สรุปประเด็นสำคัญ
ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนมีนาคม 2551
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) = 193.37 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (181.96) ร้อยละ 6.3 และ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (177.45) ร้อยละ 9.0
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ได้แก่ การผลิตยานยนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ การผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ
- อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย = 68.09 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (66.02) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (68.71)ประเด็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนเมษายน 2551
- อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
- เดือนเมษายน 2551 คาดว่าการผลิตและการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอจะขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดอาเซียนและญี่ปุ่นมีการขยายตัว โดยเฉพาะการส่งออกผ้าผืนรวมทั้งวัตถุดิบต้นน้ำจากไทยไปเวียดนาม ลาวและกัมพูชา เพื่อนำไปผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
- จีนยังมีปัญหาที่ภาครัฐลดการอุดหนุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ประกอบกับค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย เพราะราคาจะใกล้เคียงกับสินค้าไทยจะทำให้ผู้สั่งซื้อหันมาซื้อสินค้าไทยเพิ่มขึ้นจากคุณภาพที่สูงกว่า
- อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
- สถานการณ์เหล็กในเดือน เมษายน 2551 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ทั้งในส่วนของเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน ซึ่งเป็นผลมาจากเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลวันหยุดสงกรานต์ จึงทำให้วันทำงานลดลง ส่งผลให้การผลิตลดลงไปด้วย
- สำหรับการที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยทำให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น นอกจากนี้ อาจทำให้ผู้ผลิตชะลอการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า เพราะไม่แน่ใจในการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ราคาเหล็ก
- อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
- การส่งออกมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยจะหันมาเน้นตลาดเอเชียแทน เพื่อลดปัญหาต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดการส่งออกที่สำคัญคือเวียดนาม เนื่องจากมีกิจกรรมการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วมาก
สรุปประเด็นสำคัญ
ดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 1 ปี 2551
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 187.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (183.7) ร้อยละ 2.7 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (168.03) ร้อยละ 11.5
-อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ) เป็นต้น
-สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และอุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 67.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (67.3) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (65.5)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไป อื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ) เป็นต้น
- สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ยกเว้นปุ๋ยและสารประกอบไนโตรเจน และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) เป็นต้น
แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2551
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคอุตสาหกรรมปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.6 (6.3 — 7.0) เร่งตัวขึ้นจากปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.8 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8.3 — 9.0 เร่งตัวขึ้นจากปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 8.1
แนวโน้มของเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังจากได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุน กลับมาอีกครั้ง ซึ่งสัดส่วนของการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนในผลิตภัณฑ์มวลรวมเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 70
ในส่วนของการส่งออกที่คาดว่าจะมีการชะลอลงบ้างจากปี 2550 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะได้รับแรงผลักจากกลุ่มตลาดใหม่ ทำให้การส่งออกจะยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปี 2550 แต่ในส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ได้แก่ เรื่องของราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่จะอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และส่งผลไปถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม
สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(มูลค่าเพิ่ม)
ก.พ. 51 = 181.96
มี.ค. 51 = 193.37
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตยานยนต์
- การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
- การผลิตห ลอดอิเ ล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์
- อัตราการใช้กำลังการผลิต
ก.พ. 51 = 66.02
มี.ค. 51 = 68.09
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
- การผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าขั้นมูลฐาน
- การจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ
1.อุตสาหกรรมอาหาร
ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารเดือนเมษายนจะชะลอตัวลงจากจำนวนวันทำงานที่ลดลง การส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนตามความต้องการของตลาดโลก สำหรับการจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์
1. การผลิต
ภาวะการผลิตโดยรวม (ไม่รวมน้ำตาล) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 3.2 และ 7.7 แบ่งเป็น กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดส่งออกเป็นหลัก เช่น สับปะรดกระป๋องมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 50.4 และ 17.6 สำหรับสินค้ากุ้งและทูน่า การผลิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 12.7 และ 1.8 ตามลำดับ เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบลดลง ค่าเงินบาทแข็งค่า และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดหลักชะลอตัวกลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดภายในประเทศ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์มมีปริมาณการกลั่นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.0 และ 11.6 เนื่องจากความต้องการใช้เพื่อการบริโภคที่ปรับตัวลดลงจากการประกาศขึ้นราคาน้ำมันพืช และมีสต็อกวัตถุดิบจำนวนมากสำหรับสินค้าน้ำตาลเป็นช่วงปลายฤดูกาลหีบอ้อย ทำให้ปริมาณการผลิตลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 5.6 แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.4 เนื่องจากมีปริมาณอ้อยป้อนเข้าสู่โรงงานมากกว่าปีก่อน
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ สินค้าอาหารและเกษตร มีปริมาณจำหน่ายลดลงจากปีก่อนร้อยละ (-0.6) เนื่องจากระดับราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนปริมาณจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 เนื่องจากผู้บริโภคมีการจับจ่ายสินค้าเพื่อเตรียมรับเทศกาลสงกรานต์
2) ตลาดต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 และ 6.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และปีก่อนเนื่องจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น ไก่แปรรูป ปลาทูน่ากระป๋อง และสับปะรดกระป๋อง เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38.0 30.7 และ 19.9 ตามลำดับ อย่างไรก็ตามผลจากการแข็งค่าของเงินบาทและการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อาจส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 20.7 แต่หากเทียบกับปีก่อนลดลงร้อยละ 16.7
3. แนวโน้ม
คาดว่าในเดือนเมษายน การผลิตจะชะลอจากเดือนก่อนเป็นผลจากจำนวนวันทำงานลดลง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงดังกล่าว ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวจากความต้องการอาหารของตลาดโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
...ตลาดอาเซียนมีการขยายตัวส่งผลให้ความต้องการบริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกผ้าผืนรวมทั้งวัตถุดิบต้นน้ำจากไทยไปเวียดนาม...
1. การผลิต
ภาวะการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เดือนมีนาคม 2551 โดยรวมมีการผลิตที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ได้แก่ การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯ ผ้าผืน เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถักและผ้าทอ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.6, 16.6, 1.0 และ 1.0 ตามลำดับ เนื่องจากตลาดอาเซียนมีการขยายตัว ส่งผลให้ความต้องการบริโภคมากขึ้น โดย เฉพาะผ้าผืนจากไทย
2. การตลาด
การจำหน่ายในประเทศผลิตภัณฑ์สิ่งทอเดือนมีนาคมเส้นใยสิ่งทอฯ ลดลงเล็กน้อย(-0.8%) แต่เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถัก เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.9 และเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าทอ เพิ่มขึ้น 8.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ผ้าผืน(+8.5%) ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์(+11.8%) เคหะสิ่งทอ(+18.2%) และเส้นใยประดิษฐ์(+36.0%) ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในตลาดอาเซียน ขณะที่การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกญี่ปุ่น(+8.3%) แต่ลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา(-14.9%)
3. แนวโน้ม
เดือนเมษายน 2551 คาดว่าการผลิตและการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอจะขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากตลาดอาเซียนและญี่ปุ่นมีการขยายตัว โดยเฉพาะการส่งออกผ้าผืนรวมทั้งวัตถุดิบต้นน้ำจากไทยไปเวียดนาม ลาวและกัมพูชา เพื่อนำไปผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และจีนเองยังมีปัญหาที่ภาครัฐลดการอุดหนุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ประกอบกับค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย เพราะราคาจะใกล้เคียงกับสินค้าไทยจะทำให้ผู้สั่งซื้อหันมาซื้อสินค้าไทยเพิ่มขึ้นจากคุณภาพที่สูงกว่า
3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
รัฐบาลอินเดียได้ประกาศการเก็บภาษีส่งออกสำหรับสินค้าเหล็กสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปส่งออกสูงสุดถึง15% นอกจากนี้ ยังได้ลดภาษีนำเข้าสำหรับเหล็กสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงถ่านโค้ก สังกะสี และ ferro-alloys จะเหลือ 0% ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ราคาเหล็กในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
1.การผลิต
ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนมีนาคม 2551 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.86 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 162.94 เมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ท่อเหล็กกล้า มีการผลิตที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75.84 เนื่องจากเมื่อเดือนที่แล้วผู้ผลิตกลุ่มนี้ได้ลดการส่งออกลงสาเหตุจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจึงทำให้ผู้ผลิตเลื่อนการส่งออกมาในช่วงเดือนนี้แทน สำหรับเหล็กทรงแบนการผลิตขยายตัวขึ้น ร้อยละ 32.50 โดยเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน ขยายตัว ร้อยละ 92.13 เนื่องจากผู้ผลิตรายหนึ่งได้เพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นเพื่อชดเชยกับปริมาณสินค้าคงคลังที่ลดลง อันเป็นผลมาจากการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นมากในเดือนที่แล้ว นอกจากนี้ ผู้ผลิตอีกรายหนึ่งที่ได้หยุดซ่อมบำรุงเมื่อเดือนที่แล้วได้กลับมาผลิตตามปกติ
สำหรับเหล็กทรงยาวการผลิตขยายตัวขึ้น ร้อยละ 12.09 โดยเหล็กลวดและเหล็กเส้นกลม เพิ่มขึ้น ร้อยละ 28.47 และ 9.71 ตามลำดับ โดยเป็นการผลิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อประกอบกับช่วงนี้เป็นฤดูของการก่อสร้าง จึงมีผลทำให้ผู้ผลิตเพิ่มปริมาณการผลิต ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.46 โดยเหล็กทรงยาว ได้แก่ เหล็กลวด เพิ่มขึ้น ร้อยละ 23.36 และ เหล็กเส้นกลม เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.32 ตามลำดับ และ เหล็กทรงแบนมีการผลิตที่ทรงตัว โดยเหล็กแผ่นรีดร้อน การผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.61 แต่เหล็กแผ่นรีดเย็นและเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีกลับ มีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 19.94 และ 14.35 เนื่องจากประสบปัญหาเรื่องการจัดหาวัตถุดิบ
2.ราคาเหล็ก
การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (Black Sea) ในช่วงเดือนเมษายน 2551 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนราคาโดยเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดย เหล็กแผ่นรีดเย็น เพิ่มขึ้นจาก 840 เป็น 1,080 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 28.57 เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้นจาก 775 เป็น 970 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.16 เหล็กแท่งแบน เพิ่มขึ้นจาก 675 เป็น 795 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.78 เหล็กเส้น เพิ่มขึ้นจาก 836 เป็น 945 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.00 และเหล็กแท่งเหล็กบิลเล็ต เพิ่มขึ้นจาก 786 เป็น 885 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.56 โดยแหตุที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ราคาสินแร่เหล็กและถ่านโค้กเพิ่มขึ้น โดยราคาสินแร่เหล็กเพิ่มถึง 65%จากปริมาณความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นและการควบรวมกิจการของผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น บราซิลและออสเตรเลีย และราคาถ่านโค้กเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากการที่ผู้ผลิตถ่านโค้กรายใหญ่ ได้แก่ ออสเตรเลียและจีน ประสบปัญหาธรรมชาติ ทำให้ปริมาณการผลิตถ่านโค้กลดลง จากการที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ผู้ผลิตมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศยังคงทรงตัวอยู่ จึงทำให้ผู้ผลิตไม่กล้าซื้อวัตถุดิบมาสต๊อกไว้และจะสั่งซื้อเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ราคาที่แสดงเป็นราคาที่ท่าเรือต้นทางยังไม่รวมค่าระวางเรือและค่าประกันภัย ซึ่งเมื่อมาถึงปลายทางราคาจะเพิ่มสูงขึ้นเช่น ราคาเสนอขายของเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ตมายังท่าเรือประเทศเวียดนาม มีราคาถึง 900 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็นผลมาจากการที่สินค้าขาดแคลนเนื่องจากปริมาณสินค้าส่งออกจากประเทศในกลุ่ม CIS ที่ลดลง ประกอบกับการลดลงของการส่งออกของประเทศจีนเพื่อเตรียมพร้อมกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคของประเทศด้วย
3. แนวโน้ม
สถานการณ์เหล็กในเดือน เม.ย. 2551 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ทั้งในส่วนของเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน ซึ่งเป็นผลมาจากเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลวันหยุดสงกรานต์ จึงทำให้วันทำงานลดลง ส่งผลให้การผลิตลดลงไปด้วย สำหรับการที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยทำ ให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นนอกจากนี้ อาจทำให้ผู้ผลิตชะลอการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า เพราะไม่แน่ใจในการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ราคาเหล็ก
4. อุตสาหกรรมยานยนต์
รถยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมีนาคม 2551 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากการมีการจัดงาน “Bangkok International Motor Show 2008” ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม — 6 เมษายน 2551 ซึ่งมีการแนะนำรถยนต์ใหม่ออกสู่ตลาด และมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมีนาคม ดังนี้
- การผลิตรถยนต์ จำนวน 133,943 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการผลิต 111,751 คัน ร้อยละ 19.86 โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพิ่มขึ้นของรถยนต์นั่ง และมีปริมาณการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 8.41
- การจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 66,088 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการจำหน่าย 56,021 คัน ร้อยละ 17.97 และมีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 34.19 ซึ่งปัจจัยสำคัญเป็นผลต่อเนื่องจากการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตของรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประเภทเอทานอลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง(E20) ที่เป็นการสนับสนุนด้านความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ในภาวะราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การส่งออกรถยนต์ จำนวน 72,972 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการส่งออก 60,217 คัน ร้อยละ 21.18 สำหรับรถยนต์ที่มีอัตราการส่งออกขยายตัวสูงได้แก่ รถยนต์ PPV ซึ่งเป็นการส่งออกไปในกลุ่มประเทศอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ในขณะที่รถยนต์กระบะ 1ตัน และรถยนต์นั่งยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 10.44
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนเมษายน 2551 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2551 เนื่องจากมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวัน สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนเมษายนประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 44 และส่งออกร้อยละ 56
รถจักรยานยนต์
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนมีนาคม 2551 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนมีนาคม ดังนี้
- การผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 158,601 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการผลิต 133,329 คัน ร้อยละ 18.95 และมีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 14.18
- การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จำนวน 144,758 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการจำหน่าย 139,329 คัน ร้อยละ 3.90 แต่มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 1.59
- การส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU) จำนวน 15,511 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการส่งออก 12,418 คัน ร้อยละ 24.91 โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ไปในสหภาพยุโรป และแคนาดา และมีปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 7.89
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน 2551 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2551 เนื่องจากมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวัน สำหรับการผลิตรถจักรยานยนต์(CBU) ในเดือนเมษายนประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 89 และส่งออกร้อยละ 11
5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
“ในภาพรวมการจำหน่ายปูนซีเมนต์ยังไม่ขยายตัวเท่าที่ควร เนื่องจากยังมีความระมัดระวังในการบริโภคและการลงทุน รวมทั้งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลยังไม่ชัดเจน สำหรับมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเนื่องจากสามารถปรับราคาขายปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นได้ โดยหันมาเน้นการส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงในแถบอาเซียนเพื่อลดปัญหาต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น”
1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการผลิตปูนซีเมนต์ และการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ เดือนมีนาคม 2551 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.44 และ 5.16 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนเนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ 1 ยังอยู่ในช่วงฤดูกาลก่อสร้าง แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศลดลงร้อยละ 1.85 และ 5.36 ตามลำดับ เนื่องจากประชาชนยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทย ทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ยังไม่ฟื้นตัว
2.การส่งออก
มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์เดือนมีนาคม 2551 มีมูลค่าสูงถึง 5,863.33 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถปรับราคาขายปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้นได้ โดยได้เน้นการส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงในแถบอาเซียนเพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง และตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกายังประสบกับปัญหาตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (Sub — prime Loans)
3.แนวโน้ม
การผลิตผู้ประกอบการและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในเดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม 2551 คาดว่าชะลอตัวลง เนื่องจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์และเริ่มจะเข้าสู่ฤดูฝนในเดือนพฤษภาคม ประกอบกับการลงทุน และการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลก็ยังไม่มีความชัดเจน นอกจากนี้ปัญหาเงินเฟ้อก็ยังเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจในภาพรวมอยู่สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยจะหันมาเน้นตลาดเอเชียแทน เพื่อลดปัญหาต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับตลาดการส่งออกที่สำคัญคือเวียดนาม เนื่องจากมีกิจกรรมการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วมาก
6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.61 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเล็กทรอนิกส์ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ HDD/Other IC เป็นต้น
- มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.48
- IC ปรับตัวลดลงในช่วงมกราคมถึงมีนาคม 2551 เนื่องจากภาวะตลาดโดยรวมที่ปรับตัวลดลง มีเพียง 2 ตลาด เท่านั้น คือ ตลาดฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ในอัตราที่ชะลอลง
ตารางที่1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลักที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับต้นๆ ในเดือน มี.ค. 2551
เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า CPM CPY
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 1,522.13 9.08 15.77
IC 665.70 24.64 -21.89
เครื่องปรับอากาศ 380.24 21.66 13.68
เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ 170.15 23.25 22.82
รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 4,342.54 14.02 3.48
ที่มา กรมศุลกากร
1.การผลิต
ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 5.59 โดยดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 343.70 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.61 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ HDD/Other IC เป็นต้น
2. การตลาด
มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 14.02 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.48 โดยมีมูลค่าการส่งออกรวมคือ 4,342.54 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สูงที่สุดได้แก่เครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย โรงงาน มีมูลค่า 380.24 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สูงที่สุดคือ อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีมูลค่า 1, 552.13 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับมูลค่าการส่งออกเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เดือน มีนาคม 2551 มีมูลค่า 2,673.58 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนทรงตัวปรับตัวลดลงเล็กน้อย ร้อยละ 0.82 เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ ขณะที่ IC ปรับตัวลดลงมีมูลค่าส่งออกเดือนมีนาคม 665.70 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากภาวะตลาดส่งออกโดยรวมปรับตัวลดลง โดยตลาดที่ปรับตัวลดลงได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน เป็นต้น นอกจากนี้ ลูกค้าของผู้ประกอบการ IC บางรายมีการถ่ายโอนการประกอบการไปยังประเทศอื่น จึงสูญเสียยอดคำสั่งซื้อในส่วนนี้ไป ประมาณ 40%
3. แนวโน้ม
ภาวะอุตสาหกรรมไฟฟ้าเดือนเมษายน 2551 ประมาณการว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.95 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โดยประมาณการว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.94 และ 7.71 %YoY ตามลำดับ ขณะที่ เครื่องรับโทรทัศน์ยังคงปรับตัวลดลงร้อยละ 4.87 ถึงแม้จะมีการวางแผนการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายจากช่วงโอลิมปิก และฟุตบอลยูโร
ภาวะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.71 ทั้งนี้เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ HDDประมาณการว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.07 จากการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงแม้จะอยู่ในอัตราชะลอลงบ้างในตลาด US ขณะที่ IC โดยภาพรวมประมาณการว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.91 ทั้งนี้เกิดจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ IC ที่ใช้ในสินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในเดือนมีนาคม 2551 มีค่า 193.37 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (181.96) ร้อยละ 6.3 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (177.45) ร้อยละ 9.0
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำ มันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ เป็นต้น
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนมีนาคม 2551 มีค่า 68.09 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (66.02) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (68.71)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าขั้นมูลฐาน อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ยกเว้นปุ๋ยและสารประกอบไนโตรเจน เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ เป็นต้น
สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม 2551
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 350 ราย เพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 353 รายหรือน้อยกว่าร้อยละ -0.85 และมียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 8,186.47 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีการลงทุน 8,894.07 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -7.96 และในส่วนของการจ้างงานรวม มีจำนวน 6,851 คน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 8,286 คน หรือลดลงร้อยละ -17.32
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 438 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ -20.09 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุนลดลงจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการลงทุน 11,544.82 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -29.09 และการจ้างงานลดลงจากเดือนมีนาคม 2550 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 10,055 คน ร้อยละ-31.86
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมขุดดิน ตักดิน จำนวน 30 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมซ่อมและพ่นสีรถยนต์ซ่อมและพ่นสีรถยนต์ จำนวน 23 โรงงาน
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง จำนวนเงินลงทุน 1,375.0 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวนเงินลงทุน 898.64 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป จำนวนคนงาน 494 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตลูกเทนนิส จำนวนคนงาน 398 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 216 ราย มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 98 ราย คิดเป็นร้อยละ 120.41 แต่ในส่วนของเงินทุนมีจำนวน 2,828.67 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 11,619.67 ล้านบาท และการเลิกจ้างงานมีจำนวน 3,771 คน น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเลิกจ้างงานจำนวน 3,898 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 202 รายคิดเป็นร้อยละ 6.93 แต่ในส่วนของเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 5,210.08 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงานน้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 4,624 คน
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ จำนวน 20 ราย รองลงมาคือ ซ่อมยานที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หรือส่วนประกอบ จำนวน 18 ราย
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมผลิต ซ่อมเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเรดาร์ คาปาซิเตอร์เงินทุน 1,556.10 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมพิมพ์ ทำแฟ้มเก็บเอกสาร เย็บเล่ม ทำปก ตบแต่งสิ่งพิมพ์ เงินทุน 251.43 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนมีนาคม 2551 คือ อุตสาหกรรมผลิต ซ่อมเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเรดาร์ คาปาซิเตอร์คนงาน 853 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ คนงาน 230 คน
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น 101 โครงการ มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่มีจำนวน 50 โครงการ ร้อยละ 102.0 และมีเงินลงทุน 6,000 ล้านบาท มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่มีเงินลงทุน 2,600 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 130.77
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท.น้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ที่มีจำนวน 114 โครงการ ร้อยละ -56.14 และมีเงินลงทุนน้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ที่มีเงินลงทุน 113,700 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ -97.71
- การกระจายหุ้นของโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมในเดือนมกราคม-มีนาคม 2551
การร่วมทุน จำนวน(โครงการ) มูลค่าเงินลงทุน(ล้านบาท)
1.โครงการคนไทย 100% 78 11,100
2.โครงการต่างชาติ 100% 120 25,800
3.โครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ 75 6,600
- ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในเดือนมกราคม-มีนาคม 2551 คือ หมวดเคมี กระดาษ และพลาสติก มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 15,100 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 9,800 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-
ดัชนีอุตสาหกรรมของเดือนมีนาคม 2551
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) = 193.37 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (181.96) ร้อยละ 6.3 และ เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (177.45) ร้อยละ 9.0
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ได้แก่ การผลิตยานยนต์ การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม การผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ การผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ การผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ
- อัตราการใช้กำลังการผลิตเฉลี่ย = 68.09 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (66.02) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (68.71)ประเด็นเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสำคัญในเดือนเมษายน 2551
- อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
- เดือนเมษายน 2551 คาดว่าการผลิตและการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอจะขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากตลาดอาเซียนและญี่ปุ่นมีการขยายตัว โดยเฉพาะการส่งออกผ้าผืนรวมทั้งวัตถุดิบต้นน้ำจากไทยไปเวียดนาม ลาวและกัมพูชา เพื่อนำไปผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว
- จีนยังมีปัญหาที่ภาครัฐลดการอุดหนุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ประกอบกับค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย เพราะราคาจะใกล้เคียงกับสินค้าไทยจะทำให้ผู้สั่งซื้อหันมาซื้อสินค้าไทยเพิ่มขึ้นจากคุณภาพที่สูงกว่า
- อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
- สถานการณ์เหล็กในเดือน เมษายน 2551 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ทั้งในส่วนของเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน ซึ่งเป็นผลมาจากเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลวันหยุดสงกรานต์ จึงทำให้วันทำงานลดลง ส่งผลให้การผลิตลดลงไปด้วย
- สำหรับการที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยทำให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น นอกจากนี้ อาจทำให้ผู้ผลิตชะลอการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า เพราะไม่แน่ใจในการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ราคาเหล็ก
- อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
- การส่งออกมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยจะหันมาเน้นตลาดเอเชียแทน เพื่อลดปัญหาต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับตลาดการส่งออกที่สำคัญคือเวียดนาม เนื่องจากมีกิจกรรมการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วมาก
สรุปประเด็นสำคัญ
ดัชนีอุตสาหกรรมไตรมาสที่ 1 ปี 2551
ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอยู่ที่ระดับ 187.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (183.7) ร้อยละ 2.7 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2549 (168.03) ร้อยละ 11.5
-อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาล อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ) เป็นต้น
-สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ และอุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ในไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 67.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (67.3) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (65.5)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตน้ำตาลอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไป อื่น ๆ (เครื่องปรับอากาศ) เป็นต้น
- สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ยกเว้นปุ๋ยและสารประกอบไนโตรเจน และอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) เป็นต้น
แนวโน้มภาวะเศรษฐกิจอุตสาหกรรมปี 2551
ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศภาคอุตสาหกรรมปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 6.6 (6.3 — 7.0) เร่งตัวขึ้นจากปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 5.8 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมปี 2551 คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 8.3 — 9.0 เร่งตัวขึ้นจากปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 8.1
แนวโน้มของเศรษฐกิจจะดีขึ้น หลังจากได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ที่จะช่วยฟื้นความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและนักลงทุน กลับมาอีกครั้ง ซึ่งสัดส่วนของการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนในผลิตภัณฑ์มวลรวมเป็นสัดส่วนกว่าร้อยละ 70
ในส่วนของการส่งออกที่คาดว่าจะมีการชะลอลงบ้างจากปี 2550 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว จะได้รับแรงผลักจากกลุ่มตลาดใหม่ ทำให้การส่งออกจะยังคงขยายตัวได้ดีต่อเนื่องจากปี 2550 แต่ในส่วนปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด ได้แก่ เรื่องของราคาน้ำมันและอัตราเงินเฟ้อที่จะอยู่ในระดับที่สูง ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน และส่งผลไปถึงการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรม
สถานการณ์เศรษฐกิจอุตสาหกรรม
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม(มูลค่าเพิ่ม)
ก.พ. 51 = 181.96
มี.ค. 51 = 193.37
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตยานยนต์
- การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
- การผลิตห ลอดอิเ ล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์
- อัตราการใช้กำลังการผลิต
ก.พ. 51 = 66.02
มี.ค. 51 = 68.09
โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ได้แก่
- การผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม
- การผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าขั้นมูลฐาน
- การจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอรวมถึงการทอสิ่งทอ
1.อุตสาหกรรมอาหาร
ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารเดือนเมษายนจะชะลอตัวลงจากจำนวนวันทำงานที่ลดลง การส่งออกจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนตามความต้องการของตลาดโลก สำหรับการจำหน่ายในประเทศมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงเทศกาลสงกรานต์
1. การผลิต
ภาวะการผลิตโดยรวม (ไม่รวมน้ำตาล) เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 3.2 และ 7.7 แบ่งเป็น กลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดส่งออกเป็นหลัก เช่น สับปะรดกระป๋องมีปริมาณการผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อนและเดือนก่อนร้อยละ 50.4 และ 17.6 สำหรับสินค้ากุ้งและทูน่า การผลิตลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 12.7 และ 1.8 ตามลำดับ เนื่องจากปริมาณวัตถุดิบลดลง ค่าเงินบาทแข็งค่า และเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดหลักชะลอตัวกลุ่มสินค้าสำคัญที่อิงตลาดภายในประเทศ เช่น น้ำมันถั่วเหลือง และน้ำมันปาล์มมีปริมาณการกลั่นลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 3.0 และ 11.6 เนื่องจากความต้องการใช้เพื่อการบริโภคที่ปรับตัวลดลงจากการประกาศขึ้นราคาน้ำมันพืช และมีสต็อกวัตถุดิบจำนวนมากสำหรับสินค้าน้ำตาลเป็นช่วงปลายฤดูกาลหีบอ้อย ทำให้ปริมาณการผลิตลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 5.6 แต่เมื่อเทียบกับปีก่อนการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.4 เนื่องจากมีปริมาณอ้อยป้อนเข้าสู่โรงงานมากกว่าปีก่อน
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ สินค้าอาหารและเกษตร มีปริมาณจำหน่ายลดลงจากปีก่อนร้อยละ (-0.6) เนื่องจากระดับราคาสินค้าปรับตัวสูงขึ้น แต่เมื่อเทียบกับเดือนก่อนปริมาณจำหน่ายปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.6 เนื่องจากผู้บริโภคมีการจับจ่ายสินค้าเพื่อเตรียมรับเทศกาลสงกรานต์
2) ตลาดต่างประเทศ มูลค่าการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหารเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 และ 6.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน และปีก่อนเนื่องจากปริมาณคำสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้น เช่น ไก่แปรรูป ปลาทูน่ากระป๋อง และสับปะรดกระป๋อง เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 38.0 30.7 และ 19.9 ตามลำดับ อย่างไรก็ตามผลจากการแข็งค่าของเงินบาทและการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ อาจส่งผลให้มูลค่าการส่งออกสินค้าที่พึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็ง แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 20.7 แต่หากเทียบกับปีก่อนลดลงร้อยละ 16.7
3. แนวโน้ม
คาดว่าในเดือนเมษายน การผลิตจะชะลอจากเดือนก่อนเป็นผลจากจำนวนวันทำงานลดลง เนื่องจากเป็นช่วงเทศกาลสงกรานต์ สำหรับการจำหน่ายสินค้าในประเทศจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในช่วงดังกล่าว ส่วนการส่งออกคาดว่าจะขยายตัวจากความต้องการอาหารของตลาดโลกที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
2. อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม
...ตลาดอาเซียนมีการขยายตัวส่งผลให้ความต้องการบริโภคมากขึ้น โดยเฉพาะการส่งออกผ้าผืนรวมทั้งวัตถุดิบต้นน้ำจากไทยไปเวียดนาม...
1. การผลิต
ภาวะการผลิตสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม เดือนมีนาคม 2551 โดยรวมมีการผลิตที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ได้แก่ การผลิตเส้นใยสิ่งทอฯ ผ้าผืน เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถักและผ้าทอ เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.6, 16.6, 1.0 และ 1.0 ตามลำดับ เนื่องจากตลาดอาเซียนมีการขยายตัว ส่งผลให้ความต้องการบริโภคมากขึ้น โดย เฉพาะผ้าผืนจากไทย
2. การตลาด
การจำหน่ายในประเทศผลิตภัณฑ์สิ่งทอเดือนมีนาคมเส้นใยสิ่งทอฯ ลดลงเล็กน้อย(-0.8%) แต่เสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าถัก เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.9 และเสื้อผ้าสำเร็จรูปที่ผลิตจากผ้าทอ เพิ่มขึ้น 8.4 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอเดือนมีนาคมเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ผ้าผืน(+8.5%) ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์(+11.8%) เคหะสิ่งทอ(+18.2%) และเส้นใยประดิษฐ์(+36.0%) ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นในตลาดอาเซียน ขณะที่การส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปเพิ่มขึ้นในตลาดส่งออกญี่ปุ่น(+8.3%) แต่ลดลงในตลาดสหรัฐอเมริกา(-14.9%)
3. แนวโน้ม
เดือนเมษายน 2551 คาดว่าการผลิตและการส่งออกผลิตภัณฑ์สิ่งทอจะขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาเนื่องจากตลาดอาเซียนและญี่ปุ่นมีการขยายตัว โดยเฉพาะการส่งออกผ้าผืนรวมทั้งวัตถุดิบต้นน้ำจากไทยไปเวียดนาม ลาวและกัมพูชา เพื่อนำไปผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งออกที่กำลังขยายตัวอย่างรวดเร็ว และจีนเองยังมีปัญหาที่ภาครัฐลดการอุดหนุนในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ประกอบกับค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้น ทำให้ความสามารถในการแข่งขันลดลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและผู้ส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มไทย เพราะราคาจะใกล้เคียงกับสินค้าไทยจะทำให้ผู้สั่งซื้อหันมาซื้อสินค้าไทยเพิ่มขึ้นจากคุณภาพที่สูงกว่า
3. อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า
รัฐบาลอินเดียได้ประกาศการเก็บภาษีส่งออกสำหรับสินค้าเหล็กสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูปส่งออกสูงสุดถึง15% นอกจากนี้ ยังได้ลดภาษีนำเข้าสำหรับเหล็กสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป รวมถึงถ่านโค้ก สังกะสี และ ferro-alloys จะเหลือ 0% ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ราคาเหล็กในประเทศปรับตัวสูงขึ้น
1.การผลิต
ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมเหล็กในเดือนมีนาคม 2551 มีอัตราการเปลี่ยนแปลงที่เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.86 เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมในเดือนนี้มีค่า 162.94 เมื่อพิจารณารายผลิตภัณฑ์ พบว่า ท่อเหล็กกล้า มีการผลิตที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 75.84 เนื่องจากเมื่อเดือนที่แล้วผู้ผลิตกลุ่มนี้ได้ลดการส่งออกลงสาเหตุจากผลกระทบของราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นจึงทำให้ผู้ผลิตเลื่อนการส่งออกมาในช่วงเดือนนี้แทน สำหรับเหล็กทรงแบนการผลิตขยายตัวขึ้น ร้อยละ 32.50 โดยเหล็กแผ่นรีดร้อนชนิดม้วน ขยายตัว ร้อยละ 92.13 เนื่องจากผู้ผลิตรายหนึ่งได้เพิ่มปริมาณการผลิตขึ้นเพื่อชดเชยกับปริมาณสินค้าคงคลังที่ลดลง อันเป็นผลมาจากการจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นมากในเดือนที่แล้ว นอกจากนี้ ผู้ผลิตอีกรายหนึ่งที่ได้หยุดซ่อมบำรุงเมื่อเดือนที่แล้วได้กลับมาผลิตตามปกติ
สำหรับเหล็กทรงยาวการผลิตขยายตัวขึ้น ร้อยละ 12.09 โดยเหล็กลวดและเหล็กเส้นกลม เพิ่มขึ้น ร้อยละ 28.47 และ 9.71 ตามลำดับ โดยเป็นการผลิตที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับคำสั่งซื้อประกอบกับช่วงนี้เป็นฤดูของการก่อสร้าง จึงมีผลทำให้ผู้ผลิตเพิ่มปริมาณการผลิต ขณะเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.46 โดยเหล็กทรงยาว ได้แก่ เหล็กลวด เพิ่มขึ้น ร้อยละ 23.36 และ เหล็กเส้นกลม เพิ่มขึ้น ร้อยละ 15.32 ตามลำดับ และ เหล็กทรงแบนมีการผลิตที่ทรงตัว โดยเหล็กแผ่นรีดร้อน การผลิตเพิ่มขึ้น ร้อยละ 24.61 แต่เหล็กแผ่นรีดเย็นและเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสีกลับ มีการผลิตที่ลดลง ร้อยละ 19.94 และ 14.35 เนื่องจากประสบปัญหาเรื่องการจัดหาวัตถุดิบ
2.ราคาเหล็ก
การเปลี่ยนแปลงของราคาเหล็ก (FOB) โดยเฉลี่ยที่สำคัญในตลาด CIS ณ ท่าทะเลดำ (Black Sea) ในช่วงเดือนเมษายน 2551 เมื่อเทียบกับเดือนก่อนราคาโดยเฉลี่ยของผลิตภัณฑ์เหล็กที่สำคัญปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดย เหล็กแผ่นรีดเย็น เพิ่มขึ้นจาก 840 เป็น 1,080 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 28.57 เหล็กแผ่นรีดร้อน เพิ่มขึ้นจาก 775 เป็น 970 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.16 เหล็กแท่งแบน เพิ่มขึ้นจาก 675 เป็น 795 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 17.78 เหล็กเส้น เพิ่มขึ้นจาก 836 เป็น 945 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.00 และเหล็กแท่งเหล็กบิลเล็ต เพิ่มขึ้นจาก 786 เป็น 885 เหรียญสหรัฐต่อตัน เพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.56 โดยแหตุที่ราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบหลัก ได้แก่ ราคาสินแร่เหล็กและถ่านโค้กเพิ่มขึ้น โดยราคาสินแร่เหล็กเพิ่มถึง 65%จากปริมาณความต้องการใช้เหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นและการควบรวมกิจการของผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น บราซิลและออสเตรเลีย และราคาถ่านโค้กเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% จากการที่ผู้ผลิตถ่านโค้กรายใหญ่ ได้แก่ ออสเตรเลียและจีน ประสบปัญหาธรรมชาติ ทำให้ปริมาณการผลิตถ่านโค้กลดลง จากการที่ราคาปรับตัวสูงขึ้นส่งผลให้ผู้ผลิตมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ขณะที่ความต้องการใช้ในประเทศยังคงทรงตัวอยู่ จึงทำให้ผู้ผลิตไม่กล้าซื้อวัตถุดิบมาสต๊อกไว้และจะสั่งซื้อเฉพาะที่จำเป็นต้องใช้เท่านั้น อย่างไรก็ตาม ราคาที่แสดงเป็นราคาที่ท่าเรือต้นทางยังไม่รวมค่าระวางเรือและค่าประกันภัย ซึ่งเมื่อมาถึงปลายทางราคาจะเพิ่มสูงขึ้นเช่น ราคาเสนอขายของเหล็กแท่งเล็กบิลเล็ตมายังท่าเรือประเทศเวียดนาม มีราคาถึง 900 เหรียญสหรัฐต่อตัน เป็นผลมาจากการที่สินค้าขาดแคลนเนื่องจากปริมาณสินค้าส่งออกจากประเทศในกลุ่ม CIS ที่ลดลง ประกอบกับการลดลงของการส่งออกของประเทศจีนเพื่อเตรียมพร้อมกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิคของประเทศด้วย
3. แนวโน้ม
สถานการณ์เหล็กในเดือน เม.ย. 2551 คาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ทั้งในส่วนของเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน ซึ่งเป็นผลมาจากเดือนนี้เป็นช่วงเทศกาลวันหยุดสงกรานต์ จึงทำให้วันทำงานลดลง ส่งผลให้การผลิตลดลงไปด้วย สำหรับการที่ราคาเหล็กมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้เกิดผลกระทบต่อผู้ประกอบการไทยทำ ให้มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นนอกจากนี้ อาจทำให้ผู้ผลิตชะลอการนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า เพราะไม่แน่ใจในการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ราคาเหล็ก
4. อุตสาหกรรมยานยนต์
รถยนต์
อุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมีนาคม 2551 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 ส่วนหนึ่งได้รับผลดีจากการมีการจัดงาน “Bangkok International Motor Show 2008” ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค ระหว่างวันที่ 28 มีนาคม — 6 เมษายน 2551 ซึ่งมีการแนะนำรถยนต์ใหม่ออกสู่ตลาด และมีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายโดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนมีนาคม ดังนี้
- การผลิตรถยนต์ จำนวน 133,943 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการผลิต 111,751 คัน ร้อยละ 19.86 โดยส่วนใหญ่เป็นการผลิตเพิ่มขึ้นของรถยนต์นั่ง และมีปริมาณการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 8.41
- การจำหน่ายรถยนต์ จำนวน 66,088 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการจำหน่าย 56,021 คัน ร้อยละ 17.97 และมีปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 34.19 ซึ่งปัจจัยสำคัญเป็นผลต่อเนื่องจากการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตของรถยนต์นั่งที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิงประเภทเอทานอลไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 เป็นส่วนผสมกับน้ำมันเชื้อเพลิง(E20) ที่เป็นการสนับสนุนด้านความต้องการของผู้ใช้รถยนต์ในภาวะราคาน้ำมันสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- การส่งออกรถยนต์ จำนวน 72,972 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการส่งออก 60,217 คัน ร้อยละ 21.18 สำหรับรถยนต์ที่มีอัตราการส่งออกขยายตัวสูงได้แก่ รถยนต์ PPV ซึ่งเป็นการส่งออกไปในกลุ่มประเทศอเมริกากลาง และอเมริกาใต้ ในขณะที่รถยนต์กระบะ 1ตัน และรถยนต์นั่งยังสามารถขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และมีปริมาณการส่งออกรถยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 10.44
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถยนต์ในเดือนเมษายน 2551 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2551 เนื่องจากมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวัน สำหรับการผลิตรถยนต์ในเดือนเมษายนประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 44 และส่งออกร้อยละ 56
รถจักรยานยนต์
อุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนมีนาคม 2551 ขยายตัวเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยมีข้อมูลสภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนมีนาคม ดังนี้
- การผลิตรถจักรยานยนต์ จำนวน 158,601 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการผลิต 133,329 คัน ร้อยละ 18.95 และมีปริมาณการผลิตรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 14.18
- การจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จำนวน 144,758 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการจำหน่าย 139,329 คัน ร้อยละ 3.90 แต่มีปริมาณการจำหน่ายรถจักรยานยนต์ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 1.59
- การส่งออกรถจักรยานยนต์ (CBU) จำนวน 15,511 คัน เพิ่มขึ้นจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการส่งออก 12,418 คัน ร้อยละ 24.91 โดยส่วนใหญ่เป็นการส่งออกรถจักรยานยนต์ขนาดใหญ่ไปในสหภาพยุโรป และแคนาดา และมีปริมาณการส่งออกรถจักรยานยนต์เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ร้อยละ 7.89
- แนวโน้ม ภาวะอุตสาหกรรมรถจักรยานยนต์ในเดือนเมษายน 2551 คาดว่าจะชะลอตัวเมื่อเปรียบเทียบกับเดือนมีนาคม 2551 เนื่องจากมีวันหยุดนักขัตฤกษ์หลายวัน สำหรับการผลิตรถจักรยานยนต์(CBU) ในเดือนเมษายนประมาณการว่าจะมีการผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศร้อยละ 89 และส่งออกร้อยละ 11
5.อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์
“ในภาพรวมการจำหน่ายปูนซีเมนต์ยังไม่ขยายตัวเท่าที่ควร เนื่องจากยังมีความระมัดระวังในการบริโภคและการลงทุน รวมทั้งโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลยังไม่ชัดเจน สำหรับมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นเนื่องจากสามารถปรับราคาขายปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นได้ โดยหันมาเน้นการส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงในแถบอาเซียนเพื่อลดปัญหาต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น”
1.การผลิตและการจำหน่ายในประเทศ
ปริมาณการผลิตปูนซีเมนต์ และการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ เดือนมีนาคม 2551 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.44 และ 5.16 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนก่อนเนื่องจากในช่วงไตรมาสที่ 1 ยังอยู่ในช่วงฤดูกาลก่อสร้าง แต่เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ปริมาณการผลิตและปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศลดลงร้อยละ 1.85 และ 5.36 ตามลำดับ เนื่องจากประชาชนยังมีความระมัดระวังในการใช้จ่าย ส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทย ทำให้ความต้องการใช้ปูนซีเมนต์ยังไม่ฟื้นตัว
2.การส่งออก
มูลค่าการส่งออกปูนซีเมนต์เดือนมีนาคม 2551 มีมูลค่าสูงถึง 5,863.33 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเดือนก่อนและเดือนเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าตัว เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถปรับราคาขายปูนซีเมนต์เพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้นได้ โดยได้เน้นการส่งออกไปยังประเทศใกล้เคียงในแถบอาเซียนเพื่อลดต้นทุนในการขนส่ง และตลาดหลักอย่างสหรัฐอเมริกายังประสบกับปัญหาตลาดสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์คุณภาพต่ำ (Sub — prime Loans)
3.แนวโน้ม
การผลิตผู้ประกอบการและการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในเดือนเมษายน และเดือนพฤษภาคม 2551 คาดว่าชะลอตัวลง เนื่องจากวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์และเริ่มจะเข้าสู่ฤดูฝนในเดือนพฤษภาคม ประกอบกับการลงทุน และการลงทุนขนาดใหญ่ของรัฐบาลก็ยังไม่มีความชัดเจน นอกจากนี้ปัญหาเงินเฟ้อก็ยังเป็นตัวกดดันเศรษฐกิจในภาพรวมอยู่สำหรับการส่งออกมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยจะหันมาเน้นตลาดเอเชียแทน เพื่อลดปัญหาต้นทุนการขนส่งที่เพิ่มขึ้น ตามราคาน้ำมันที่ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับตลาดการส่งออกที่สำคัญคือเวียดนาม เนื่องจากมีกิจกรรมการก่อสร้างที่เพิ่มสูงขึ้น เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่เติบโตเร็วมาก
6. อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์
- ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.61 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเล็กทรอนิกส์ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ HDD/Other IC เป็นต้น
- มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.48
- IC ปรับตัวลดลงในช่วงมกราคมถึงมีนาคม 2551 เนื่องจากภาวะตลาดโดยรวมที่ปรับตัวลดลง มีเพียง 2 ตลาด เท่านั้น คือ ตลาดฮ่องกงและสหรัฐอเมริกา ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อยแต่ในอัตราที่ชะลอลง
ตารางที่1 สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์หลักที่มีมูลค่าการส่งออกมากเป็นอันดับต้นๆ ในเดือน มี.ค. 2551
เครื่องใช้ไฟฟ้า/อิเล็กทรอนิกส์ มูลค่า CPM CPY
อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ 1,522.13 9.08 15.77
IC 665.70 24.64 -21.89
เครื่องปรับอากาศ 380.24 21.66 13.68
เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ 170.15 23.25 22.82
รวมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ 4,342.54 14.02 3.48
ที่มา กรมศุลกากร
1.การผลิต
ภาพรวมภาวะการผลิตอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของเดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 5.59 โดยดัชนีผลผลิตอยู่ที่ระดับ 343.70 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนก็ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20.61 เป็นผลจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ โดยสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้แก่ HDD/Other IC เป็นต้น
2. การตลาด
มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เดือนมีนาคม 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับเดือนก่อน ร้อยละ 14.02 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 3.48 โดยมีมูลค่าการส่งออกรวมคือ 4,342.54 ล้านเหรียญสหรัฐ มูลค่าการส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้าที่สูงที่สุดได้แก่เครื่องปรับอากาศสำหรับที่พักอาศัย โรงงาน มีมูลค่า 380.24 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สูงที่สุดคือ อุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ มีมูลค่า 1, 552.13 ล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับมูลค่าการส่งออกเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เดือน มีนาคม 2551 มีมูลค่า 2,673.58 ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนทรงตัวปรับตัวลดลงเล็กน้อย ร้อยละ 0.82 เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของอุปกรณ์ประกอบของเครื่องคอมพิวเตอร์ ขณะที่ IC ปรับตัวลดลงมีมูลค่าส่งออกเดือนมีนาคม 665.70 ล้านเหรียญสหรัฐ เนื่องจากภาวะตลาดส่งออกโดยรวมปรับตัวลดลง โดยตลาดที่ปรับตัวลดลงได้แก่ ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน เป็นต้น นอกจากนี้ ลูกค้าของผู้ประกอบการ IC บางรายมีการถ่ายโอนการประกอบการไปยังประเทศอื่น จึงสูญเสียยอดคำสั่งซื้อในส่วนนี้ไป ประมาณ 40%
3. แนวโน้ม
ภาวะอุตสาหกรรมไฟฟ้าเดือนเมษายน 2551 ประมาณการว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.95 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ โดยประมาณการว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้น 15.94 และ 7.71 %YoY ตามลำดับ ขณะที่ เครื่องรับโทรทัศน์ยังคงปรับตัวลดลงร้อยละ 4.87 ถึงแม้จะมีการวางแผนการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขายจากช่วงโอลิมปิก และฟุตบอลยูโร
ภาวะอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ประมาณการว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.71 ทั้งนี้เนื่องจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ HDDประมาณการว่าจะขยายตัวเพิ่มขึ้น ร้อยละ 25.07 จากการส่งออกที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงแม้จะอยู่ในอัตราชะลอลงบ้างในตลาด US ขณะที่ IC โดยภาพรวมประมาณการว่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.91 ทั้งนี้เกิดจากการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ IC ที่ใช้ในสินค้าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (มูลค่าเพิ่ม) ในเดือนมีนาคม 2551 มีค่า 193.37 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (181.96) ร้อยละ 6.3 และเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (177.45) ร้อยละ 9.0
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำ มันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณอุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีก่อน ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณอุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรที่ใช้งานทั่วไปอื่นๆ เป็นต้น
- อัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนมีนาคม 2551 มีค่า 68.09 เพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 (66.02) แต่ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน (68.71)
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตเหล็กและผลิตภัณฑ์เหล็กกล้าขั้นมูลฐาน อุตสาหกรรมการจัดเตรียมและการปั่นเส้นใยสิ่งทอ รวมถึงการทอสิ่งทอ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตเคมีภัณฑ์ขั้นมูลฐาน ยกเว้นปุ๋ยและสารประกอบไนโตรเจน เป็นต้น
- อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำและผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตเฟอร์นิเจอร์ อุตสาหกรรมการผลิตอื่นๆ ซึ่งมิได้จัดประเภทไว้ในที่อื่น อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ยาสูบ เป็นต้น
สถานภาพการประกอบกิจการอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม 2551
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการจำนวน 350 ราย เพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 353 รายหรือน้อยกว่าร้อยละ -0.85 และมียอดเงินลงทุนรวมทั้งสิ้น 8,186.47 ล้านบาท ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีการลงทุน 8,894.07 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -7.96 และในส่วนของการจ้างงานรวม มีจำนวน 6,851 คน ลดลงจากเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 8,286 คน หรือลดลงร้อยละ -17.32
- ภาวะการประกอบกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่เริ่มประกอบกิจการเพิ่มขึ้นในจำนวนที่น้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีโรงงานเริ่มประกอบกิจการจำนวน 438 ราย หรือคิดเป็นจำนวนน้อยกว่าร้อยละ -20.09 ในส่วนของจำนวนเงินลงทุนลดลงจากเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีการลงทุน 11,544.82 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ -29.09 และการจ้างงานลดลงจากเดือนมีนาคม 2550 ที่มีจำนวนการจ้างงาน 10,055 คน ร้อยละ-31.86
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเริ่มประกอบกิจการมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมขุดดิน ตักดิน จำนวน 30 โรงงาน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมซ่อมและพ่นสีรถยนต์ซ่อมและพ่นสีรถยนต์ จำนวน 23 โรงงาน
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการโดยมีการลงทุนสูงสุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมผลิตเอทานอลเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิง จำนวนเงินลงทุน 1,375.0 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตกระแสไฟฟ้า จำนวนเงินลงทุน 898.64 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เริ่มประกอบกิจการและมีการจ้างงานสูงสุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จรูป จำนวนคนงาน 494 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตลูกเทนนิส จำนวนคนงาน 398 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 216 ราย มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 98 ราย คิดเป็นร้อยละ 120.41 แต่ในส่วนของเงินทุนมีจำนวน 2,828.67 ล้านบาท น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 11,619.67 ล้านบาท และการเลิกจ้างงานมีจำนวน 3,771 คน น้อยกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ซึ่งเลิกจ้างงานจำนวน 3,898 คน
- ภาวะการเลิกกิจการของโรงงานจากกรมโรงงานอุตสาหกรรมในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการมากกว่าเดือนมีนาคม 2550 ซึ่งมีโรงงานที่ปิดดำเนินกิจการจำนวน 202 รายคิดเป็นร้อยละ 6.93 แต่ในส่วนของเงินทุนของการเลิกกิจการน้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ที่การเลิกกิจการคิดเป็นเงินทุน 5,210.08 ล้านบาท และมีการเลิกจ้างงานน้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ที่การเลิกจ้างงานมีจำนวน 4,624 คน
- อุตสาหกรรมที่มีจำนวนโรงงานเลิกกิจการมากที่สุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ จำนวน 20 ราย รองลงมาคือ ซ่อมยานที่ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์หรือส่วนประกอบ จำนวน 18 ราย
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการโดยที่มีเงินลงทุนสูงสุดในเดือนมีนาคม 2551 คืออุตสาหกรรมผลิต ซ่อมเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเรดาร์ คาปาซิเตอร์เงินทุน 1,556.10 ล้านบาท รองลงมาคือ อุตสาหกรรมพิมพ์ ทำแฟ้มเก็บเอกสาร เย็บเล่ม ทำปก ตบแต่งสิ่งพิมพ์ เงินทุน 251.43 ล้านบาท
- อุตสาหกรรมที่เลิกประกอบกิจการและจำนวนคนงานสูงสุดในเดือนมีนาคม 2551 คือ อุตสาหกรรมผลิต ซ่อมเครื่องรับวิทยุ เครื่องรับโทรทัศน์ เครื่องเรดาร์ คาปาซิเตอร์คนงาน 853 คน รองลงมาคือ อุตสาหกรรมผลิตเฟอร์นิเจอร์ไม้ คนงาน 230 คน
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนกุมภาพันธ์ 2551 มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท. ทั้งสิ้น 101 โครงการ มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่มีจำนวน 50 โครงการ ร้อยละ 102.0 และมีเงินลงทุน 6,000 ล้านบาท มากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2551 ที่มีเงินลงทุน 2,600 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ 130.77
- ภาวะการลงทุนของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) ในเดือนมีนาคม 2551 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน มีจำนวนโครงการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก สกท.น้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ที่มีจำนวน 114 โครงการ ร้อยละ -56.14 และมีเงินลงทุนน้อยกว่าเดือนมีนาคม 2550 ที่มีเงินลงทุน 113,700 ล้านบาทคิดเป็นร้อยละ -97.71
- การกระจายหุ้นของโครงการที่ได้รับการอนุมัติให้การส่งเสริมในเดือนมกราคม-มีนาคม 2551
การร่วมทุน จำนวน(โครงการ) มูลค่าเงินลงทุน(ล้านบาท)
1.โครงการคนไทย 100% 78 11,100
2.โครงการต่างชาติ 100% 120 25,800
3.โครงการร่วมทุนไทยและต่างชาติ 75 6,600
- ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุดในเดือนมกราคม-มีนาคม 2551 คือ หมวดเคมี กระดาษ และพลาสติก มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 15,100 ล้านบาท รองลงมา คือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง มีมูลค่าเงินลงทุนรวม 9,800 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร--
-พห-