกมีการเพิ่มขึ้นในประเทศ
เบลเยียม ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา
?คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตรถจักรยานยนต์
ในเดือนมิถุนายน ปี 2566 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนมิถุนายน
ปี 2565 เนื่องจากแนวโน้มการขยายตัวของตลาดในประเทศและ
ตลาดส่งออก?
9
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
4. อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยางพารา
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
การผลิต
ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่น ยางแท่ง และ น้ำยางข้น) ลดลงร้อยละ 15.47 จากการชะลอตัวของ การผลิตยางแผ่น และน้ำยางข้น
ยางรถยนต์ ลดลงร้อยละ 2.50 จากการลดลงของ การผลิตยางรถยนต์นั่ง ยางรถกระบะ ยางรถบรรทุกและ รถโดยสาร และยางรถแทรกเตอร์
ถุงมือยาง ลดลงร้อยละ 20.28 จากความต้องการ ถุงมือยางในตลาดโลกที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
การจำหน่ายในประเทศ
ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น) ลดลงร้อยละ 10.47 จากความต้องการทั้งยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ลดลง
ยางรถยนต์ ลดลงร้อยละ 10.13 จากการชะลอตัวของตลาด REM (Replacement Equipment Manufacturer)
ถุงมือยาง เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.99 จากความต้องการใช้ถุงมือยางทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น
การส่งออก
ยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่น ยางแท่ง และ น้ำยางข้น) มีมูลค่าลดลงร้อยละ 36.92 เป็นผลจากการลดลงของการส่งออกยางแผ่นไปตลาดญี่ปุ่น ยางแท่งไปตลาดสหรัฐอเมริกา และน้ำยางข้นไปตลาดมาเลเซียและจีน
ยางรถยนต์ มีมูลค่าลดลงร้อยละ 2.62 จากการชะลอตัวของการส่งออกไปตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก
ถุงมือยาง มีมูลค่าลดลงร้อยละ 21.55 จากความต้องการถุงมือยางในตลาดโลกที่ปรับลดลงจากช่วงที่ผ่านมา
ที่มา: กระทรวงพาณิชย์
คาดการณ์ภาวะอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2566
การผลิตยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น) คาดว่าจะชะลอตัวจากแนวโน้มความต้องการ ทั้งยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น ในต่างประเทศที่ลดลง โดยเฉพาะในตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น มาเลเซีย และจีน สำหรับการผลิตและจำหน่ายยางรถยนต์ ในประเทศ คาดว่าจะกลับมาขยายตัวตามแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ ในส่วนการผลิตถุงมือยาง คาดว่าจะยังชะลอตัวจากความต้องการถุงมือยางในตลาดโลก ที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในส่วนของการจำหน่ายถุงมือยาง ในประเทศ คาดว่าจะขยายตัวจากความต้องการใช้ถุงมือยาง ทางการแพทย์ที่อยู่ในระดับสูง
การส่งออกยางแปรรูปขั้นปฐม (ยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น) คาดว่าจะมีมูลค่าลดลง เป็นผลจากตลาดส่งออกสำคัญ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย มีแนวโน้ม ชะลอการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจากไทย ในส่วนของการส่งออกยางรถยนต์ คาดว่าจะกลับมามีมูลค่าเพิ่มขึ้น จากอุปสงค์ความต้องการยางรถยนต์ ในตลาดรอง อาทิ เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย จีน และซาอุดีอาระเบีย ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทางด้านการส่งออกถุงมือยาง คาดว่าจะมีมูลค่าลดลงจากความต้องการถุงมือยางในตลาดโลกที่ปรับลดลงจากในช่วงที่ผ่านมา
10
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
5. อุตสาหกรรมพลาสติก
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
ที่มา : สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
ดัชนีผลผลิต เดือนพฤษภาคมปี 2566 ดัชนีผลผลิตหดตัวร้อยละ 7.22 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยดัชนีผลผลิต หดตัวในหลาย ๆ ผลิตภัณฑ์ เช่น พลาสติกแผ่น หดตัวร้อยละ 23.35 แผ่นฟิล์มพลาสติก หดตัวร้อยละ 15.01 และถุงพลาสติก หดตัว ร้อยละ 12.87 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ดัชนีการส่งสินค้า เดือนพฤษภาคมหดตัวร้อยละ 3.95 โดยผลิตภัณฑ์ที่หดตัว เช่น พลาสติกแผ่น หดตัวร้อยละ 18.50 ถุงพลาสติก หดตัวร้อยละ 12.48 และกระสอบพลาสติก หดตัวร้อยละ 10.21 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก เดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีมูลค่ารวม 356.90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 12.91 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้ การส่งออกหดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน (HS 3924) หดตัวร้อยละ 16.84 ผลิตภัณฑ์ของอื่น ๆ ทำด้วยพลาสติก (HS 3926) หดตัวร้อยละ 16.40 และผลิตภัณฑ์ของที่ใช้ลำเลียงหรือบรรจุสินค้า (HS 3923) หดตัวร้อยละ 15.17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การนำเข้า เดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีมูลค่ารวม 453.72 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 3.92 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์หลักที่ส่งผลให้การนำเข้าหดตัว เช่น ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน (HS 3924) หดตัวร้อยละ 29.03 ผลิตภัณฑ์ใยยาวเดี่ยว (HS 3916) หดตัวร้อยละ 19.90 และผลิตภัณฑ์ของที่ใช้ลำเลียงหรือบรรจุสินค้า (HS 3923) หดตัวร้อยละ 19.52 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แนวโน้มอุตสาหกรรมพลาสติก เดือนมิถุนายน 2566 คาดการณ์ว่าการผลิตชะลอตัว เนื่องจากความต้องการในตลาดลดลง อีกทั้งการซื้อขายในภูมิภาคยังซบเซาตามเศรษฐกิจโลก ผู้ซื้อรอดูสถานการณ์ด้านราคา ส่วนการส่งออกหดตัวตามตลาดหลัก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และจีน เป็นต้น
ดัชนีผลผลิต--ดัชนีการส่งสินค้า
ปริมาณและมูลค่าการส่งออก--นาเข้า
11
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
6. อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์
ดัชนีผลผลิต--ดัชนีการส่งสินค้า ปริมาณและมูลค่าการส่งออกและการนาเข้า
ที่มา : สานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ที่มา : สานักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
ดัชนีผลผลิต เดือนพฤษภาคมปี 2566 หดตัวร้อยละ 7.51 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นพื้นฐานหดตัวร้อยละ 11.44 ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตหดตัว ได้แก่ เอทานอล หดตัวร้อยละ 29.44 กรดเกลือ หดตัวร้อยละ 7.33 และโซดาไฟ หดตัวร้อยละ 5.66 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน กลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลายหดตัวร้อยละ 6.22 ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตหดตัว ได้แก่ ปุ๋ยเคมี หดตัวร้อยละ 17.42 น้ำยาทำความสะอาด หดตัวร้อยละ 14.50 และน้ำยาปรับผ้านุ่ม หดตัวร้อยละ 13.34 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน
ดัชนีการส่งสินค้า เดือนพฤษภาคม 2566 หดตัวร้อยละ 2.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐาน หดตัวร้อยละ 5.18 โดยผลิตภัณฑ์ ที่มีการผลิตหดตัว ได้แก่ คลอรีน หดตัวร้อยละ 12.86 กรดเกลือ หดตัวร้อยละ 12.67 โซดาไฟ หดตัวร้อยละ 5.35 และ กลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลาย หดตัวร้อยละ 2.09 โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการหดตัว ได้แก่ แป้งฝุ่น หดตัวร้อยละ 36.79 น้ำยา ทำความสะอาด หดตัวร้อยละ 28.62 และน้ำยาปรับผ้านุ่ม หดตัวร้อยละ 13.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
การส่งออก เดือนพฤษภาคมปี 2566 มูลค่าการส่งออกรวม 885.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 2.90 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการส่งออกเคมีภัณฑ์พื้นฐาน มีมูลค่าการส่งออก 486.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 6.79 ในส่วนของกลุ่มเคมีภัณฑ์ขั้นปลายมีมูลค่าการส่งออก 398.59
ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกหดตัว เช่น เคมีภัณฑ์อนินทรีย์ หดตัวร้อยละ 17.05 เคมีภัณฑ์อินทรีย์ หดตัวร้อยละ 15.12 และปุ๋ยหดตัวร้อยละ 10.14 เป็นต้น
การนำเข้า ในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2566 มูลค่าการนำเข้ารวม 1,722.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัว ร้อยละ 20.50 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยกลุ่มเคมีภัณฑ์พื้นฐานมีมูลค่าการนำเข้า 1,093.27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 18.43 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน ในส่วนเคมีภัณฑ์ขั้นปลายมีมูลค่าการนำเข้า 628.99 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 23.85 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้การนำเข้าหดตัว เช่น ปุ๋ย หดตัวร้อยละ 49.73 เคมีภัณฑ์อินทรีย์ หดตัวร้อยละ 25.79 และเคมีภัณฑ์อนินทรีย์ หดตัวร้อยละ 25.01 เป็นต้น
แนวโน้มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ เดือนมิถุนายน 2566 คาดการณ์ว่าการผลิตเคมีภัณฑ์ลดลงเนื่องจากการคำสั่งซื้อลดลง จากความต้องการที่ลดลงของตลาด โดยมีการทยอย นำสินค้าคงคลังออกมาจำหน่าย ในส่วนของการส่งออกสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน อาทิ เม็ดพลาสติก และเคมีภัณฑ์หดตัวจากตลาดหลัก เช่น อินเดีย เวียดนาม และมาเลเซีย เป็นต้น
12
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
7. อุตสาหกรรมปิโตรเคมี
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
ดัชนีผลผลิต การผลิตอุตสาหกรรมปิโตรเคมี เดือนพฤษภาคม ปี 2566 อยู่ที่ระดับ 105.60 หรือขยายตัวร้อยละ 2.37 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.46 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็นปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน ได้แก่ Ethylene ขยายตัวร้อยละ 5.89 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และปิโตรเคมีขั้นปลาย ได้แก่ PE resin และ PP resin ขยายตัวร้อยละ 14.99 และ 6.14 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากการที่โรงงานกลับมาผลิตตามปกติ โดยเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีการ หยุดซ่อมบำรุง 1 โรง
ดัชนีการส่งสินค้า อยู่ที่ระดับ 104.31 ขยายตัว ร้อยละ 2.01 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.23 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยเป็นปิโตรเคมี ขั้นพื้นฐาน ได้แก่ Propylene ขยายตัวร้อยละ 23.93 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และปิโตรเคมีขั้นปลาย ได้แก่ PE resin ขยายตัวร้อยละ 12.20 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน
การส่งออก เดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีมูลค่า 969.96 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 15.64 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวในกลุ่ม ปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น PP resin เป็นต้น และหดตัวในกลุ่ม ปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน เช่น Propylene เป็นต้น เนื่องจากสถานการณ์ตลาดมีลักษณะการเก็งกำไรและรอให้ราคา ปรับลดลง ประกอบกับความต้องการในการผลิตอุตสาหกรรมปลายน้ำลดลงตามราคาปิโตรเคมียังคงมีแนวโน้มชะลอตัว
ที่มา : สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
การนำเข้า เดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีมูลค่า 518.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือหดตัวร้อยละ 16.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวในกลุ่ม ปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน เช่น Ethylene เป็นต้น และหดตัว ในกลุ่มปิโตรเคมีขั้นปลาย เช่น PP resin เป็นต้น
คาดการณ์แนวโน้ม เดือนมิถุนายน ปี 2566 คาดว่า ภาพรวมของอุตสาหกรรมการผลิตจะเริ่มปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการผลิตกลับมาผลิตได้หลังจากซ่อมบำรุงในช่วงต้นปี แต่ความต้องการใช้พลาสติกที่ลดลงจากการชะลอตัวของการส่งออก โดยเฉพาะปิโตรเคมีขั้นพื้นฐาน เช่น Ethylene และ Propylene จากระดับราคาที่ปรับผันผวนตามราคาน้ำมันดิบที่เป็นผลกระทบจากการหยุดการผลิตในหลายประเทศ จากความขัดแย้งยูเครน--รัสเซียที่ยืดเยื้อ ยังทำให้การผลิตยังคงขยายตัวได้ไม่มากนัก
13
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
8. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและสถาบันเหล็ก และเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม 2566 มีค่า 77.5 หดตัวร้อยละ 26.7 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผู้บริโภคมีการชะลอ คำสั่งซื้อเพื่อดูแนวโน้มทิศทางราคา ประกอบกับผู้ผลิตมีการบริหารจัดการสินค้าคงคลัง จากความไม่มั่นใจสถานการณ์ตลาด เมื่อพิจารณาตามผลิตภัณฑ์หลัก พบว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมหดตัวทั้งในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีค่า 73.1 หดตัวร้อยละ 29.2 ผลิตภัณฑ์ที่การผลิตหดตัว มากที่สุด คือ เหล็กเส้นกลม หดตัวร้อยละ 67.7 รองลงมา คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรีดร้อน เหล็กเส้นข้ออ้อย และเหล็กลวด หดตัวร้อยละ 38.2 30.9 และ 29.4 ตามลำดับ สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม มีค่า 77.9 หดตัวร้อยละ 30.5 ผลิตภัณฑ์ที่การผลิตหดตัวมากที่สุด คือ เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน หดตัวร้อยละ 58.1 รองลงมา คือ เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบโครเมี่ยม และเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก หดตัวร้อยละ 23.4 23.3 และ 8.6 ตามลำดับ
การบริโภคในประเทศ ในเดือนพฤษภาคม 2566 มีปริมาณการบริโภค 1.3 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 12.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการบริโภค เหล็กทรงยาว มีปริมาณ 0.5 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 9.8 จากการบริโภคที่ลดลงของเหล็กลวด ส่วนการบริโภคเหล็กทรงแบน มีปริมาณ 0.8 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 14.7 จากการ
บริโภคที่ลดลงของเหล็กแผ่นรีดร้อน (Plate/Coil/Sheet) เหล็กแผ่นเคลือบโครเมี่ยม และเหล็กแผ่นรีดเย็น
การนำเข้า ในเดือนพฤษภาคม 2566 มีปริมาณการนำเข้า 0.96 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 1.9 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งปริมาณการนำเข้าขยายตัว ทั้งในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน โดยผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มเหล็กทรงยาว มีปริมาณการนำเข้า 0.23 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 3.8 เหล็กทรงยาวที่มีการขยายตัว เช่น เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ชนิด Carbon Steel (ตลาดหลักที่ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น คือ จีน และญี่ปุ่น) เหล็กลวด ชนิด Carbon Steel (ตลาดหลักที่ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น คือ อินโดนีเซีย ไต้หวัน และจีน) เหล็กเส้น ชนิด Alloy Steel (ตลาดหลักที่ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น คือ จีน และไต้หวัน) ส่วนกลุ่มเหล็กทรงแบน มีปริมาณการนำเข้า 0.73 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 1.3 เหล็กทรงแบน ที่มีการขยายตัว เช่น เหล็กแผ่นหนารีดร้อน ชนิด Stainless Steel (ตลาดหลักที่ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น คือ ไต้หวัน จีน ญี่ปุ่น และแอฟริกาใต้) เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก (ตลาดหลักที่ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น คือ จีน เกาหลีใต้ และเยอรมนี) ท่อเชื่อมตะเข็บ (ตลาดหลักที่ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น คือ จีน กัมพูชา และลาว) และเหล็กแผ่นรีดร้อน (Coil/Sheets) ชนิด Alloy Steel (ตลาดหลักที่ไทยนำเข้าเพิ่มขึ้น คือ จีน)
?แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนมิถุนายน 2566 คาดการณ์ว่า การผลิตจะหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกัน ของปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบ (บิลเล็ต และเศษเหล็ก) ในตลาดโลกมีแนวโน้มปรับตัวลดลง ทำให้ผู้บริโภคชะลอ การสั่งซื้อเพื่อดูทิศทางราคา ประกอบกับคาดว่าจะมีการนำเข้าเหล็กที่มีราคาถูกจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่ควรติดตาม อาทิ การดำเนินการก่อสร้างภาครัฐและภาคเอกชนในประเทศ สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก ราคาเหล็กต่างประเทศ รวมถึงการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรมเหล็กของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ส่งออกเหล็ก รายใหญ่ของโลก?
14
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
9. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
การผลิต
เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน เสื้อผ้าสำเร็จรูป หดตัวร้อยละ 3.26 17.60 และ 25.63 (YoY) ตามลำดับ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อน (MoM) พบว่าการผลิตเพิ่มขึ้น ในทุกรายการ เส้นใยสิ่งทอ ขยายตัวร้อยละ 6.85 ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เส้นใยโพลีเอสเตอร์ เส้นใยประดิษฐ์อื่น ๆ เส้นด้ายฝ้าย และเส้นด้ายจากเส้นใยประดิษฐ์ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ตามความต้องการของเทรนด์รักษ์โลก และแนวโน้มการใส่ใจสิ่งแวดล้อมของผู้บริโภค รวมถึงใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับสิ่งทอเทคนิคที่มีคุณสมบัติพิเศษตามการ ใช้งานและมีมูลค่าสูง เช่น ผ้าทอกันน้ำ กันไฟ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่เน้นด้านนวัตกรรมในภาคอุตสาหกรรม สำหรับ ผ้าผืนขยายตัวร้อยละ 20.67 และเสื้อผ้าสำเร็จรูปขยายตัวร้อยละ 8
การจำหน่ายในประเทศ
เส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืนหดตัวร้อยละ 9.17 และ 18.97 (YoY)
เสื้อผ้าสำเร็จรูป มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นเดือนที่ 12 โดยขยายตัวร้อยละ 1.23 (YoY) ในกลุ่มเสื้อผ้าทอ และเสื้อผ้าถัก
การนำเข้า
ด้ายและเส้นใยหดตัวร้อยละ 14.92 ส่วนผ้าผืนหดตัวร้อยละ 15.99 (YoY)
เสื้อผ้าสำเร็จรูป ขยายตัวร้อยละ 28.90 (YoY) ในตลาดสำคัญ ได้แก่ จีน อิตาลี และเวียดนาม เพื่อรองรับการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนจากอุปสงค์ภายในประเทศ ที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง ตามรายได้ภาคประชาชนที่ฟื้นตัว ตามสถานการณ์เศรษฐกิจภายในประเทศ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อที่ลดลงช่วยให้การบริโภคเพิ่มขึ้น
ที่มา : กระทรวงพาณิชย์
การส่งออก
เส้นใยสิ่งทอหดตัวร้อยละ 13.94 (YoY) จากตลาดสำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน อินเดีย ส่วนผ้าผืนหดตัว ร้อยละ 23.29 (YoY) จากตลาดสำคัญ ได้แก่ เวียดนาม เมียนมา กัมพูชา สำหรับเสื้อผ้าสำเร็จรูปหดตัวร้อยละ 7.47 (YoY) จากตลาดสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เบลเยียม เนื่องจากคำสั่งซื้อ ที่ลดลงของประเทศคู่ค้าสำคัญ ส่วนหนึ่งมาจาก เทรนด์เรื่องสิ่งแวดล้อม โดยธุรกิจค้าปลีก เครื่องแต่งกายในสหรัฐอเมริกามีแนวโน้มที่จะพึ่งพาการนำเข้าเครื่องแต่งกายจากประเทศในแถบเอเชียลดลง ส่งผลให้การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของไทยหดตัวตลอดห่วงโซ่อุปทาน ประกอบกับสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของผู้บริโภคทั่วโลก
คาดการณ์ภาวะอุตสาหกรรมเดือนมิถุนายน 2566
คาดว่าภาวะการผลิตอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม จะขยายตัวตามภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศที่ฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังต้องติดตามปัญหาเงินเฟ้อในหลายประเทศทั่วโลก สถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยังคงยืดเยื้อ อาจเป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าชะลอตัว และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและความสามารถในการแข่งขันของไทย
15
ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เดือนพฤษภาคม 2566
10. อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
ที่มา : 1. ปริมาณการผลิตและจำหน่ายภายในประเทศ : กองสารสนเทศและดัชนีเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
2. ปริมาณการส่งออก : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
การผลิตปูนซีเมนต์รวม ในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีจำนวน 6.77 ล้านตัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 7.20 (%YoY) การจำหน่ายปูนซีเมนต์รวมในประเทศ ในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีปริมาณการจำหน่าย 3.21 ล้านตัน เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวลดลง ร้อยละ 3.46 (%YoY) ตามการชะลอตัวของตลาด ในประเทศที่รอดูสถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจที่จะเปลี่ยนแปลงไปหลังการเลือกตั้ง
การส่งออกปูนซีเมนต์รวม ในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีจำนวน 0.40 ล้านตัน ลดลงเมื่อเทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 20.27 (%YoY) เนื่องจากตลาดส่งออกหลักหลายตลาดปรับลดคำสั่งซื้อ ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา บังกลาเทศ และฟิลิปปินส์ ร้อยละ 81.40 48.62 43.28 และ 38.49 ตามลำดับ ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากความขัดแย้ง ในสงครามรัสเซีย -- ยูเครนที่ยังไม่คลี่คลาย
คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ในภาพรวมเดือนมิถุนายน 2566 คาดว่าจะ ชะลอตัวลงตามการชะลอตัวของตลาด และจากความต้องการของตลาดส่งออกยังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
ที่มา : 1. ปริมาณการผลิตและจำหน่ายภายในประเทศ : กองสารสนเทศและดัชนีเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
2. ปริมาณการส่งออก : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์
การผลิตปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีจำนวน 3.64 ล้านตัน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 0.79 (%YoY) การจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีปริมาณการจำหน่าย 3.03 ล้านตัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ปรับตัวลดลง ร้อยละ 3.29 (%YoY) จากการชะลอตัวของตลาดที่มาจากหลายปัจจัย เช่น ราคาสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาพลังงาน ตลาดชะลอตัวเนื่องจากต้องการรอดูแนวนโยบายของ รัฐบาลใหม่ที่จะส่งเสริมหรือกระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น
การส่งออกปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนพฤษภาคม ปี 2566 มีจำนวน 0.24 ล้านตัน เมื่อเทียบกับ เดือนเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 3.62 (%YoY) โดยเป็นการ ปรับลดคำสั่งซื้อในตลาดส่งออกหลัก ได้แก่ เวียดนาม กัมพูชา และฟิลิปปินส์ ร้อยละ 81.40 48.65 และ 38.49 ตามลำดับ คาดการณ์แนวโน้มของอุตสาหกรรมการผลิตปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในเดือนมิถุนายน 2566 คาดว่าจะชะลอตัว ตามการชะลอตัวของตลาด อีกทั้งประเทศไทยได้เริ่มเข้าสู่ฤดูฝนแล้ว
ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม