สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย ปี 2567 และแนวโน้ม ปี 2568

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday March 12, 2025 14:24 —สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

รายงาน

ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ปี 2567 และแนวโน้มปี 2568

2

สารบัญ

หน้า

บทสรุปผู้บริหาร 3

ส่วนที่ 1 ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย ปี 2567 และแนวโน้ม ปี 2568 6

ส่วนที่ 2 เศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยรายสาขา ปี 2567 และแนวโน้ม ปี 2568 15

2.1 อุตสาหกรรมเหล็ก และเหล็กกล้า 16

2.2 อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า 17

2.3 อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 18

2.4 อุตสาหกรรมรถยนต์ 19

2.5 อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ 20

2.6 อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ 21

2.7 อุตสาหกรรมพลาสติก 22

2.8 อุตสาหกรรมปิโตรเคมี 23

2.9 อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษและสิ่งพิมพ์ 24

2.10 อุตสาหกรรมเซรามิก 25

2.11 อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ 26

2.12 อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม 27

2.13 อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือนไม้ 28

2.14 อุตสาหกรรมยา 29

2.15 อุตสาหกรรมยาง และผลิตภัณฑ์ยาง 30

2.16 อุตสาหกรรมรองเท้า และผลิตภัณฑ์หนัง 31

2.17 อุตสาหกรรมอัญมณี และเครื่องประดับ 32

2.18 อุตสาหกรรมอาหาร 33

3

บทสรุปผู้บริหาร

สรุปภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย ปี 2567 และแนวโน้ม ปี 2568

ภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทย ปี 2567 เมื่อพิจารณาจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) คาดว่าจะลดลงร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นไปตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาคที่ยังคงยืดเยื้อ สภาพภูมิอากาศแปรปรวน และภาวะโลกร้อน ทั้งนี้ อุตสาหกรรมสำคัญที่ชะลอตัวในปี 2567 อาทิ ยานยนต์ การผลิตปรับตัวลดลงจากสินค้ารถบรรทุกปิคอัพ และรถยนต์นั่งขนาดเล็ก เป็นหลัก ตามการชะลอตัวของตลาดในประเทศ ประกอบกับหนี้สินภาคครัวเรือนอยู่ ในระดับสูง ส่งผลให้สถาบันการเงินมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ ชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตลดลงจาก Integrated Circuits (IC) และ Printed Circuit Board Assembly (PCBA) เป็นหลัก ตาม การชะลอตัวของตลาดส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ และผลกระทบจากเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ในอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น และ คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และปูนปลาสเตอร์ คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง การผลิตลดลง ตามการชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ ประกอบกับโครงการของภาครัฐเริ่มดำเนินการได้ช้ากว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนจากงบประมาณที่ล่าช้า สำหรับ อุตสาหกรรมที่มี การขยายตัวใน ปี 2567 อาทิ ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นปิโตรเลียม การผลิตเพิ่มขึ้น จากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของการท่องเที่ยวเป็นหลัก อาหารสัตว์สำเร็จรูป การผลิตเพิ่มขึ้น จากอาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป อาหารไก่ และอาหารสุกร เป็นหลัก เนื่องจากมีการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศมากขึ้น และ เครื่องจักรอื่นๆ ที่ใช้ งานทั่วไป การผลิตและการจำหน่ายเพิ่มขึ้นจากเครื่องปรับอากาศ เป็นหลัก ตามความต้องการที่มีมากขึ้นจากสภาพอากาศทั่วโลกที่มีอุณหภูมิสูงขึ้น ส่งผลให้มีความต้องการสินค้าเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้นมากในปัจจุบันและยังคง มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผู้ผลิตมีการพัฒนาคุณภาพสินค้าให้รองรับความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น

แนวโน้ม ปี 2568

ประมาณการดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ปี 2567 ขยายตัวร้อยละ 1.5 - 2.5 โดยมีปัจจัยสนับสนุน (1) การค้าระหว่างประเทศของไทยกับคู่ค้าหลักมีทิศทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง (2) ภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการมีทิศทางขยายตัวเพิ่มขึ้น (3) การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง (4) ภาครัฐเร่งรัด การใช้จ่ายและการลงทุน รวมทั้งขับเคลื่อนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ และ (5) การจัดทำข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ทั้งนี้ ปัจจัยเฝ้าระวัง (1) ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ในหลายภูมิภาค (2) นโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ภายใต้ประธานาธิบดี Donald Trump (4) ต้นทุนการผลิต ค่าครองชีพ หนี้สินภาคธุรกิจและครัวเรือนยังอยู่ในระดับสูง และ (4) สภาพภูมิอากาศแปรปรวน และภาวะโลกร้อน

? เหล็กและเหล็กกล้า แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2568 คาดการณ์ว่า การผลิตจะขยายตัวร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับการบริโภคเหล็กปี 2568 คาดว่ามีปริมาณ 16.6 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน การผลิตและการบริโภคขยายตัว โดยมีปัจจัยจากการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม เช่น นโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่จะกระทบสินค้าส่งออกของประเทศจีน และการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรมเหล็กของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ของโลก เนื่องจากจะส่งผลต่อปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศ

? เครื่องใช้ไฟฟ้า อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2568 คาดว่าจะมีการผลิตขยายตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยี 5G และแนวโน้มของธุรกิจในภาคต่าง ๆ ที่ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภค ใช้อุปกรณ์อัจฉริยะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ในขณะที่การส่งออกคาดว่าจะขยายตัว เมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าจากการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ และสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนหรือผู้บริโภคมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจ

4

โลกที่ยังไม่แน่นอน อาทิ การเปลี่ยนผู้นำประเทศใหม่อย่างเป็นทางการ และการสนับสนุนมาตรการตั้งกำแพงภาษีเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐอเมริกา อาจกระทบต่อนโยบายการค้าโลก อีกทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

? อิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2568 คาดว่าจะมีการผลิตหดตัวเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการชะลอตัวของกลุ่มสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ ประกอบกับยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังอยู่ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ในการพัฒนาและเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรองรับเทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) รวมทั้ง การเติบโตของธุรกิจ Data Center

?

รถยนต์ สำหรับการประมาณการจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม คาดว่า จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1,600,000 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.25 โดยจะเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ประมาณร้อยละ 40-45 และการผลิตเพื่อการส่งออก ร้อยละ 55-60

? รถจักรยานยนต์ สำหรับการประมาณการจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม คาดว่า จะมีการผลิตรถจักรยานยนต์ประมาณ 2,000,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.11 โดยจะเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ประมาณ ร้อยละ 85-90 และการผลิตเพื่อการส่งออกร้อยละ 10-15

? เยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ แนวโน้มในปี 2568 คาดว่า จะเป็นโอกาสดีของอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ แม้ว่าในปี 2567 สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งการผลิต การส่งออก ตลาดส่งออก และราคา เยื่อกระดาษมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ประกอบกับความต้องการใช้ในประเทศที่อาจจะยังฟื้นกลับมาได้ไม่เต็มที่นัก มีแนวโน้มเติบโตชะลอตัวลงสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP growth) และแรงกดดันจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าภาคส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้จากกลุ่มเยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์ ที่ประเทศผู้นำเข้าหลักอย่างจีน ยังนำเข้าต่อเนื่อง รวมถึงการค้าจะขยายตัวได้ในอาเซียน แต่ผู้ประกอบการยังต้องติดตามสถานการณ์จากปัจจัยลบต่าง ๆ ทั้งจากความตึงเครียดทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาที่รุมเร้า ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนราคาวัตถุดิบบรรจุภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้

? สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม การผลิต เส้นใยสิ่งทอ โดยเฉพาะเส้นใยประดิษฐ์ และการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ สำหรับการจำหน่ายในประเทศ คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ในส่วนการส่งออกสินค้าเส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังคงขยายตัว อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์นโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้ง ทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจเป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าชะลอตัว รวมถึงติดตามกฎระเบียบ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ เร่งยกระดับธุรกิจด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อก้าวข้ามข้อกีดกันทางการค้าในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม

? ยา แนวโน้มอุตสาหกรรมยา ปี 2568 คาดการณ์ว่า ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายยาในประเทศจะปรับตัวลดลงร้อยละ 0.25-0.50 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มด้านศักยภาพของระบบสาธารณสุขไทยในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ และโรคตามฤดูกาล ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สำหรับทิศทางการส่งออกและการนำเข้ายา ปี 2568 คาดการณ์ว่า จะมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 0.25-1.50 ตามแนวโน้มความต้องการยาที่ขยายตัวในตลาดสำคัญทั้งในเอเชียและยุโรป และทิศทางความต้องการใช้ยาในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น

? ยาง และผลิตภัณฑ์ยาง ปี 2568 คาดการณ์ได้ว่า ปริมาณการผลิตยางแปรรูปขั้นปฐม ยางรถยนต์ และถุงมือยางจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากการผลิตเพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่ การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรม ทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ต่างๆ

5

? อาหาร คาดการณ์ว่า ภาพรวมของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอาหารในปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 2.0 จากภาค การท่องเที่ยวในประเทศที่ยังคงเติบโตได้ดี และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ในส่วนของกลุ่มสินค้าที่คาดว่าดัชนีผลผลิตขยายตัวดีในปี 2568 ได้แก่ (1) ปลาทูน่ากระป๋อง จากความต้องการที่สูงขึ้นในตลาดใหม่ เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง แอฟริกา (2) ไก่แปรรูปและไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีทิศทางดีขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค ที่เพิ่มขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหราชอาณาจักร และมาเลเซียนอกจากนี้ ประเทศผู้ส่งออกเนื้อไก่รายใหญ่อื่น เช่น บราซิล สหภาพยุโรป มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน ซึ่ง USDA คาดการณ์ว่าการผลิตเนื้อไก่ทั่วโลก ปี 2568 จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2 หรือประมาณ 104.9 ล้านตัน (3) น้ำตาล แม้ว่าราคาน้ำตาลในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลด แต่คาดว่าดัชนีผลผลิตของน้ำตาลยังคงขยายตัว ตามอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่มีแนวโน้มขยายตัวจากแรงหนุนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มทั้งตลาดในประเทศและตลาดคู่ค้า (4) อาหารสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มเติบโตจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์และจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 40

6

ส่วนที่ 1 ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย ปี 2567

และแนวโน้ม ปี 2568

7

1

ภาพรวมเศรษฐกิจไทย รายปี 2567 และแนวโน้ม ปี 2568

GDP

สามไตรมาสแรก ขยายตัวร้อยละ 2.3 (%YoY)

ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP สามไตรมาสแรกของปี 2567 ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 2.3 เมื่อเทียบกับสามไตรมาสแรกของปี 2566 ที่ขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 1.9

ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อ GDP

ในสามไตรมาสแรกของปี 2567 การผลิตภาคเกษตรหดตัวร้อยละ 1.8 ภาคบริการขยายตัวร้อยละ 3.6 การใช้จ่ายอุปโภคและบริโภคภาคเอกชนขยายตัวร้อยละ 5.0 การลงทุนรวมหดตัวร้อยละ 1.7 การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวตัวร้อยละ 0.9 การส่งออกสินค้าและบริการขยายตัวร้อยละ 5.9

GDP ภาคอุตสาหกรรม

สามไตรมาสแรก หดตัวร้อยละ 0.8 (%YoY)

GDP ภาคอุตสาหกรรม สามไตรมาสแรกของ ปี 2567 หดตัวร้อยละ 0.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่หดตัวร้อยละ 3.5 โดยหดตัวจากการผลิตยานยนต์ เป็นสำคัญ เนื่องจากคำสั่งซื้อของประเทศคู่ค้าที่ชะลอตัว

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2568 สศช. คาดว่า GDP จะขยายตัวในช่วงร้อยละ 2.3 ? 3.3 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก (1) การเพิ่มขึ้นของรายจ่ายภาครัฐ (2) การขยายตัวของอุปสงค์ภาคเอกชนภายในประเทศ (3) การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว

ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

การผลิตภาคเกษตรหดตัวร้อยละ 1.8

การผลิตภาคอุตสาหกรรมหดตัวร้อยละ 0.9

ที่มา : สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

การเติบโตของภาคอุตสาหกรรมในสามไตรมาสแรกของปี 2567 หดตัวเฉลี่ยร้อยละ 0.8 จากปัญหาหนี้ครัวเรือนภายในประเทศอยู่ในระดับสูง สินค้าอุตสาหกรรมที่มีการหดตัว ได้แก่ การผลิตยานยนต์ การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง เป็นต้น

การใช้จ่ายอุปโภคและบริโภคภาคเอกชน ขยายตัวร้อยละ 5.0

การลงทุนรวมหดตัวร้อยละ 1.7

การส่งออกสินค้าและบริการ

ขยายตัวร้อยละ 5.9

ภาคบริการขยายตัวร้อยละ 3.6

8

ดัชนีอุตสาหกรรมที่สำคัญ

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

ม.ค. ? ต.ค. 2567 หดตัวร้อยละ 1.6

(%YoY)

ดัชนีการส่งสินค้า

ม.ค. ? ต.ค. 2567 หดตัวร้อยละ 2.3

(%YoY)

ในช่วง 10 เดือนแรก (เดือนมกราคม ? ตุลาคม) ของปี 2567 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 96.50 หดตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2566 (98.10) ร้อยละ 1.6

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 อาทิ การผลิต ยานยนต์ การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต ปูนซีเมนต์ และ ปูนปลาสเตอร์ เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มปี 2568 คาดว่า ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นจากปี 2567 เนื่องจาก กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาสู่ภาวะปกติ รวมทั้งการผลิตดำเนินการได้เต็มประสิทธิภาพประกอบกับการบริโภคในประเทศและเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจคู่ค้าสำคัญของไทยขยายตัวดีขึ้น

ในช่วง 10 เดือนแรก (เดือนมกราคม ? ตุลาคม) ของปี 2567 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 97.69 หดตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2566 (100.0) ร้อยละ 2.31

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 อาทิการผลิตยานยนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ และการผลิตน้ำตาล เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มปี 2568 คาดว่า ดัชนีการส่งสินค้าจะสอดคล้องกับดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมข้างต้น

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

นเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

9

ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง

ม.ค.?ต.ค. 2567 หดตัวร้อยละ 1.8 (%YoY)

อัตราการใช้กำลังการผลิต

อัตราการใช้กำลังการผลิต อยู่ที่ร้อยละ 58.72

ในช่วง 10 เดือนแรก (เดือนมกราคม ? ตุลาคม) ของปี 2567 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 103.37 หดตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2566 (105.28) ร้อยละ 1.8

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 อาทิ การผลิตบรรจุภัณฑ์พลาสติก การผลิตคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วง และการแปรรูปและการถนอมผลไม้และผัก เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มปี 2568 คาดว่า ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังน่าจะลดลงจากปี 2567 เป็นการผลิตเพื่อส่งมอบให้ลูกค้าตามคำสั่งซื้อทั้งจากการบริโภคในประเทศและการส่งออกไปต่างประเทศ

ในช่วง 10 เดือนแรก (เดือนมกราคม ? ตุลาคม) ของปี 2567 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ ร้อยละ 58.72 ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 (ร้อยละ 60.04)

อุตสาหกรรมที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 อาทิ การผลิต ยานยนต์ การผลิตชิ้นส่วนและแผ่นวงจรอิเล็กทรอนิกส์ และการผลิตเครื่องมือและอุปกรณ์ในทางการแพทย์และทางทันตกรรม เป็นต้น

สำหรับแนวโน้มปี 2568 คาดว่า อัตราการใช้กำลังการผลิตจะปรับตัวดีขึ้นตามดัชนีผลผลอุตสาหกรรม

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

นเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

นเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

10

ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ม.ค. ? ต.ค. อยู่ที่ระดับ 89.22

ในช่วงเดือนมกราคม - ตุลาคม (10 เดือนแรก) ของ ปี 2567 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 89.22 ลดลงจาก ช่วงเดียวกันของปี 2566 (93.15) และดัชนีความเชื่อมั่นคาดการณ์ล่วงหน้า 3 เดือน อยู่ที่ระดับ 97.08 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2566 (101.35)

สำหรับแนวโน้มในปี 2568 คาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมจะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจาก มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ เช่น โครงการแจกเงิน 10,000 บาท เพื่อเพิ่มกำลังซื้อให้กับประชาชนกลุ่มเปราะบาง รวมทั้งภาคการท่องเที่ยวฟื้นตัว รัฐบาลมีมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยประกาศ 93 ประเทศได้รับสิทธิฟรีวีซ่า เที่ยวไทยได้ 60 วัน อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการยังมีความกังวลต่อปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และการเข้าถึง แหล่งเงินทุนของผู้ประกอบการ SMEs

ที่มา : สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

11

การค้าต่างประเทศของไทย

?การค้าต่างประเทศของไทย ปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) ขยายตัวร้อยละ 5.75 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) ตามการฟื้นตัวของภาคการผลิตและภาคบริการของประเทศเศรษฐกิจหลัก เช่น สหรัฐ ฯ และจีน ส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าของประเทศต่าง ๆ กลับมาขยายตัวในเกณฑ์ดี รวมทั้งเงินเฟ้อ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง ส่งผลให้ธนาคารกลางเศรษฐกิจหลักส่วนใหญ่มีแนวโน้มที่จะผ่อนคลายนโยบายการเงิน อย่างค่อยเป็นค่อยไปมากขึ้น?

การค้าระหว่างประเทศของไทยปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) มีมูลค่าทั้งสิ้น 507,547.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าการส่งออก 250,398.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 4.94 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) และมูลค่าการนำเข้า 257,149.22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 6.55 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) ดุลการค้าปี 2567 ขาดดุล 6,751.18 ล้านเหรียญสหรัฐฯ

โครงสร้างการส่งออกสินค้า

การส่งออกสินค้าของไทยปี 2567 มีมูลค่า 250,398.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว ร้อยละ 4.94 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) โดยหมวดสินค้าหลักมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ สินค้าเกษตรกรรม มีมูลค่าการส่งออก 24,496.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 7.37 (YOY) สินค้าอุตสาหกรรมการเกษตร มีมูลค่าการส่งออก 19,695.76 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 3.37 (YOY) สินค้าอุตสาหกรรม มีมูลค่าการส่งออก 197,005.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 5.23 (YOY) สินค้าแร่และเชื้อเพลิงมีมูลค่าการส่งออก 9,200.29 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 3.51 (YOY)

12

ตลาดส่งออกสินค้า

ปี 2567 ไทยมีสัดส่วนการส่งออกสินค้าไปยังตลาดคู่ค้าหลักรวม 5 ตลาด ได้แก่ สหรัฐอเมริกา อาเซียน จีน สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) และญี่ปุ่น คิดเป็นร้อยละ 51.10 และสัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 48.90 ของการส่งออกทั้งหมด มีรายละเอียด ดังนี้

?

ไทยมีสัดส่วนมูลค่าการส่งออกไปสหรัฐอเมริกา อาเซียน จีน สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) และญี่ปุ่น ร้อยละ 16.40, 14.70, 7.00, 7.00 และ 6.00 ตามลำดับ

?

ไทยมีมูลค่าการส่งออก 250,398.04 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 4.94 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) โดย สหภาพยุโรป (27 ประเทศ) ขยายตัวสูงที่สุด ร้อยละ 14.57 รองลงมา คือ จีน ขยายตัวร้อยละ 7.83 และอาเซียน ขยายตัวร้อยละ 6.76 ส่วนประเทศที่การส่งออกหดตัว คือ ญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ 8.71

โครงสร้างการนำเข้าสินค้า

การนำเข้าสินค้าของไทยปี 2567 มีมูลค่า 257,149.22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 6.55 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) โดยหมวดสินค้าหลักมีการเปลี่ยนแปลง ดังนี้ สินค้าเชื้อเพลิง มีมูลค่าการนำเข้า 43,717.35 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 0.59 (YOY) สินค้าทุน มีมูลค่าการนำเข้า 63,842.28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 11.32 (YOY) สินค้าวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูป มีมูลค่า การนำเข้า 106,859.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 11.32 (YOY) สินค้าอุปโภคบริโภค มีมูลค่า การนำเข้า 29,208.72 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 5.67 (YOY) ยานพาหนะและอุปกรณ์การขนส่ง มีมูลค่าการนำเข้า 9,971.70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 25.51 (YOY) และสินค้าหมวดอาวุธ ยุทธปัจจัยและสินค้าอื่น ๆ มีมูลค่าการนำเข้า 3,549.28 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 0.76 (YOY)

13

ตลาดนำเข้าสินค้า

ปี 2567 ไทยมีสัดส่วนการนำเข้าสินค้าหลัก รวม 5 ตลาด ได้แก่ จีน อาเซียน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) คิดเป็นร้อยละ 64.20 และการนำเข้าจากตลาดอื่น ๆ คิดเป็นร้อยละ 35.80 ของการนำเข้าทั้งหมด มีรายละเอียด ดังนี้

?

ไทยมีสัดส่วนการนำเข้าจากจีน อาเซียน ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา และสหภาพยุโรป (27 ประเทศ) มีสัดส่วนร้อยละ 25.60, 16.40, 9.40, 6.50 และ 6.30 ตามลำดับ

?

ไทยมีมูลค่าการนำเข้า 257,149.22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 6.55 เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน (YOY) โดยจีน ขยายตัวสูงสุดร้อยละ 11.91 รองลงมา คือ สหรัฐอเมริกา ขยายตัวร้อยละ 3.66 และอาเซียน ขยายตัวร้อยละ 3.45 ส่วนประเทศที่การนำเข้าหดตัวสูงสุด คือ ญี่ปุ่น หดตัวร้อยละ 9.18 รองลงมา คือ สหภาพยุโรป หดตัวร้อยละ 2.99

14

เศรษฐกิจโลก ปี 2567

เศรษฐกิจโลกปี 2567 มีแนวโน้มเติบโตแต่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีก่อนโควิด-19 เนื่องจากปัจจัย เชิงบวกจากการเปิดประเทศและมาตรการกระตุ้นช่วงโควิด-19 ทยอยหมดลง ขณะที่ผลเชิงลบจากปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่อง เช่น การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ภาวะภัยแล้งจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ สงครามรัสเซีย-ยูเครน และความตึงเครียดในตะวันออกกลาง การแบ่งขั้วทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และจีน การใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยสูงในหลายประเทศ ส่งผลต่อต้นทุนและภาระหนี้ของภาครัฐและภาคเอกชน อย่างไรก็ดี แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อมีทิศทางปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องเป็นผลจากการดำเนินนโยบายการเงิน โดยการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องและยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับสูงในช่วงที่ผ่านมา

สรุปเครื่องชี้ภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่สำคัญ ปี 2567

GDP (JAN-SEP)

Inflation

(OCT)

MPI

(JAN-SEP)

Export (JAN-SEP)

Unemp.Rate (OCT)

Policy Rate

(OCT) สหรัฐฯ 2.9 2.6 -0.3 2.2 4.1 At 4.75-5.00

จีน

4.9

0.3

4.9

4.3

5.0

At 3.10 ญี่ปุ่น -0.5 2.3 -2.8 -1.9 2.5 At 0.25

มาเลเซีย

5.1

1.9

4.3

2.7

3.2

At 3.0 เวียดนาม 6.7 2.9 9.4 15.3 2.3 At 3.0

ไทย

2.3

0.8

-1.6

4.1

1.0

At 2.25

ที่มา: ceicdata, https://www.nesdc.go.th, https://tradingeconomics.com

สถานการณ์ราคาน้ำมันดิบ คาดว่ายังคงเคลื่อนไหวในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้น้ำมันโลกที่ได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจจีนที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร แม้รัฐบาลจีนจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี คาดว่าตลาดยังได้รับแรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ มีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ย ภายหลังอัตราเงินเฟ้อยังคงมีแนวโน้มเป็นขาลง แต่ยังคงต้องติดตามนโยบาย America First ของประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ ที่มุ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐฯ ตลอดจนการค้าระหว่างประเทศที่เข้มงวดอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคปรับตัวสูงขึ้นและอาจทำให้ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นซึ่งจะกระทบต่อทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปีหน้า

เศรษฐกิจโลกในปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวจากปีก่อน เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำและแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้หลายประเทศเศรษฐกิจสำคัญมีแนวโน้มปรับตัว ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มขยายตัวลดลงตามการชะลอตัวของภาคการผลิตอุตสาหกรรมและ การลงทุนภาคเอกชน เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนที่คาดว่าจะชะลอตัวลงแม้ว่าจะมีแรงสนับสนุนจากมาตรการฟื้นฟู รวมทั้งต้องเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เช่น นโยบายกีดกัดการค้าของสหรัฐฯ สถานการณ์สงครามที่ยังไม่คลี่คลาย ในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งส่งผลต่อราคาพลังงานเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลกโดยตรง

2

15

ส่วนที่ 2 เศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยรายสาขา ปี 2567

และแนวโน้ม ปี 2568

16

อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

ที่มา : สานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

* คาดการณ์ปี 2567 โดยสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ปริมาณการบริโภคในประเทศและมูลค่าการนาเข้า

ที่มา : สานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและสถาบันเหล็กและเหล็กกล้า แห่งประเทศไทย

* คาดการณ์ปี 2567 โดยสานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ปี 2567* คาดว่า หดตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม อยู่ที่ 83.3 หดตัวร้อยละ 2.6 (%YoY) ซึ่งหดตัวทั้งผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวที่หดตัว เช่น เหล็กเส้นกลม เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรีดร้อน เหล็กลวด และลวดเหล็ก สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบนที่หดตัว เช่น เหล็กแผ่น รีดร้อนชนิดม้วน และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี จากการนำเข้าเหล็กที่มีราคาถูกจากต่างประเทศ

การบริโภคในประเทศ ปี 2567* คาดว่า มีปริมาณ 16.2 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 0.6 (%YoY) ซึ่งหดตัวทั้งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็ก ทรงแบน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวทุกประเภทมี การบริโภคหดตัว สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบนมีการบริโภคหดตัว โดยเฉพาะเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี และเหล็กแผ่นเคลือบประเภทอื่น ๆ ซึ่งใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง เป็นหลัก

การนำเข้า ปี 2567* คาดว่ามีมูลค่า 10.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวร้อยละ 4.5 (%YoY) โดยหดตัวทั้งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็ก ทรงแบน โดยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวที่มีมูลค่านำเข้าหดตัว เช่น เหล็กเส้น เหล็กลวด และท่อเหล็ก ไร้ตะเข็บที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง สำหรับผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน ที่มีมูลค่านำเข้าหดตัว เช่น เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี และท่อเหล็กมีตะเข็บที่ใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง

แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ปี 2568

แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กในปี 2568 คาดการณ์ว่า การผลิตจะขยายตัวร้อยละ 1.0 เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับการบริโภคเหล็กปี 2568 คาดว่ามีปริมาณ 16.6 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 2.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน การผลิตและการบริโภคขยายตัว โดยมีปัจจัยจากการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐและภาคเอกชน ทั้งนี้ มีประเด็นสำคัญที่ต้องติดตาม เช่น นโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่จะกระทบสินค้าส่งออกของประเทศจีน และการดำเนินนโยบายอุตสาหกรรมเหล็กของจีน ซึ่งเป็นผู้ผลิต ผู้บริโภค และ ผู้ส่งออกเหล็กรายใหญ่ของโลก เนื่องจากจะส่งผลต่อปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศ

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ปี 2567* หดตัวเมื่อเทียบกับปี 2566 โดยหดตัว ทั้งผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวที่หดตัว เช่น เหล็กเส้นกลม เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรีดร้อน เหล็กลวด และลวดเหล็ก และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบนที่หดตัว เช่น เหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี 19.3 18.6

16.5

18.6

16.4 16.3 16.2

10.9 10.3

8.2

12.9

12.8

11.1 10.6

0.0

5.0

10.0

15.0

20.0

0.0

5.0

10.0

15.0

20.0

2561 2562 2563 2564 2565 2566 2567*

ปริมาณการบริโภคในประเทศ มูลค่าการนา เข้า

มูลค่าการนาเข้า (พันล้านเหรียญสหรัฐ)

ปริมาณการบริโภคในประเทศ (ล้านตัน)

107.0

96.2

89.3

102.1

91.1

85.5

83.3

70

80

90

100

110

120

2561 2562 2563 2564 2565 2566 2567*

17

อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า

แนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าของปี 2568

สำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2568 คาดว่าจะมีการผลิตขยายตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากการเติบโตของเทคโนโลยี 5G และแนวโน้มของธุรกิจในภาคต่าง ๆ ที่ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคใช้อุปกรณ์อัจฉริยะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน ในขณะที่การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากความต้องการผลิตภัณฑ์และบริการสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าจากการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมใหม่ และสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนหรือผู้บริโภคมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่ยังไม่แน่นอน อาทิ การเปลี่ยนผู้นำประเทศใหม่อย่างเป็นทางการ และการสนับสนุนมาตรการตั้งกำแพงภาษีเพื่อลดการขาดดุลของสหรัฐอเมริกา อาจกระทบต่อนโยบายการค้าโลก อีกทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของจีนกับสหรัฐอเมริกา ที่อาจส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

ดัชนีผลผลิต มูลค่าการนำเข้า และมูลค่าการส่งออก เครื่องใช้ไฟฟ้า

ที่มา : ข้อมูลการผลิต : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก : สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

* คาดการณ์ปี 2567 โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

?

การผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า ปี 2567* ขยายตัว เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยมีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ 95.5 ขยายตัวร้อยละ 7.7 (%YoY) จากความต้องการของตลาดโลกที่ยังคงขยายตัวตามความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ทั้งนี้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า มอเตอร์ไฟฟ้า ตู้เย็น สายไฟฟ้า พัดลม และ คอมเพรสเซอร์ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.2, 16.2, 13.8, 11.9, 10.2, 10.1, 8.1 และ 0.1 ตามลำดับ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อต่างประเทศเพิ่มขึ้น ในขณะที่สินค้าปรับตัวลดลง ได้แก่ สายเคเบิ้ล เตาอบไมโครเวฟ กระติกน้ำร้อน และหม้อหุงข้าว ลดลงร้อยละ 19.1, 16.4, 10.6 และ 10.2 ตามลำดับ เนื่องจากมีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศลดลง

?

การจำหน่ายในประเทศ ในปี 2567* สินค้า ที่จำหน่ายในประเทศมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน ได้แก่ พัดลม เครื่องปรับอากาศ คอมเพรสเซอร์ และเตาอบไมโครเวฟ ขยายตัวร้อยละ 22.8, 13.5, 4.4 และ 0.2 ตามลำดับ ในขณะที่กระติกน้ำร้อน หม้อหุงข้าว ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า หดตัวร้อยละ 36.5, 11.2, 8.2 และ 3.3 ตามลำดับ

การส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า ในปี 2567* มีมูลค่า 29,878.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากปีก่อน ร้อยละ 1.4 (%YoY) จากการส่งออกสินค้าไปตลาดอาเซียน สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น ได้แก่ มอเตอร์ไฟฟ้า พัดลม ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศ เพิ่มขึ้นร้อยละ 22.2, 14.9, 6.8, 5.2 และ 3.6 ตามลำดับ

?

การนำเข้าเครื่องใช้ไฟฟ้า ในปี 2567* มีมูลค่า 19,658.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากปีก่อน ร้อยละ 2.1 (%YoY) จากตลาดจีน และสหรัฐอเมริกาโดยนำเข้าสินค้าพัดลม เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า และตู้เย็น เพิ่มขึ้นร้อยละ 42.3, 39.8, 20.4 และ 17.6 ตามลำดับ

การผลิตสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในปี 2567* เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 ขยายตัวร้อยละ 7.7 จากสินค้าหม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องซักผ้า มอเตอร์ไฟฟ้า ตู้เย็น สายไฟฟ้า พัดลม และ คอมเพรสเซอร์ที่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากความต้องการของตลาดโลกที่ยังคงขยายตัวตามความต้องการซื้อสินค้าของผู้บริโภค และมีการส่งออกมอเตอร์ไฟฟ้า พัดลม ตู้เย็น เครื่องซักผ้า และเครื่องปรับอากาศเพิ่มขึ้น ในตลาดอาเซียน สหภาพยุโรป และสหรัฐอเมริกา

18

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

ดัชนีผลผลิต มูลค่าการนำเข้า และมูลค่าการส่งออก อิเล็กทรอนิกส์

ที่มา : ข้อมูลการผลิต : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ข้อมูลการนำเข้า-ส่งออก : สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์

* คาดการณ์ปี 2567 โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

?

การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2567* มีดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 64.1 หดตัวจากปีก่อน ร้อยละ 8.3 (%YoY) โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการปรับตัวลดลง ได้แก่ IC, Semiconductor devices transistors, PCBA และ HDD ลดลงร้อยละ 20.7, 9.0, 8.6และ 3.7 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลมาจากความต้องการในตลาดโลกลดลง ประกอบกับเทคโนโลยีความจุต่อชิ้นที่มากขึ้นในขณะที่สินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น

ได้แก่ Printer และ PWB เพิ่มขึ้น ร้อยละ 23.7 และ 0.4 ตามลำดับ เนื่องจากนวัตกรรมและเทคโนโลยีการพิมพ์มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลายมากขึ้น

การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2567* มีมูลค่า 52,201.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 14.3 (%YoY) โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป จากการส่งออกสินค้า HDD, อุปกรณ์กึ่งตัวนำ (ไม่รวมวงจรรวม), เครื่องพิมพ์ เครื่องทำสำเนา และส่วนประกอบ และวงจรพิมพ์ (Printed Circuit) เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.3, 14.2, 11.7 และ 1.5 ตามลำดับ เนื่องจากการขยายตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ประกอบกับการพัฒนาเทคโนโลยี นวัตกรรมการจัดเก็บข้อมูลขนาดใหญ่และจำนวนมาก

การนำเข้าสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2567* มีมูลค่า 62,693.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวจากปีก่อนร้อยละ 35.6 (%YoY) จากตลาดอาเซียน จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา โดยนำเข้าสินค้าวงจรพิมพ์ วงจรรวม อุปกรณ์กึ่งตัวนำ (ไม่รวมวงจรรวม) และเครื่องพิมพ์ เครื่องทำสำเนา และส่วนประกอบ เพิ่มขึ้นร้อยละ 53.3, 34.9, 18.8 และ 15.6 ตามลำดับ

แนวโน้มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2568

สำหรับอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ในปี 2568 คาดว่าจะมีการผลิตหดตัวเล็กน้อย เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการชะลอตัวของกลุ่มสินค้าเซมิคอนดักเตอร์ ประกอบกับยังคงมีปริมาณสินค้าคงคลังอยู่ค่อนข้างมาก อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์คาดว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากแนวโน้มความต้องการใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นเพื่อใช้ใน การพัฒนาและเปลี่ยนผ่านโครงสร้างพื้นฐานให้สามารถรองรับเทคโนโลยี IoT (Internet of Thing) รวมทั้งการเติบโตของธุรกิจ Data Center 38,003.30 35,737.08 36,028.12

43,673.13

45,962.55 46,222.10

62,693.82

38,063.29 35,700.24 35,761.79

42,041.40 44,856.83 45,684.54 52,201.23

-

10,000.00

20,000.00

30,000.00

40,000.00

50,000.00

60,000.00

70,000.00

2561 2562 2563 2564 2565 2566 2567*

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

มูลค่าการนำเข้า มูลค่าการส่งออก

การผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ในปี 2567* หดตัวร้อยละ 8.3 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2566 โดยปรับตัวลดลงในสินค้า IC, Semiconductor devices transistors, PCBA และ HDD เป็นผลมาจากความต้องการ ในตลาดโลกลดลง ประกอบกับเทคโนโลยีความจุต่อชิ้นที่มากขึ้น ในขณะที่มีการส่งออกสินค้า HDD ,อุปกรณ์ กึ่งตัวนำ (ไม่รวมวงจรรวม), เครื่องพิมพ์ เครื่องทำสำเนา และส่วนประกอบ และวงจรพิมพ์ (Printed Circuit) เพิ่มขึ้นในตลาดสหรัฐอเมริกา จีน และยุโรป

19

อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์

อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รวบรวมกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์

สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

*คาดการณ์จากกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร

* คาดการณ์จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

?

การผลิตรถยนต์

ปี 2567* คาดว่า มีปริมาณการผลิตรถยนต์ จำนวน 1,500,000 คัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปริมาณการผลิตจำนวน 1,841,663 คัน ลดลงร้อยละ 18.55 และปริมาณการผลิตต่ำสุดในรอบ 4 ปี ทั้งนี้ การผลิตรถยนต์สามารถแบ่งเป็นแต่ละประเภทได้ ดังนี้ การผลิตรถยนต์นั่ง ร้อยละ 35 รถกระบะ 1 ตันและอนุพันธ์ ร้อยละ 63 และรถยนต์เพื่อการพาณิชย์อื่น ๆ ร้อยละ 2

การจำหน่ายรถยนต์ในประเทศ

?

ปี 2567* คาดว่า มีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์ในประเทศจำนวน 450,000 คัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีปริมาณการจำหน่าย จำนวน 775,780 คัน ลดลงร้อยละ 42.00 โดยแบ่งเป็นการจำหน่ายรถยนต์นั่ง ร้อยละ 39 รถกระบะ 1 ตัน และอนุพันธ์ ร้อยละ 55 และรถยนต์เพื่อ การพาณิชย์อื่น ๆ ร้อยละ 6

?

การส่งออกรถยนต์

?

ปี 2567* คาดว่า มีปริมาณการส่งออกรถยนต์ (CBU) จำนวน 1,050,000 คัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซี่งมีปริมาณการส่งออกจำนวน 1,117,539 คัน ลดลงร้อยละ 6.04

?

มูลค่าการส่งออกของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์

ปี 2567* คาดว่า มูลค่าการส่งออกส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีมูลค่า 10,051 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งอยู่ในระดับใกล้เคียงเดิม ตลาดส่งออกที่สำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

?

มูลค่าการนำเข้าของส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ปี 2567* คาดว่า มูลค่าการนำเข้าของส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ 7,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ซี่งมีมูลค่า 8,364 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลงร้อยละ 10.33 เนื่องจากการชะลอตัวของตลาด ในประเทศ โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญของส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน และสหรัฐอเมริกา

แนวโน้มอุตสาหกรรมรถยนต์ ปี 2568

สำหรับการประมาณการจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม คาดว่า จะมีการผลิตรถยนต์ประมาณ 1,600,000 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.25 โดยจะเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ ประมาณร้อยละ 40-45 และการผลิต เพื่อการส่งออก ร้อยละ 55-60

2,013,710

1,427,074

1,685,705

1,883,515 1,841,663

1,500,000

1,007,552

792,146 743,787

849,388 775,780

450,000

1,054,103

735,842

959,194 1,000,256

1,117,539 1,050,000

2562 2563 2564 2565 2566 2567*

การผลิต จาหน่าย และส่งออก รถยนต์ (คัน)

การผลิต การจาหน่าย การส่งออก

9,518

7,831

10,169

9,835 10,051 10,000

11,507

9,012

11,334

8,225 8,364 7,500

2562 2563 2564 2565 2566 2567*

มูลค่าการส่งออกและนาเข้าส่วนประกอบและอุปกรณ์รถยนต์

(ล้านเหรียญสหรัฐ)

มูลค่าการส่งออก มูลค่าการนาเข้า

อุตสาหกรรมรถยนต์ในปี 2567* ปริมาณการผลิตลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็น การลดลงของตลาดในประเทศเป็นสำคัญ เนื่องจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และ คาดว่าปริมาณการส่งออกลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

หลังจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่เริ่มดีขึ้น

โควิด-19

20

อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม รวบรวมกลุ่มอุตสาหกรรม

ยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

*คาดการณ์จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัด

กระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือของกรมศุลกากร

* คาดการณ์จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

?

การผลิตรถจักรยานยนต์

ปี 2567 คาดว่า ปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์ของประเทศไทยมีจำนวน 1,800,000 คัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการผลิตจำนวน 2,120,738 คัน ลดลงร้อยละ 15.12

การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ในประเทศ

ปี 2567 คาดว่า ปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ของประเทศไทย มีจำนวน 1,500,000 คัน เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีการจำหน่ายจำนวน 1,856,814 คัน ลดลงร้อยละ 19.22

การส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD)

ปี 2567* คาดว่า ปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU&CKD) ของประเทศไทย มีจำนวน 750,000 คัน (เป็นการส่งออก CBU จำนวน 400,000 คัน และ CKD จำนวน 350,000 ชุด) เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน ซึ่งมีการส่งออกจำนวน 822,608 คัน (เป็น การส่งออก CBU จำนวน 470,474 คัน และ CKD จำนวน 352,134 ชุด) ลดลงร้อยละ 8.83

มูลค่าการส่งออกของส่วนประกอบรถจักรยานยนต์

ปี 2567* มูลค่าการส่งออกของส่วนประกอบรถจักรยานยนต์ 880 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซี่งมีมูลค่า 801 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.86 ตลาดส่งออกที่สำคัญ ได้แก่ ญี่ปุ่น กัมพูชา และบราซิล

?

มูลค่าการนำเข้าของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์และรถจักรยาน

?

ปี 2567* คาดว่า มูลค่าการนำเข้าของส่วนประกอบและอุปกรณ์รถจักรยานยนต์และรถจักรยาน 800 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของ ปีก่อน ซี่งมีมูลค่า 952ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง ร้อยละ 15.97 ตลาดนำเข้าที่สำคัญ ได้แก่ สหรัฐฯ ญี่ปุ่นและจีน

แนวโน้มอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ ปี 2568

สำหรับการประมาณการจากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม คาดว่า จะมีการผลิตรถจักรยานยนต์ประมาณ 2,000,000 คัน หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 11.11 โดยจะเป็นการผลิตเพื่อจำหน่าย ในประเทศประมาณ ร้อยละ 85-90 และการผลิตเพื่อการส่งออก ร้อยละ 10-15 1,948,480

1,615,319

1,780,654

2,015,940

2,120,738

1,800,000

1,718,587

1,516,096 1,606,481

1,792,016 1,856,814

1,500,000

948,839

727,152

965,967 1,034,840

822,608 750,000

2562 2563 2564 2565 2566 2567*

การผลิต จาหน่าย และส่งออก รถจักรยานยนต์ (คัน)

การผลิต การจาหน่าย การส่งออก

835

712

973 930

801

880

660

671

1,035 1,147

952

800

2562 2563 2564 2565 2566 2567*

มูลค่าการส่งออกและนาเข้า ส่วนประกอบและอุปกรณ์

รถจักรยานยนต์

(ล้านเหรียญสหรัฐ)

มูลค่าการส่งออก มูลค่าการนำเข้า

อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ปี 2567* คาดว่า การผลิตรถจักรยานยนต์หดตัว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นการลดลงของตลาดในประเทศเป็นสำคัญ เนื่องจากความเข้มงวดของการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และคาดว่า ปริมาณการส่งออกลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

21

อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์

การผลิตและการจำหน่าย

ดัชนีผลผลิต ? ดัชนีการส่งสินค้า

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ปี 2567* เป็นตัวเลขคาดการณ์

ดัชนีผลผลิต ปี 2567* อยู่ที่ระดับ 100.39 คาดว่าขยายตัวร้อยละ 6.36 เมื่อเทียบกับปี 2566 โดยผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลทำให้ดัชนีผลผลิตขยายตัวมากที่สุด ได้แก่ ปุ๋ยเคมี ขยายตัวร้อยละ 20.29 แป้งฝุ่น ขยายตัวร้อยละ 17.27 และน้ำยาทำ ความสะอาด ขยายตัวร้อยละ 3.65 ตามลำดับ

ดัชนีการส่งสินค้า ปี 2567* อยู่ที่ระดับ 88.94 คาดว่า ขยายตัวร้อยละ 2.59 เมื่อเทียบกับ ปี 2566 โดยผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าขยายตัวมากที่สุด ได้แก่ แก๊สไฮโดรเจน ขยายตัวร้อยละ 18.21 ปุ๋ยเคมี ขยายตัวร้อยละ 15.19 และแป้งฝุ่น ขยายตัวร้อยละ 14.73 ตามลำดับ

การส่งออกผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ ปี 2567* คาดว่า มีมูลค่า 10,117.88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 6.26 เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกขยายตัว เช่น เคมีภัณฑ์อินทรีย์ ขยายตัวร้อยละ 21.88 เครื่องสำอาง ขยายตัว ร้อยละ 10.29 และสี ขยายตัวร้อยละ 6.18

การนำเข้าผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ ปี 2567* คาดว่า มีมูลค่า 19,248.27 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว ร้อยละ 4.48 เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว ได้แก่ ปุ๋ยเคมี ขยายตัวร้อยละ 29.94 สารลดแรงตึงผิว ขยายตัวร้อยละ 11.12 และเครื่องสำอาง ขยายตัวร้อยละ 8.95

มูลค่าการส่งออก ? มูลค่าการนำเข้า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจาก

กรมศุลกากร ปี 2567* เป็นตัวเลขคาดการณ์

แนวโน้มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ปี 2568

อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ปี 2568 คาดว่าดัชนีผลผลิตและการส่งออกสินค้าของอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์หดตัวเล็กน้อย เนื่องจากสถานการณ์ราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวน อีกทั้งการแข่งขันในตลาดโลกที่สูงขึ้น อันเนื่องมาจากหลายประเทศ อาทิเช่น จีน และประเทศในกลุ่มตะวันออกกลาง มีการเร่งกำลังการผลิตสินค้า เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวมีการชะลอตัวเพื่อดูแนวโน้มต้นทุนการผลิตและแนวโน้ม ตลาดหลัก

อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์ ปี 2567* โดยภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัว เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2566 อันเนื่องมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกหลังจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การเติบโตของอุตสาหกรรมปลายน้ำ และการเพิ่มขึ้นของความต้องการในภูมิภาคอาเซียน อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบมีความผันผวน จากผลพวงสงครามรัสเซีย-ยูเครน ทำให้ผู้ประกอบการบางรายชะลอการผลิตเพื่อดูแนวโน้มราคาต้นทุน

22

อุตสาหกรรมพลาสติก

การผลิตและการจำหน่าย

ดัชนีผลผลิต ? ดัชนีการส่งสินค้า

ดัชนีผลผลิต ปี 2567* อยู่ที่ระดับ 97.59 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.74 เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตขยายตัว เช่น บรรจุภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 28.44 พลาสติกแผ่น ขยายตัวร้อยละ 9.80 และแผ่นฟิล์มพลาสติก ขยายตัวร้อยละ 7.36

ดัชนีการส่งสินค้า ปี 2567* อยู่ที่ระดับ 98.47 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.97 เมื่อเทียบกับ ปี 2566 โดยผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าขยายตัว คือ บรรจุภัณฑ์พลาสติกอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 19.39 แผ่นฟิล์มพลาสติก ขยายตัวร้อยละ 9.26 และถุงพลาสติก ขยายตัวร้อยละ 8.40

การส่งออกผลิตภัณฑ์พลาสติก ปี 2567* คาดว่าจะมีมูลค่า 4,526.23 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว ร้อยละ 6.64 เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการส่งออกขยายตัวเช่น พลาสติกปูพื้น ปิดผนังหรือเพดาน (HS 3918) ขยายตัวร้อยละ 48.28 และหลอดหรือท่อและท่ออ่อน (HS 3917) ขยายตัวร้อยละ 32.56

การนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก ปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่า 5,484.38 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว ร้อยละ 7.65 เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว เช่น เครื่องประกอบของอาคารทำด้วยพลาสติก (HS 3925) ขยายตัว ร้อยละ 33.27 และหลอดหรือท่อและท่ออ่อน (HS 3917) ขยายตัวร้อยละ 28.09

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ปี 2567* เป็นตัวเลขคาดการณ์

มูลค่าการส่งออก ? มูลค่าการนาเข้า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจาก

กรมศุลกากร ปี 2567* เป็นตัวเลขคาดการณ์

แนวโน้มอุตสาหกรรมพลาสติก ปี 2568

อุตสาหกรรมพลาสติก ปี 2568 คาดว่าดัชนีผลผลิตของอุตสาหกรรมพลาสติกหดตัวเล็กน้อย อันเนื่องมาจากราคาน้ำมันดิบมีแนวโน้มผันผวน ทั้งนี้ยังมีความท้าทายจากการแข่งขันจากคู่แข่งสำคัญในตลาดพลาสติกระดับโลก อาทิ จีนและอินเดีย นอกจากนี้กฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการ ต้องปรับตัวหันไปใช้วัตถุดิบที่เป็นชีวภาพทดแทนเพิ่มขึ้น พัฒนาเทคโนโลยีและนวัตกรรมในกระบวนการผลิตให้ทันต่อกระแสสิ่งแวดล้อมและความท้าทายในตลาดโลก

อุตสาหกรรมพลาสติกภาพรวมปี 2567* มีแนวโน้มเติบโต โดยได้รับแรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ความต้องการพลาสติกที่เพิ่มมากขึ้นในภูมิภาคอาเซียน และการส่งเสริมพลาสติกชีวภาพ อย่างไรก็ตาม ความ ท้าทายจากกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมและราคาวัตถุดิบที่ผันผวนเป็นปัจจัยทำให้การนำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติก มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปี 2566 ส่งผลให้ผู้ประกอบการบางกลุ่มมีการชะลอ การผลิต เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการนำเข้าสินค้าที่เพิ่มขึ้น

23

อุตสาหกรรมปิโตรเคมี

ดัชนีผลผลิต ? ดัชนีการส่งสินค้า

การผลิตและการจำหน่าย

ดัชนีผลผลิต ปี 2567* คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.42 เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นและขั้นปลายที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตขยายตัว คือ Propylene ขยายตัวร้อยละ 3.85 และ PET resin ขยายตัวร้อยละ 11.83 ขณะที่ PLA ขยายตัวร้อยละ 60.24 จากวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นและความต้องการที่ขยายตัวต่อเนื่อง

ดัชนีการส่งสินค้า ปี 2567* คาดว่าจะขยายตัว ร้อยละ 0.56 เมื่อเทียบกับปี 2566 ซึ่งเกือบ ทุกผลิตภัณฑ์ โดยผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นและ ขั้นปลายที่ส่งผลให้ดัชนีการส่งสินค้าขยายตัวมากที่สุด คือ Toluene และ PET Resin ขยายตัวร้อยละ 29.18 และ 12.32

การส่งออกผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ปี 2567* คาดว่าจะมีมูลค่า 10,473.44 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 0.56 เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นและขั้นปลายที่มีมูลค่าการส่งออกขยายตัว เช่น Ethylene ขยายตัวร้อยละ 28.15 และ PET resin ขยายตัวร้อยละ 5.95

การนำเข้าผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมี ปี 2567* คาดว่าจะมีมูลค่า 6,228.83 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 5.88 เมื่อเทียบกับปี 2566 ผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นต้นและขั้นปลายที่มีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว คือ Paraxylene ขยายตัวร้อยละ122.46 และ PE resin ขยายตัวร้อยละ 18.57

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ปี 2567* เป็นตัวเลขคาดการณ์

มูลค่าการส่งออก ? มูลค่าการนำเข้า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร

สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจาก

กรมศุลกากร ปี 2567* เป็นตัวเลขคาดการณ์

แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ปี 2568

อุตสาหกรรมปิโตรเคมี ปี 2568 ดัชนีผลผลิตคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2?5 การส่งออกผลิตภัณฑ์ ปิโตรเคมีคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 3-5 เมื่อเทียบกับปี 2567 แนวโน้มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ปี 2568 คาดว่าจะขยายตัวจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวจากผลของเงินเฟ้อที่ลดลง แม้ว่าการปรับราคาน้ำมันและอาหารยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นของตลาดโลก ประกอบกับการลงทุนที่คาดว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากการลดอัตราดอกเบี้ย และทิศทางค่าเงินบาทยังคงอ่อนค่าเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ แต่จากการที่ตลาดเริ่มฟื้นตัว แต่ด้วยกระแสรักษ์สิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการในผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีมีแนวโน้มทรงตัวหรือชะลอตัวลงเล็กน้อย ซึ่งส่งผลต่อการผลิตและการส่งออกเพิ่มขึ้นได้ไม่มากตามไปด้วย

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีภาพรวมปี 2567* คาดว่าดัชนีผลผลิตจะขยายตัวร้อยละ 2.42 เมื่อเทียบกับ ปี 2566 โดยคาดว่าการส่งออกจะขยายตัวร้อยละ 0.56 และการนำเข้าจะขยายตัวร้อยละ 5.88 เนื่องจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว และระดับภาวะเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ประกอบกับแนวโน้มการปรับอัตราดอกเบี้ยตามการลดอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐ ทำให้เกิดการขยายตัวของการลงทุนและการบริโภค

24

อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม

เยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม ปี 2567* คาดการณ์โดย สศอ.

การส่งออก-นำเข้าเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์

ที่มา : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กระทรวงพาณิชย์

มูลค่าการนำเข้า-ส่งออก ปี 2567* คาดการณ์โดย สศอ.

การผลิต

ในปี 2567* การผลิตเยื่อกระดาษ ผลิตภัณฑ์กระดาษและ

บรรจุภัณฑ์ เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน คาดว่าจะเพิ่มขึ้น

(+4.08%) (+5.45%) และ (0.68%) ตามลำดับ โดยกลุ่ม

เยื่อกระดาษกว่าร้อยละ 95 เป็นคำสั่งซื้อหลักจากประเทศจีน

สำหรับผลิตภัณฑ์กระดาษ ขยายตัวทั้งกระดาษลูกฟูก

กระดาษคร๊าฟต์ และกระดาษแข็ง ส่วนกลุ่มบรรจุภัณฑ์

กระดาษ ขยายตัวเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะจากตลาด

ในประเทศ

การส่งออก

การส่งออกเยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ

ในภาพรวมปี 2567* คาดว่า จะมีมูลค่าการส่งออกรวม

2,600.94 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวลงเล็กน้อย (-0.70%)

เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน จากกลุ่มเยื่อกระดาษ (-2.85%)

มีตลาดจีนเป็นประเทศคู่ค้าหลัก กลุ่มหนังสือและสิ่งพิมพ์

ชะลอตัว (-4.15%) ลดลงจากคำสั่งซื้อของตลาดคู่ค้า

ในอาเซียน และฮ่องกง ในขณะที่กลุ่มกระดาษและผลิตภัณฑ์

กระดาษ และบรรจุภัณฑ์กระดาษ ขยายตัวได้เล็กน้อย

(+0.40%) และ (1.75%) ตามลำดับ

การนำเข้า

การนำเข้าเยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์กระดาษ

ในภาพรวมปี 2567* มีมูลค่ารวม 3,540.65 ล้านเหรียญ

สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในทุกกลุ่ม ร้อยละ (7.37%) เมื่อเปรียบเทียบ

กับปีก่อน เพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มเยื่อกระดาษ กระดาษและผลิตภัณฑ์

กระดาษ และสิ่งพิมพ์ โดยกลุ่มกระดาษชำระมีการนำเข้า

เพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ (+14.20%) เนื่องจากราคานำเข้าถูกกว่า

ที่ผลิตได้ในประเทศ ส่งผลให้ผู้จำหน่ายหันไปนำเข้าแทน

การผลิตในประเทศ

แนวโน้มปี 2568

แนวโน้มในปี 2568 คาดว่า จะเป็นโอกาสดีของอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ แม้ว่าในปี 2567

สถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งการผลิต การส่งออก ตลาดส่งออก และราคาเยื่อกระดาษมีความผันผวนเป็นอย่างมาก ประกอบกับความ

ต้องการใช้ในประเทศที่อาจจะยังฟื้นกลับมาได้ไม่เต็มที่นัก มีแนวโน้มเติบโตชะลอตัวลงสู่ระดับที่ใกล้เคียงกับการขยายตัวทาง

เศรษฐกิจ (GDP growth) และแรงกดดันจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่คาดว่าภาคส่งออกจะกลับมาขยายตัวได้จาก

กลุ่มเยื่อกระดาษและผลิตภัณฑ์ที่ประเทศผู้นำเข้าหลักอย่างจีน ยังนำเข้าต่อเนื่อง รวมถึงการค้าจะขยายตัวได้ในอาเซียน

แต่ผู้ประกอบการยังต้องติดตามสถานการณ์จากปัจจัยลบต่าง ๆ ทั้งจากความตึงเครียดทางการค้าที่อาจรุนแรงขึ้น และความไม่แน่นอน

ของนโยบายการค้าของสหรัฐอเมริกาที่รุมเร้า ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนราคาวัตถุดิบบรรจุภัณฑ์ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องได้

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกับทุกภาคส่วนออกกฎหมาย Extended Producer

Responsibility (EPR) ฉบับใหม่ เพื่อเก็บกลับบรรจุภัณฑ์ใช้แล้วนำมารีไซเคิลและใช้ประโยชน์ตามหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน

เพื่อเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย ควบคู่กับการดูแลสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน คาดว่าจะสามารถประกาศบังคับใช้ได้

ภายในปี 2570 ซึ่งแนวทางการจัดการอย่างยั่งยืนนี้ คือการจัดการทรัพยากรที่ต้องนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่เพื่อลดการปลดปล่อย

ก๊าซเรือนกระจกและใช้ทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและความเป็นกลางทางคาร์บอน

ในปี 2593 และมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2608

60

70

80

90

100

110

120

2564 2565 2566 2567

2,485.43

3,412.36 3,490.52

3,297.68

3,540.65

1,927.85

2,430.42 2,427.18

2,619.20 2,600.94

500

1500

2500

3500

4500

2563 2564 2565 2566 2567

อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์ ในปี 2567* ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมรวมของอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ และผลิตภัณฑ์

กระดาษ ขยายตัวเพิ่มขึ้น สอดคล้องกับดัชนีการส่งสินค้า ตามคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นจากประเทศคู่ค้าหลัก สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมปี 2568

คาดว่า จะเป็นผลดีต่ออุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษและบรรจุภัณฑ์ ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสนับสนุนของอุตสาหกรรมอื่น ๆ จะเติบโตตาม

อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมอาหาร เครื่องมือแพทย์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนการซื้อขายผ่าน

ออนไลน์ เป็นต้น

25

อุตสาหกรรมเซรามิก

การผลิต จำหน่าย และส่งออกเซรามิก

ที่มา : 1. ปริมาณการผลิตและจำหน่ายภายในประเทศ :

กองสารสนเทศและดัชนีเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

2. มูลค่าการส่งออก : ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและ

การสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์

3. ปี 2567* คาดการณ์โดย สศอ.

การผลิต ปี 2567* กระเบื้องปูพื้น บุผนัง มีปริมาณ

การผลิต 111.31 ล้านตารางเมตร หดตัวจากปีก่อน ร้อยละ

8.20 (%YoY) ส่วนเครื่องสุขภัณฑ์ มีปริมาณการผลิต 5.82

ล น ช น ห ด ต ว จ ก ป ก อ น ร อ ย ล 1.54 (%YoY)

จากการชะลอตัวของตลาดในประเทศและคำสั่งซื้อที่ลดลง

จากการส่งออก

การจำหน่าย ปี 2567* กระเบื้องปูพื้น บุผนัง มีปริมาณ

การจำหน่าย 139.58 ล้านตารางเมตร หดตัวจากปีก่อน

ร้อยละ 6.65 (%YoY) ส่วนเครื่องสุขภัณฑ์ มีปริมาณ

การจำหน่าย 2.98 ล้านชิ้น หดตัวจากปีก่อน ร้อยละ 9.03

(%YoY) จากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ

ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาของสินค้าอุปโภคและ

บริโภค ต้นทุนด้านพลังงาน รวมทั้งค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่ม

สูงขึ้น

การส่งออก ปี 2567* กระเบื้องปูพื้น บุผนัง มีมูลค่า

การส่งออก 98.33 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัวจากปีก่อน

ร้อยละ 4.58 (%YoY) จากความต้องการและคำสั่งซื้อ

ที่ลดลงจากตลาดคู่ค้าในกลุ่มประเทศ CLMV ส่วน

เครื่องสุขภัณฑ์ มีมูลค่า 182.40 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หดตัว

จากปีก่อนเล็กน้อย ร้อยละ 0.32 (%YoY) จากกลุ่มประเทศ

CLMV และสหรัฐอเมริกา

แนวโน้มอุตสาหกรรมเซรามิก ปี 2568

การผลิตและการจำหน่ายเซรามิก จะทรงตัวหรืออาจลดลงตามความต้องการของตลาดในประเทศ

เนื่องจากกำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นราคาของสินค้าอุปโภค บริโภค

โดยเฉพาะต้นทุนวัตถุดิบและการผลิต รวมทั้งค่าครองชีพที่ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น ในส่วนการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวทั้ง

กระเบื้องและเครื่องสุขภัณฑ์ โดยตลาดหลักสำหรับการส่งออก ได้แก่ เมียนมา สปป.ลาว สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น แต่ยัง

มีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด คือ ราคาพลังงาน วัตถุดิบ อัตราเงินเฟ้อ และค่าครองชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น

ซึ่งอาจส่งผลต่อการผลิตและการจำหน่ายภายในประเทศ

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมเซรามิก

กระทรวงการคลังออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อเนื่อง ประกอบด้วย โครงการสินเชื่อ

ซื้อ-สร้างดอกเบี้ยพิเศษ เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคารหรือคอนโดมีเนียม ปลูกสร้างบ้าน หรือซื้อที่ดินพร้อมปลูกบ้าน และ

สิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อใช้ในการอยู่อาศัย และโครงการสินเชื่อซ่อม-แต่ง ดอกเบี้ยพิเศษ 3 ปี วงเงินกู้ไม่เกิน 1

แสนบาท เป็นสินเชื่อเพิ่มเพื่อต่อเติมหรือซ่อมแซมบ้าน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่เกี่ยวข้องกับที่อยู่อาศัย ซึ่งจะ

ส่งผลดีต่อยอดการผลิตและการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เซรามิกของตลาดภายในประเทศ

130.75 129.95

121.26

111.31

158.36 157.14

149.53

139.58

836.22

833.11

739.99

725.93

660.0

680.0

700.0

720.0

740.0

760.0

780.0

800.0

820.0

840.0

860.0

0.0

20.0

40.0

60.0

80.0

100.0

120.0

140.0

160.0

180.0

2564 2565 2566 2567

7.81

6.78

5.91 5.82

3.14 3.33 3.28

2.98

258.55

206.30

182.97 182.40

0.0

50.0

100.0

150.0

200.0

250.0

300.0

0.0

1.0

2.0

3.0

4.0

5.0

6.0

7.0

8.0

9.0

2564 2565 2566 2567

ปริมาณการผลิต และการจำหน่ายกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และเครื่องสุขภัณฑ์ ปี 2567* หดตัวจากการชะลอตัวของตลาดในประเทศ

ที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น รวมทั้งการลดลงของคำสั่งซื้อจากตลาดส่งออก สำหรับการส่งออกขยายตัว

จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นจากตลาดหลัก และคาดว่าปี 2568 จะขยายตัวได้เมื่อเทียบปีก่อน

26

อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

ปริมาณการผลิตและจำหน่าย

มูลค่าส่งออกและนำเข้าปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด)

ที่มา: 1. ปริมาณการผลิตและจำหน่ายภายในประเทศ: กองสารสนเทศและ ดัชนีเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) ปี 2567* (ตัวเลขคาดการณ์โดย สศอ.)

2. มูลค่าการส่งออก-นำเข้า: ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร สำนักงานปลัดกระทรวงพาณิชย์ และปี 2567* (ตัวเลขคาดการณ์โดย สศอ.)

การผลิตปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในปี 2567* มีปริมาณ 41.05 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 4.37 (%YoY) จากความต้องการในประเทศที่ลดลง (โครงการภาครัฐที่เบิกจ่ายงบประมาณล่าช้า ภาคอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว) และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นจากราคาพลังงานซึ่งเป็นปัจจัยการผลิตสำคัญของอุตสาหกรรม

การจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในปี 2567* มีปริมาณ 33.81 ล้านตัน ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 11.68 (%YoY) จากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มศักยภาพ ภาวะค่าครองชีพ และอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ทั้งโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยและโครงการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ชะลอตัว

การส่งออก-นำเข้าปูนซีเมนต์ (ไม่รวมปูนเม็ด) ในปี 2567* การส่งออกมีมูลค่า 128.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 17.03 (%YoY) จากเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว ผลกระทบจากสถานการณ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ และปัญหาภายในประเทศของคู่ค้ารายสำคัญ (เมียนมา) และการนำเข้ามีมูลค่า 64.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากปีก่อน ร้อยละ 19.27 (%YoY) จากอุปสงค์การใช้ปูนซีเมนต์ ในประเทศลดลง การชะลอตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงกำลังการผลิตภายในประเทศยังเพียงพอ

?

แนวโน้มอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ปี 2568

อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ปี 2568 มีปัจจัยบวกจาก 1) การลงทุนภาครัฐที่ฟื้นตัว (รถไฟความเร็วสูง มอเตอร์เวย์ และ EEC) และ 2) การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล รวมไปถึงอัตราดอกเบี้ยที่เริ่มทรงตัว แม้จะยังอยู่ในระดับสูงแต่มีความชัดเจน ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถวางแผนการลงทุนได้ มีปัจจัยลบจาก 1) เศรษฐกิจโลกยังมีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออก 2) ต้นทุนการผลิต โดยเฉพาะต้นทุนพลังงาน ทั้งนี้ มีประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) ประเด็นความยั่งยืนที่ให้ความสำคัญกับการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งกระทบให้เกิดต้นทุนทางการเงินส่วนเพิ่มต่ออุตสาหกรรม และ 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์และวัสดุทดแทน ซึ่งส่งผลให้ปูนซีเมนต์มีคุณภาพและความทนทานสูงขึ้น ใช้พลังงานในการผลิตน้อยลง รวมทั้งเป็นโอกาสในการสร้าง ตลาดใหม่ เช่น วัสดุทดแทนที่มีคุณสมบัติเฉพาะ

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

1) เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2567 กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม เริ่มดำเนินโครงการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตในประเทศไทย โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลแคนาดาและองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Industrial Development Organization: UNIDO) มีเป้าหมายในการประยุกต์เทคโนโลยี นวัตกรรม กระบวนการผลิต เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน และการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์

2) เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2567 คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ร้อยละ 2.25 ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายทรงตัวอยู่ในระดับสูง เกิดภาวะอุปทานชะลอตัวลงจากต้นทุนทางการเงินที่อยู่ในระดับสูง ในขณะที่อุปสงค์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ลดลง และโครงการก่อสร้างต่าง ๆ มีแนวโน้มที่จะชะลอตัว

3) เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2567 สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ระบุภายในงาน Thailand Green and Smart Mining Forum 2024 ยกระดับการทำเหมืองปูนซีเมนต์สู่การเป็น Smart and Green Mining ซึ่งเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีและการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ เพื่อมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 (ค.ศ. 2050)

4) เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 TCMA ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ดำเนินโครงการนำร่อง ?สระบุรีแซนด์บ็อกซ์? เพื่อเป็นต้นแบบจังหวัดที่เปลี่ยนผ่านอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไปสู่การใช้พลังงานสะอาด (พลังงานชีวมวล พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานเชื้อเพลิงจากขยะ) ตลอดจนการพัฒนาแนวทางธนาคารขยะ เพื่อเปลี่ยนผ่านจังหวัดสระบุรีสู่เมืองที่มีการปล่อยคาร์บอนต่ำ และอุตสาหกรรม สีเขียว

5) เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2567 TCMA ระบุภายในงาน Energy Symposium 2024 ส่งเสริมการใช้ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก ซึ่งปล่อยคาร์บอนต่ำในงานก่อสร้างทั่วประเทศ โดยมีแผนที่จะเริ่มยกเลิกการผลิตปูนซีเมนต์แบบเดิมที่มีการปล่อยคาร์บอนสูงภายในปี 2568

อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ปี 2567* เมื่อเทียบกับปีก่อน การผลิตลดลงจากอุปสงค์ในประเทศที่ลดลง และต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น การจำหน่ายในประเทศลดลงจากกำลังซื้อที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มศักยภาพ ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง การส่งออกลดลงตามภาวะเศรษฐกิจโลก การนำเข้าลดลงตาม อุปสงค์ในประเทศ อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ปี 2568 มีปัจจัยบวกจาก 1) การลงทุนของภาครัฐที่ฟื้นตัว และ 2) การฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยลบจาก 1) เศรษฐกิจโลกที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และ 2) ต้นทุนการผลิตจากราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูง และมีประเด็นที่ต้องติดตาม ได้แก่ 1) ประเด็นความยั่งยืน ที่อาจเป็นต้นทุนส่วนเพิ่มของอุตสาหกรรม และ 2) การพัฒนาผลิตภัณฑ์และวัสดุทดแทน 0

50

100

150

200

250

300

0

5

10

15

20

25

30

35

40

45

50

2564 2565 2566 2567 2568

(คาดการณ์)

ล้านเหรียญสหรัฐฯ

ล้านตัน

27

อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

*คาดการณ์ปี 2567 โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

การผลิต

เส้นใยสิ่งทอ ในปี 2567* คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.42 (YoY) ในกลุ่มเส้นใยประดิษฐ์ เส้นด้ายฝ้าย และเส้นด้ายจากเส้นใยประดิษฐ์ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เส้นใยโพลีเอสเตอร์ และเส้นใยเรยอน จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา และจีน เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย และมีคุณสมบัติพิเศษตาม ความต้องการของตลาดโลก

ผ้าผืน ในปี 2567* คาดว่าจะลดลงร้อยละ 10.61 (YoY) จากการบริโภคในประเทศที่ลดลงและจากคำสั่งซื้อที่ลดลงของประเทศคู่ค้า

เสื้อผ้าสำเร็จรูป ในปี 2567 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 2.91 (YoY) ในกลุ่มเครื่องแต่งกายทำจากผ้าทอ ทั้งเครื่องแต่งกายชั้นนอก โดยเฉพาะ เสื้อผ้ากีฬา เสื้อโปโล และเครื่องแต่งกายชั้นในสตรี และบุรุษ จากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศ โดยได้รับอานิสงส์จากมาตรการกีดกันทางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน

การจำหน่ายในประเทศ

กลุ่มเส้นใยสิ่งทอ ในปี 2567* คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.64 (YoY) เป็นผลจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมสิ่งทอมีการใช้วัตถุดิบ ในการผลิตสินค้าภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น

ผ้าผืน ในปี 2567* คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 4.39 (YoY) เป็นผลกระทบจากการปรับลดการซื้อวัตถุดิบ ลดกำลังการผลิต รวมถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง

เสื้อผ้าสำเร็จรูป ในปี 2567* คาดว่าจะหดตัวร้อยละ 6.26 (YoY) เนื่องจากผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าออนไลน์จากต่างประเทศซึ่งมีราคาย่อมเยามากขึ้น

การส่งออก

การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มภาพรวมปี 2567* คาดว่า จะมีมูลค่า 6,166.63 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.20 (YoY) หากพิจารณารายสินค้า พบว่าเส้นใยสิ่งทอ มีมูลค่า 1,584.88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 4.05 จากการส่งออกด้ายและ เส้นใยประดิษฐ์ไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ จีน สหรัฐอเมริกา ปากีสถาน เสื้อผ้าสำเร็จรูปมีมูลค่า 1,892.57 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 6.95 จากการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปทำจากใยประดิษฐ์ และเสื้อผ้าสำเร็จรูปทำจากวัตถุทออื่น ๆ เช่น เสื้อผ้ากีฬา เสื้อโปโล ไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และเบลเยียม จากทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลกที่ปรับตัวดีขึ้น

คาดการณ์แนวโน้ม ปี 2568

การผลิต เส้นใยสิ่งทอ โดยเฉพาะเส้นใยประดิษฐ์ และการผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ สำหรับการจำหน่ายในประเทศ คาดว่าจะขยายตัวเล็กน้อยจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้น ในส่วน การส่งออกสินค้าเส้นใยสิ่งทอ ผ้าผืน และเสื้อผ้าสำเร็จรูปยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์นโยบาย ด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ อาจเป็นปัจจัยกดดันที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าชะลอตัว รวมถึงติดตามกฎระเบียบ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศคู่ค้าอย่างสม่ำเสมอ เร่งยกระดับธุรกิจด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยีที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเพื่อก้าวข้ามข้อกีดกันทางการค้าในปัจจุบันและที่อาจเกิดขึ้นเพิ่มเติม

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

นโยบายของรัฐบาลปัจจุบันที่มุ่งสนับสนุนการสร้างพลังสร้างสรรค์ หรือ ซอฟต์พาวเวอร์ (Soft Power) ของประเทศ เพื่อยกระดับและพัฒนาด้านความรู้ ความสามารถ และความคิดสร้างสรรค์ของคนไทยให้สร้างมูลค่าและสร้างรายได้ รวมทั้งการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และพัฒนาต่อยอดศิลปะ วัฒนธรรม และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทยให้เข้มแข็งและผลักดันสู่ระดับโล

1,090,899.50 1,121,647.72 1,171,209.46

235,056.76

167,431.94 172,299.47

100,000.00

150,000.00

200,000.00

250,000.00

300,000.00

350,000.00

400,000.00

450,000.00

500,000.00

100,000.00

300,000.00

500,000.00

700,000.00

900,000.00

1,100,000.00

1,300,000.00

ปริมาณการผลิตเส้นใยสิ่งทอ และ เสื้อผ้าสาเร็จรูป

เส้นใยสิ่งทอ (ตัน) เสื้อผ้าสาเร็จรูป (พันชิ้น)

พันชิ้น

ตัน

1,718.42

1,523.19

1,584.88

2,128.27 1,769.60 1,892.57

-

500.00

1,000.00

1,500.00

2,000.00

2,500.00

ล้านเหรียญฯ มูลค่าการส่งออกเส้นใยสิ่งทอ และ เสื้อผ้าสาเร็จรูป

เส้นใยสิ่งทอ (MUSD) เสื้อผ้าสาเร็จรูป (MUSD)

สถานการณ์ปี 2567* ภาคการผลิตมีการขยายตัวในกลุ่มเส้นใยสิ่งทอ (เส้นใยประดิษฐ์ เส้นด้ายฝ้าย เส้นด้ายจากเส้นใยประดิษฐ์) และเสื้อผ้าสำเร็จรูป ด้านการจำหน่ายในประเทศขยายตัวจากกลุ่มเส้นใยประดิษฐ์ ทั้งนี้ คาดว่าแนวโน้มการผลิต จำหน่ายในประเทศจะขยายตัวโดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ประกอบกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ส่งผลให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับการส่งออกจะดีขึ้น จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา จีน ญี่ปุ่น และเบลเยียม

28

อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน

ปริมาณการผลิตและจาหน่ายเครื่องเรือนทาด้วยไม้

ในประเทศ (ล้านชิ้น)

ที่มา : สานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หมายเหตุ : *ค่าคาดการณ์

มูลค่าการส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์ไม้

(ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ที่มา : กระทรวงพาณิชย์ หมายเหตุ : *ค่าคาดการณ์

การผลิตเครื่องเรือนทำด้วยไม้ ปี 2567* คาดว่าจะมีปริมาณ 6.63 ล้านชิ้น ขยายตัวร้อยละ 14.46 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนเป็นผลจากการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ

การจำหน่ายเครื่องเรือนทำด้วยไม้ในประเทศ ปี 2567* คาดว่าจะมีปริมาณ 1.34 ล้านชิ้น ขยายตัวร้อยละ 13.00 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากคำสั่งซื้อร้านค้าปลีกที่เพิ่มขึ้น

การส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ ปี 2567* คาดว่าจะมีมูลค่ารวม 4,501.65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.39 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน แบ่งเป็น ไม้และผลิตภัณฑ์แผ่นไม้คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออก 3,262.03 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 2.58 ผลิตภัณฑ์ไม้ คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออก 158.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 0.12 ขณะที่เครื่องเรือนและชิ้นส่วน คาดว่าจะมีมูลค่าการส่งออก 1,080.75 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.49 ในภาพรวมมูลค่าการส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ปรับเพิ่มขึ้นจากอุปสงค์ความต้องการสินค้าใน กลุ่มไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก โดยเฉพาะความต้องการไม้แปรรูปในประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ จีน เวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดส่งออกสำคัญของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว

แนวโน้มอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน ปี 2568

การผลิตเครื่องเรือนทำด้วยไม้ในประเทศ ปี 2568 คาดการณ์ได้ว่า จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการผลิตเพื่อตอบสนองอุปสงค์ความต้องการของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในส่วนของปริมาณการจำหน่ายเครื่องเรือนทำด้วยไม้ ในประเทศคาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อร้านค้าปลีกภายในประเทศที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง สำหรับมูลค่า การส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์ไม้คาดการณ์ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความต้องการวัตถุดิบเพื่อใช้ในกระบวนการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะประเทศคู่ค้าสำคัญ เช่น ประเทศจีน เวียดนาม ที่มีความต้องการนำเข้าไม้ยางพาราจากไทยสูง

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน

เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2567 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้สั่งการให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ทบทวนมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง และเตรียมระบบการตรวจสอบรับรองการจัดการสวนป่าอย่างยั่งยืน มตช.14061 ให้สอดคล้องกับกฎหมาย EUDR ของสหภาพยุโรป ที่จะมีผลในทางปฏิบัติวันที่ 30 ธันวาคม 2568 เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้ประกอบการนำไปใช้ ทั้งนี้ จะเร่งดำเนินการผลักดันให้ EU ยอมรับสินค้าไทยที่มาจากแหล่งผลิตที่ผ่านการรับรองตามมาตรฐาน เพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นแก่ประเทศคู่ค้าว่าสินค้าไทยเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมาย EUDR ด้วย 1.34

-

0.50

1.00

1.50

2.00

-

2.00

4.00

6.00

8.00

10.00

12.00

2564 2565 2566 2567

การผลิต (ล้านช้นิ ) การจา หน่าย (ล้านช้นิ )

-

500.00

1,000.00

1,500.00

2,000.00

2,500.00

3,000.00

3,500.00

2564 2565 2566 2567

เครื่องเรือนและชิ้นส่วนทา ด้วยไม้ ผลิตภัณฑ์ไม้ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้อื่น

เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนคาดว่า ปี 2567* ปริมาณการผลิตและจำหน่ายเครื่องเรือนทำด้วยไม้ในประเทศ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.46 และ 13.00 ตามลำดับ เป็นผลจากความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศ ในส่วนของมูลค่าการส่งออกไม้และผลิตภัณฑ์ไม้คาดว่าจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.39 จากอุปสงค์ความต้องการของประเทศคู่ค้าที่สำคัญโดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มไม้และผลิตภัณฑ์แผ่นไม้ที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก

29

อุตสาหกรรมยา

ปริมาณการผลิตและจำหน่ายยาในประเทศ (ตัน)

ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

หมายเหตุ: (1) * คาดการณ์โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

(2) ปรับปรุงกรอบข้อมูลการสำรวจจากปี 2566

มูลค่าการส่งออก-นำเข้ายา (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ โดยความร่วมมือจากกรมศุลกากร

หมายเหตุ: (1) * คาดการณ์โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

(2) การส่งออกและการนำเข้ายา ใช้ข้อมูล HS3001 3002 3003 3004

การผลิตยา ในปี 2567* คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณ 37,444.56 ตัน ลดลงร้อยละ 5.38 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็น การหดตัวของการผลิตยาฉีด ยาแคปซูล ยาผง ยาน้ำ และยาเม็ด โดยมีปริมาณลดลงร้อยละ 20.33 15.97 10.23 4.48 และ 3.35 ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการผลิตยาครีม ขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.26 ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มปริมาณคำสั่งซื้อและ ความต้องการใช้ยาเพื่อรักษาโรคทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ที่มีทิศทางชะลอตัวลง

การจำหน่ายยาในประเทศ ในปี 2567* คาดการณ์ว่าจะมีปริมาณ 32,816.59 ตัน ลดลงร้อยละ 7.03 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นการหดตัวของการจำหน่ายยาฉีด ยาแคปซูล ยาเม็ด ยาน้ำ และยาครีม โดยมีปริมาณลดลงร้อยละ 18.67 15.10 8.14 6.72 และ 5.31 ตามลำดับ ในขณะที่ปริมาณการจำหน่ายยาผง ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.47 ซึ่งเป็นไปตามแนวโน้มความต้องการใช้ยาภายในประเทศที่ชะลอตัวลง

การส่งออกยา ในปี 2567* คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่า 488.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.87 เมื่อเปรียบเทียบกับ ปีก่อน ตามแนวโน้มความต้องการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นของตลาดสำคัญ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย อาทิ อินโดนีเซีย ไต้หวัน เวียดนาม

การนำเข้ายา ในปี 2567* คาดการณ์ว่าจะมีมูลค่า 2,775.13 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงร้อยละ 4.86 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ตามทิศทางความต้องการใช้ยาในประเทศที่ปรับตัวลดลง โดยเป็นการหดตัวของการนำเข้ายาจากแหล่งประเทศในภูมิภาคอเมริกา ยุโรป และเอเชีย

แนวโน้มอุตสาหกรรมยา ปี 2568

แนวโน้มอุตสาหกรรมยา ปี 2568 คาดการณ์ว่า ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายยาในประเทศจะปรับตัวลดลงร้อยละ 0.25-0.50 เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากแนวโน้มด้านศักยภาพของระบบสาธารณสุขไทยในการรับมือกับสถานการณ์โรคระบาด โรคอุบัติใหม่ และโรคตามฤดูกาล ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รวมทั้งเทคโนโลยีทางการแพทย์และสาธารณสุขที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว สำหรับทิศทางการส่งออกและการนำเข้ายา ปี 2568 คาดการณ์ว่า จะมีอัตราการขยายตัวร้อยละ 0.25-1.50 ตามแนวโน้มความต้องการยาที่ขยายตัวในตลาดสำคัญทั้งในเอเชียและยุโรป และทิศทางความต้องการใช้ยาในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยา การขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการด้านการพัฒนาระบบยาของประเทศไทย พ.ศ. 2566-2570 โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข จะช่วยเพิ่มศักยภาพอุตสาหกรรมยาของประเทศไทย ผ่านการผลักดันการวิจัยยานวัตกรรมและจะสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้ประเทศกว่า 10,000 ล้านบาท โดยแผนปฏิบัติการดังกล่าวประกอบด้วย 4 ยุทธศาสตร์หลัก ได้แก่ 1) ส่งเสริมอุตสาหกรรมยาโดยร่วมวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยา 2) พัฒนากลไกการเข้าถึงยาถ้วนหน้า ราคายาที่สมเหตุผล ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน 3) พัฒนากลไกสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และ 4) การจัดการสารสนเทศเพื่อจัดการระบบยาแบบบูรณาการ

ในปี 2567* คาดการณ์ว่า ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายยาในประเทศมีทิศทางลดลง เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน

ซึ่งเป็นไปตามปริมาณคำสั่งซื้อและความต้องการใช้ยาเพื่อรักษาโรค ทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs)

สำหรับการส่งออกยา มีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อยตามความต้องการของตลาดสำคัญในภูมิภาคเอเชียและยุโรป

30

อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง

ปริมาณการผลิตยางแปรรูปขั้นปฐม ยางรถยนต์ และถุงมือยาง (ล้านตัน/ล้านเส้น/พันล้านชิ้น)

ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม หมายเหตุ: *ค่าคาดการณ์

มูลค่าการส่งออกยางแปรรูปขั้นปฐม ยางรถยนต์ และถุงมือยาง (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ที่มา: กระทรวงพาณิชย์ หมายเหตุ: *ค่าคาดการณ์

?

การผลิตยางแปรรูปขั้นปฐม ยางรถยนต์ และถุงมือยาง ปี 2567* คาดว่าจะมีปริมาณ 3.56 ล้านตัน 87.08 ล้านเส้น และ 44,457.18 ล้านชิ้น ตามลำดับ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน การผลิตยางแปรรูปขั้นปฐมมีปริมาณลดลงร้อยละ 1.61 จาก การลดลงของการผลิตทั้งยางแผ่น ยางแท่ง และน้ำยางข้น การผลิตยางรถยนต์ลดลงร้อยละ 3.67 จากการลดลงของการผลิตยางรถยนต์นั่ง ยางรถบรรทุกและรถโดยสาร ขณะที่การผลิตถุงมือยาง มีปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.64 จากความต้องการถุงมือยาง ทางการแพทย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศในระดับสูง

?

การจำหน่ายยางแปรรูปขั้นปฐม ยางรถยนต์ และถุงมือยาง ปี 2567* คาดว่าจะมีปริมาณ 1.19 ล้านตัน 32.88 ล้านเส้น และ 3,441.79 ล้านชิ้น ตามลำดับ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน การจำหน่ายยางแปรรูปขั้นปฐมมีปริมาณลดลงร้อยละ 3.34 จากความต้องการใช้ในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ลดลง การจำหน่ายยางรถยนต์มีปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.09 จากความต้องการของตลาด REM (Replacement Equipment Manufacturer) และการจำหน่ายถุงมือยางมีปริมาณเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.24 จาก ความต้องการถุงมือยางทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น

?

การส่งออกยางแปรรูปขั้นปฐม ยางรถยนต์ และถุงมือยาง ปี2567* คาดว่าจะมีมูลค่า 4,841.87 7,424.93 และ 1,466.49 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน การส่งออกยางแปรรูปขั้นปฐมมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 33.51 เนื่องจากราคายางพาราโลกปรับตัวสูงขึ้นจากปีก่อนมาก ขณะที่ยางรถยนต์ และถุงมือยางมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.96 และ 15.67 ตามลำดับ จากการส่งออกยางรถยนต์ในตลาดสำคัญ และจากความต้องการใช้ถุงมือยางในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น

แนวโน้มอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง ปี 2568

ปี 2568 คาดการณ์ได้ว่า ปริมาณการผลิตยางแปรรูปขั้นปฐม ยางรถยนต์ และถุงมือยางจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจาก การผลิตเพื่อตอบสนองอุปสงค์ของตลาดทั้งในประเทศและต่างประเทศ ขณะที่การส่งออกมีแนวโน้มเติบโตตามความต้องการของอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมทางการแพทย์ และผลิตภัณฑ์ยางทางการแพทย์ต่าง ๆ

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง

วันที่ 14 พฤศจิกายน 2567 มติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายยางธรรมชาติ (กนย.) ครั้งที่ 2/2567 เห็นชอบขยายเวลาโครงการสนับสนุนสินเชื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนแก่สถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมยาง วงเงินสินเชื่อ 10,000 ล้านบาท เพื่อมุ่งพัฒนาธุรกิจยางควบคู่กับเสริมสภาพคล่อง ในการบริหารจัดการยางทั้งระบบ พร้อมขยายระยะเวลาดำเนินงานโครงการพัฒนาศักยภาพฯ โครงการสร้างมูลภัณฑ์กันชนฯ ต่อ 2 ปี มอบหมาย กยท. เร่งเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ 34,000.00

36,000.00

38,000.00

40,000.00

42,000.00

44,000.00

46,000.00

-

20.00

40.00

60.00

80.00

100.00

2564 2565 2566 2567

การผลิตยางรถยนต์ การผลิตยางแปรรูป

การผลิตถุงมือยาง

-

2,000.00

4,000.00

6,000.00

8,000.00

2564 2565 2566 2567

ยางรถยนต์ ถุงมือยาง ยางแปรรูปขนั้ ปฐม

เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนคาดว่า ปี 2567* ปริมาณการผลิตยางแปรรูปขั้นปฐมและยางรถยนต์ลดลงร้อยละ 1.61และ 3.67 โดยยางแปรรูปขั้นปฐมลดลงจากความต้องการในตลาดต่างประเทศที่ลดลง ขณะที่ยางรถยนต์ลดลงจาก การชะลอตัวของตลาด REM (Replacement Equipment Manufacturer) ในประเทศเป็นหลัก ในส่วนของปริมาณการผลิตถุงมือยางเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.64 จากความต้องการถุงมือยางทางการแพทย์ที่เพิ่มสูงขึ้น

31

อุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้า

การผลิต การส่งออก การนำเข้า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ) การผลิต

ปี 2567* เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) การฟอกและตกแต่งหนังฟอก มีดัชนีการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.53 เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากคู่ค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะหนังฟอกที่นำไปใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการผลิตเบาะรถยนต์

การผลิตกระเป๋าเดินทางและกระเป๋าถือ และรองเท้ามีดัชนีผลผลิตลดลงร้อยละ 16.84 และ 4.57 ตามลำดับ เนื่องจากคำสั่งซื้อจากต่างประเทศ และการจำหน่ายภายในประเทศมีแนวโน้มลดลง โดยลดลงในกลุ่มกระเป๋าถือ และรองเท้ายางและพลาสติกเนื่องจากการนำเข้าสินค้าที่ราคาถูกกว่าในประเทศเข้ามาจำหน่ายทดแทน

การส่งออก-นำเข้า

การส่งออก ปี 2567* เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) มูลค่าการส่งออกหนัง และผลิตภัณฑ์หนังฟอกและหนังอัด เครื่องใช้สำหรับเดินทาง และรองเท้าและชิ้นส่วน มีมูลค่าการส่งออก เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.26 2.83 และ 3.63 ตามลำดับ จากการขยายตัวของกลุ่มหนังโคกระบือฟอกตกแต่ง กระเป๋าถือขนาดเล็ก ซึ่งตลาดส่งออกสำคัญ เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย และจีน สำหรับรองเท้าขยายตัวในกลุ่มรองเท้าหนัง และรองเท้าเซฟตี้ ไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา และจีน

การนำเข้า ปี 2567* เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน (YoY) มูลค่า การนำเข้าหนังดิบและหนังฟอก อยู่ในภาวะทรงตัว โดยเพิ่มขึ้น ร้อยละ 0.59 จากการนำเข้าวัตถุดิบหนังประเภทหนังม้าฟอก หนังเฟอร์ดิบ สำหรับการนำเข้ากระเป๋า ลดลงร้อยละ 7.09 ในกลุ่มกระเป๋าแบรนด์เนมราคาสูง สำหรับรองเท้า นำเข้าเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.09 ในกลุ่มสินค้ารองเท้ายาง รองเท้าพลาสติกราคาถูกจากจีนเข้ามาจำหน่ายในประเทศ

แนวโน้มอุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้า ปี 2568

การผลิตเครื่องหนังและรองเท้า เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน คาดว่า การฟอกและตกแต่งหนังฟอกจะขยายตัวเพื่อรองรับคำสั่งซื้อจาก คู่ค้าต่างประเทศ รวมถึงรองรับอุตสาหกรรมอื่น เช่น เบาะรถยนต์ สำหรับการผลิตกระเป๋า และรองเท้า คาดว่าจะหดตัวจากความต้องการสินค้าในประเทศที่ลดลง รวมถึงลดลงจากคำสั่งซื้อกระเป๋าจากต่างประเทศ ในขณะที่การนำเข้ากระเป๋า และรองเท้า คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ในกลุ่มรองเท้าแตะ รองเท้าพลาสติก ที่ราคาถูกเข้ามาจำหน่าย

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้อง

? นโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นกำลังซื้อ เพื่อขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนโยบายการปรับโครงสร้างหนี้ครัวเรือน และผู้ประกอบการ SMEs เพื่อช่วยเหลือค่าครองชีพประชาชน ฟื้นฟู เยียวยา ช่วยบรรเทา/ลดภาระ/เสริมสภาพคล่อง

? นโยบายกระตุ้นอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวให้รองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้น อาทิ เพิ่มแหล่งท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (Man-made Destinations) เช่น สวนน้ำ สวนสนุก ศูนย์การค้า การนำคอนเสิร์ต เทศกาล และการแข่งขันกีฬาระดับโลกมาจัดในประเทศไทย

ปี 2567* เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน พบว่า การผลิตหนังฟอกและตกแต่งสำเร็จ ขยายตัว เนื่องจากคำสั่งซื้อของประเทศ การส่งออกหนังดิบ กระเป๋าถือขนาดเล็ก และรองเท้าหนัง มีมูลค่าเพิ่มขึ้น สำหรับการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปกลุ่มกระเป๋าแบรนด์เนม มีมูลค่าลดลง จากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว ในขณะที่การนำเข้ารองเท้าแตะ รองเท้าพลาสติกราคาถูกจากต่างประเทศยังคงขยายตัว

ที่มา : 1. ดัชนีผลผลิต ? สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

2. มูลค่าการส่งออก การนำเข้า ? กระทรวงพาณิชย์

*ค่าคาดการณ์โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

105.88

81.72

105.85

139.39 133.89

121.60 111.34

105.02

100.22

50.00

70.00

90.00

110.00

130.00

150.00

2565 2566 2567*

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเครื่องหนังและรองเท้า

การฟอกและตกแต่งหนังฟอก การผลิตกระเป๋าเดินทาง การผลิตรองเท้า

0.00

100.00

200.00

300.00

400.00

500.00

600.00

700.00

800.00

900.00

1000.00

2565 2566 2567*

มูลค่าการส่งออก การนาเข้า (ล้านเหรียญสหรัฐฯ)

ส่งออก หนังและผลิตภัณฑ์หนังฟอกและหนังอัด นา เข้า หนังดิบและหนังฟอก

ส่งออก เครื่องใช้สา หรับเดินทาง นา เข้า กระเป๋

ส่งออก รองเท้าและชิ้นส่วน นา เข้า รองเท้า

32

อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

การผลิต และการส่งออก

ที่มา : 1. ดัชนีผลผลิต , ดัชนีการส่งสินค้า - สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

2. มูลค่าการส่งออก การนำเข้า - กระทรวงพาณิชย์

* คาดการณ์โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

การผลิต และการจำหน่าย

การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับในภาพรวม ปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.11 (YoY) จากการผลิตเครื่องประดับแท้ และเครื่องประดับเทียม เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.75 และ 21.68 (YoY) ตามลำดับ ตามคำสั่งผลิตของบริษัทแม่ในต่างประเทศ และคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกา และฮ่องกง รวมทั้งความต้องการของตลาดภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น ส่วนเพชรเจียระไน มีการผลิตลดลงร้อยละ 11.77 (YoY) เนื่องจากความต้องการของตลาดทั้งในและต่างประเทศที่ลดลง

สำหรับการจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับในภาพรวม ปี 2567 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.95 (YoY) จากเครื่องประดับแท้ และเครื่องประดับเทียม มีการจำหน่ายเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.75 และ 21.83 (YoY) ตามลำดับ จากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัว รวมทั้งการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทั้งในและต่างประเทศ และการใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในช่วงเทศกาลส่งท้ายปี ส่วนเพชรมีการจำหน่าย ลดลงร้อยละ 20.68 (YoY) เนื่องจากผู้บริโภคหันมานิยมเพชรสังเคราะห์มากขึ้น

การส่งออก-นำเข้า

การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่า 9,303.71 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.64 (YoY) จากการส่งออกพลอย เครื่องประดับแท้ และเครื่องประดับเทียม เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.37 5.30 และ 4.22 (YoY) ส่วนการส่งออกเพชร ลดลงร้อยละ 4.67 (YoY) หากพิจารณาการส่งออกในภาพรวมจะมีมูลค่ารวม 18,349 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.10 (YoY) จากการส่งออกไปยังประเทศ คู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ กัมพูชา ฮ่องกง สหรัฐอเมริกา และอินเดีย สำหรับการส่งออกทองคำยังไม่ขึ้นรูปมีมูลค่า 9,045.29 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.29 (YoY) จากการส่งออกไปยังประเทศคู่ค้าสำคัญ ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ กัมพูชา ลาว ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

การนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ปี 2567 คาดว่าจะมีมูลค่า 6,035.34 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 7.15 (YoY) จากการนำเข้าพลอย เครื่องประดับแท้ และเครื่องประดับเทียม เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.74 13.56 และ 20.13 (YoY) ตามลำดับ ส่วนการนำเข้าเพชร ลดลงร้อยละ 8.55 (YoY) การนำเข้าอัญมณีและเครื่องประดับในภาพรวมคาดว่าจะมีมูลค่า 20,208.89 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลง ร้อยละ 49.11 (YoY) สำหรับการนำเข้าทองคำมีมูลค่า 14,173.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 78.96 (YoY)

แนวโน้มอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ ปี 2568

การผลิตอัญมณีและเครื่องประดับในภาพรวม ปี 2568 คาดว่าจะมีแนวโน้มชะลอตัวเล็กน้อย เนื่องจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ชะลอตัวลงจากแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งความกังวลต่อค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภคลดการใช้จ่ายสินค้าที่ไม่จำเป็นใน ปีหน้า แต่ยังมีโอกาสขยายตัวได้จากภาคการท่องเที่ยว โดยการสนับสนุนของภาครัฐผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและส่งเสริมการท่องเที่ยวภายในประเทศ สำหรับสถานการณ์การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับมีแนวโน้มขยายตัวดีขึ้น จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเชิงนโยบายในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลัก เพื่อช่วยบรรเทาภาระทางการเงินของครัวเรือน ทำให้ผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นและมีการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลต่อความต้องการสินค้าในตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ยืดเยื้อ รวมถึงนโยบายด้านเศรษฐกิจของสหรัฐอมเริกาที่ออกมาตรการทางภาษีและไม่ใช่ภาษีเพื่อกดดันประเทศคู่ค้าที่เกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ จะเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดทิศทางการค้าโลกในอนาคต

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

ภาครัฐได้มีการสนับสนุนการส่งออกด้วยนโยบายลดอุปสรรคด้านการนำเข้าอัญมณี โดยการส่งเสริมและสนับสนุนผ่านการจัดงานแสดงสินค้าในไทยและต่างประเทศ ที่เป็นการสร้างแรงขับเคลื่อนสำคัญของตลาดอัญมณีและเครื่องประดับ โดยการเจรจาธุรกิจ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคู่ค้าที่มีศักยภาพและตรงตามความต้องการ ซึ่งจะผลักดันให้สินค้าอัญมณีและเครื่องประดับไทยสามารถส่งออกและตอบสนองต่อความต้องการในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี

ปี 2567* เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนการผลิตและการจำหน่ายอัญมณีและเครื่องประดับในภาพรวมเพิ่มขึ้นจากเครื่องประดับและเครื่องประดับเทียม ตามคำสั่งในการผลิตของบริษัทแม่ในต่างประเทศ และคำสั่งซื้อจากประเทศคู่ค้าสำคัญ รวมทั้งความต้องการของตลาดภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น จากภาคการท่องเที่ยวที่ขยายตัวดีขึ้น รวมทั้งการจัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับทั้งในและต่างประเทศ สำหรับ การส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) มีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกา และฮ่องกง 101.64 96.76 103.64

102.45

97.44

104.22

40.00

50.00

60.00

70.00

80.00

90.00

100.00

110.00

60

110

160

210

260

2565 2566 2567*

ดัชนีการผลิต ดัชนีการส่งสินค้า

10,045

15,107

14,786 18,349

6,161

8,036 8,807 9,304

4,268 5,592 5,632 6,035

12,759

16,815

13,553

20,209

0

5,000

10,000

15,000

20,000

25,000

2564 2565 2566 2567*

มูลค่าส่งออก-นาเข้า

(หน่วย: ล้านเหรียญสหรัฐ)

ส่งออกรวมทองคา ส่งออกไม่รวมทองคา

นา เข้าไม่รวมทอง นา เข้ารวมทอง

33

อุตสาหกรรมอาหาร

ที่มา : 1) ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม จากสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

2) มูลค่าการนำเข้า-ส่งออก จากกระทรวงพาณิชย์ จัดกลุ่มโดย

สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

* คาดการณ์โดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอาหาร ปี 2567* คาดว่าอยู่ที่ระดับ 103.6 ขยายตัวร้อยละ 2.7 (%YoY) จากปีที่ผ่านมา เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัว มีความต้องการสินค้าอาหารในตลาดใหม่ (กลุ่มตะวันออกกลาง) และ การเติบโตในตลาดเดิมกลุ่ม CLMV ที่สูงขึ้น ซึ่งทดแทนความต้องการ ของสหรัฐอเมริกาที่เริ่มเข้าสู่ภาวะคงตัว การปรับลดอัตราดอกเบี้ย ราคาขนส่งและราคาพลังงานที่ลดลง โดยมีสินค้าอาหารที่ดัชนีผลผลิตขยายตัวดี เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง คาดว่าขยายตัวร้อยละ 24.0 แป้งมันสำปะหลัง คาดว่าขยายตัวร้อยละ 8.8 อาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป คาดว่าขยายตัวร้อยละ 12.1 รวมถึงกลุ่มเครื่องดื่มที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 4.5

การจำหน่ายอาหารในประเทศ ปี 2567 คาดว่ามีปริมาณ 402.6 ล้านตัน ขยายตัวร้อยละ 10.6 (%YoY) จากสินค้าสำคัญ เช่น (1) เครื่องปรุงรส ขยายตัวร้อยละ 20.7 เนื่องจากมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และ การเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (2) อาหารสำเร็จรูปแช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 7.3 เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตที่ดีขึ้นทำให้คุณภาพของอาหาร แช่แข็งมีรสชาติใกล้เคียงกับอาหารสด และผลิตภัณฑ์มีความหลากหลาย (3) บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ขยายตัวร้อยละ 7.1 เนื่องจากราคาที่เข้าถึงได้และผลิตภัณฑ์มีหลากหลายรสชาติ รวมทั้งมีความสะดวกในการรับประทาน (4) น้ำอัดลม ขยายตัวร้อยละ 4.2 จากการที่ออกผลิตภัณฑ์ทางเลือกเพื่อสุขภาพตามความนิยมของตลาด (5) อาหารสัตว์เลี้ยงสำเร็จรูป ขยายตัวร้อยละ 3.7 จากการเพิ่มขึ้นของจำนวนสัตว์เลี้ยง และเจ้าของสัตว์เลี้ยง ให้ความสำคัญกับคุณภาพของอาหารสัตว์เลี้ยงมากขึ้น

การส่งออก ปี 2567 คาดว่ามีมูลค่า 41,387.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว ร้อยละ 2.6 (%YoY) จากการส่งออกสินค้าสำคัญ เช่น (1) ข้าว ขยายตัวร้อยละ 24.9 เนื่องจากหลายประเทศมีความต้องการนำเข้า เพื่อความมั่นคงด้านอาหาร (2) ไก่ขยายตัวร้อยละ 5.3 แบ่งเป็นไก่แปรรูป ขยายตัวร้อยละ 7.2 และไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 1.4 เนื่องจากความต้องการบริโภคที่มากขึ้น รวมถึงการที่ไทยได้ขยายการส่งออกไปยัง ตลาดใหม่ (3) ผลไม้กระป๋องแปรรูป ขยายตัวร้อยละ 13.8 เนื่องจากปีที่ผ่านมามีการผลิตน้อยและจากความต้องการบริโภคที่เพิ่มขึ้นของประเทศคู่ค้า

การนำเข้า ปี 2567 คาดว่ามีมูลค่า 17,543.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัว ร้อยละ 0.1 (%YoY) โดยสินค้านำเข้าที่มีการขยายตัว เช่น (1) ปลาทูน่าสดแช่เย็นแช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 9.9 เนื่องจากนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตปลาทูน่ากระป๋อง (2) ผัก ผลไม้และของปรุงแต่ง ที่ทำจากผัก ผลไม้ ขยายตัวร้อยละ 15.7 เนื่องจากมีการนำเข้าจากประเทศจีนเพิ่มขึ้น และ (3) เนื้อสัตว์สำหรับการบริโภค ขยายตัวร้อยละ 13.0 เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจอาหารและร้านอาหาร

แนวโน้มอุตสาหกรรมอาหาร ปี 2568

คาดการณ์ว่า ภาพรวมของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอาหารในปี 2568 ขยายตัวร้อยละ 2.0 จากภาคการท่องเที่ยวในประเทศที่ยังคงเติบโตได้ดี และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ในส่วนของกลุ่มสินค้าที่คาดว่าดัชนีผลผลิตขยายตัวดีในปี 2568 ได้แก่ (1) ปลาทูน่ากระป๋อง จากความต้องการ ที่สูงขึ้นในตลาดใหม่ เช่น กลุ่มตะวันออกกลาง แอฟริกา (2) ไก่แปรรูปและไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง มีทิศทางดีขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ ญี่ปุ่น จีน สหราชอาณาจักร และมาเลเซีย นอกจากนี้ ประเทศผู้ส่งออกเนื้อไก่ รายใหญ่อื่น เช่น บราซิล สหภาพยุโรป มีแนวโน้มขยายตัวเช่นกัน ซึ่ง USDA คาดการณ์ว่าการผลิตเนื้อไก่ทั่วโลก ปี 2568 จะเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 2 หรือประมาณ 104.9 ล้านตัน (3) น้ำตาล แม้ว่าราคาน้ำตาลในตลาดโลกมีแนวโน้มลดลด แต่คาดว่าดัชนีผลผลิตของน้ำตาลยังคงขยายตัวตามอุตสาหกรรมต่อเนื่อง ที่มีแนวโน้มขยายตัวจากแรงหนุนของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่มทั้งตลาดในประเทศและตลาดคู่ค้า (4) อาหารสัตว์เลี้ยง มีแนวโน้มเติบโตจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ ตามความนิยมเลี้ยงสัตว์และจำนวนสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น โดยตลาดส่งออกสำคัญของไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่าร้อยละ 40

นโยบายภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร

นโยบายของรัฐบาลปัจจุบันที่มุ่งสนับสนุนอาหารไทยให้เป็น Soft Power ดึงดูดนักท่องเที่ยว สนับสนุน Startup ในอุตสาหกรรมอาหารรายใหม่ ครอบคลุมถึงกลุ่มอาหารอนาคต (Future Food) และอาหารฮาลาล ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ประเทศไทยมีความมั่นคงด้านอาหาร และเป็นแหล่งผลิตอาหารฮาลาลที่มีศักยภาพในการแข่งขันในตลาดโลก

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์อาหาร ปี 2567* คาดว่าขยายตัวร้อยละ 2.7 เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการสินค้าอาหารในตลาดใหม่ (กลุ่มตะวันออกกลาง) และการเติบโตในตลาดเดิมกลุ่ม CLMV ที่สูงขึ้น สำหรับแนวโน้มอุตสาหกรรมอาหารในปี 2568 มีทิศทางขยายตัวเล็กน้อย จากการท่องเที่ยวที่เติบโตขึ้น อย่างไรก็ตาม ควรระวังความเสี่ยงจากการแข่งขันของสินค้านวัตกรรมอาหาร และนโยบายการสร้างความมั่นคงด้านอาหารที่ทำให้ประเทศคู่ค้าลดการนำเข้าและพึ่งพาการผลิตภายในประเทศมากขึ้น

34

รายชื่อผู้รับผิดชอบการจัดทำ

หัวข้อ

กองประสานงาน

โทรศัพท์

?

ภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมไทย ปี 2567 และแนวโน้มปี 2568

?

อุตสาหกรรมรายสาขา

กว.

0-2430-6806

?

อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

กร. 1

0-2430-6804

?

อุตสาหกรรมไฟฟ้า

กร. 1

0-2430-6804

?

อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์

กร. 1

0-2430-6804

?

อุตสาหกรรมรถยนต์และชิ้นส่วนรถยนต์

กร. 1

0-2430-6804

?

อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์และชิ้นส่วนรถจักรยานยนต์

?

อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์

กร. 1

กร. 1

0-2430-6804

0-2430-6804

?

อุตสาหกรรมพลาสติก

กร. 1

0-2430-6804

?

อุตสาหกรรมปิโตรเคมี

กร. 1

0-2430-6804

?

อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ กระดาษ และสิ่งพิมพ์

กร. 2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมเซรามิก

กร .2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์

กร. 2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม

กร. 2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมไม้และเครื่องเรือน

กร. 2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมยา

กร. 2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมยางและผลิตภัณฑ์ยาง

กร. 2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมรองเท้าและเครื่องหนัง

กร. 2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ

กร. 2

0-2430-6805

?

อุตสาหกรรมอาหาร

กร. 2

0-2430-6805

กว. : กองวิจัยเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

กร.1 : กองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1

กร.2 : กองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 2

สำนักงำนเศรษฐกิจอุตสำหกรรม

75/6 ถนนพระรามที่ 6 เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400

Website : www.oie.go.th

ที่มา: สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ