เศรษฐกิจไทย
จากการประมาณการอัตราการขยายตัวของผลิตภัณฑ์ประชาชาติรายไตรมาสของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 ขยายตัวร้อยละ 5.3 ชะลอลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 6.1 แต่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.3 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อัตราการขยายตัวชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุปสงค์ภายในประเทศชะลอลง โดยเฉพาะการใช้จ่ายภาครัฐบาล หดตัวร้อยละ 2.4 การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคของครัวเรือนชะลอลงร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับร้อยละ 2.6 ในไตรมาสที่ผ่านมา ขณะที่การลงทุนรวมขยายตัวร้อยละ 1.9 ชะลอลงจากร้อยละ 5.4 ในไตรมาสที่ผ่านมา โดยการส่งออกยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 9.3 ขณะที่การนำเข้าขยายตัวร้อยละ 6.9 ชะลอลงจากไตรมาสที่ผ่าน ทำให้ดุลการค้าเกินดุลในไตรมาสที่ 2 ของปี 2551
ในส่วนของ GDP สาขาอุตสาหกรรมในไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 ขยายตัวร้อยละ 8.0 ชะลอลงจากไตรมาสที่ 1 ของปี 2551 ซึ่งขยายตัวร้อยละ 9.9 แต่ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2550 ที่ขยายตัวร้อยละ 4.5 เนื่องจากการผลิตชะลอลงในทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทั้งอุตสาหกรรมเบา อุตสาหกรรมวัตถุดิบ และอุตสาหกรรมสินค้าทุนและเทคโนโลยี อย่างไรก็ตาม บางอุตสาหกรรมยังมีการขยายตัว เช่น Hard Disk Drive จักรยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวเรือน เป็นต้น
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดว่าในปี 2551 เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวร้อยละ 5.2-5.7 เนื่องจากการส่งออกชะลอตัวลงกว่าในครึ่งแรกของปี ในขณะที่การใช้จ่ายและการลงทุนเอกชนยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ และความเชื่อมั่นผู้บริโภคและนักธุรกิจที่ยังอยู่ในระดับต่ำ เนื่องจากค่าครองชีพที่ยังสูงและบรรยากาศภายในประเทศ
สำหรับตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 พบว่า มีการขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 แต่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง โดยจะเห็นจากดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมซึ่งอุตสาหกรรมหลักที่ขยายตัวจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น สำหรับมูลค่าการส่งออกในภาพรวมเพิ่มขึ้น ร้อยละ 23.85 (ม.ค.-ก.ย. 51) เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2550 โดยมีสินค้าที่ติดอันดับต้น ๆ ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป
ในส่วนของการใช้จ่ายเพื่ออุปโภคบริโภคของภาคเอกชน ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ตามการเพิ่มขึ้นของปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ สำหรับการลงทุนภาคเอกชนปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ตามการเพิ่มขึ้นของการนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่
นอกจากนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคและดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 แต่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลของผู้บริโภคและผู้ประกอบการยังคงมีอยู่ จากปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่ภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญ
อย่างไรก็ตามในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ตัวเลขชี้วัดทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่จะขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2550 แต่ขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง และในช่วงที่เหลือของปีเศรษฐกิจไทยยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ทั้งจากปัจจัยภายในประเทศและภายนอกประเทศซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
จากรายงานดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (Manufacturing Production Index : MPI) ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 53 กลุ่ม พบว่าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมรวมอยู่ที่ระดับ 185.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (177.5) ร้อยละ 4.4 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (174.7) ร้อยละ 6.1
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 9.0 โดยอุตสาหกรรมหลักที่สงผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ดัชนีการส่งสินค้า (Shipment Index) แสดงทิศทางของระดับการขนส่งสินค้าภายในประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) โดยครอบคลุมอุตสาหกรรม 53 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ระดับ 183.1 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (182.5) ร้อยละ 0.3 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (177.2) ร้อยละ 3.4
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีการส่งสินค้าเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 8.7 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตหลอดอิเล็กทรอนิกส์และส่วนประกอบอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น
ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลัง (Finished Goods Inventory Index) แสดงทิศทางหรือระดับการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของการสำรองสินค้าเพิ่มไม่ให้สินค้าขาดแคลน ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) โดยครอบคลุมอุตสาหกรรม 53 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ระดับ 203.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา(174.3) ร้อยละ 16.7 และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (186.4) ร้อยละ 9.1
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ ลิกเคอและมอลต์ อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ เป็นต้น
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้น เครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2550 ร้อยละ 1.4 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้ดัชนีเพิ่มขึ้น ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องแต่งกาย ยกเว้นเครื่องแต่งกายที่ทำจากขนสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตมอลต์ลิกเคอและมอลต์ เป็นต้น
อัตราการใช้กำลังการผลิต เป็นตัวบ่งชี้สภาพการผลิตของภาคอุตสาหกรรม โดยเปรียบเทียบระดับการผลิตที่เกิดขึ้นจริงกับระดับการผลิตที่ใช้กำลังการผลิตเต็มที่ ซึ่งจัดทำโดยสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (ตารางที่ 1) ซึ่งครอบคลุมอุตสาหกรรม 53 กลุ่ม พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 อัตราการใช้กำลังการผลิตอยู่ที่ระดับ 62.8 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา (63.7) และลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (66.9)
อุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรสำนักงาน เครื่องทำบัญชีและเครื่องคำนวณ (Hard Disk Drive) อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ เป็นต้น
สำหรับอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยอุตสาหกรรมหลักที่ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตลดลง ได้แก่ อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุ และสินค้าที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมการแปรรูปและการถนอมสัตว์น้ำ และผลิตภัณฑ์จากสัตว์น้ำ อุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม เป็นต้น
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมเฉลี่ยมีค่า 77.8 ลดลงจากไตรมาสที่ ผ่านมา (78.9) แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (75.8) โดยแบ่งออกเป็น 3 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ และดัชนีเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต (ตารางที่ 2) พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ทั้ง 3 ดัชนีดังกล่าว มีค่าลดลงจากไตรมาสที่ ผ่านมา แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 การที่ค่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมมีค่าลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากความวิตกกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพทางการเมือง วิกฤตสถาบันการเงินสหรัฐอเมริกาก่อให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย นอกจากนี้ผู้บริโภคมีความวิตกกังวล เกี่ยวกับปัญหาค่าครองชีพและราคาสินค้าที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ขณะที่รายได้ในอนาคตที่เพิ่มขึ้นแต่ไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีค่า 71.8, 70.5 และ 69.5 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคขาดความมั่นใจในการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยว่าจะขยายตัวอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากยังคงมีปัจจัยเสี่ยงหลายปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภควิตกกังวล
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับโอกาสหางานทำ ไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีค่า 72.0, 70.9 และ 70.3 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับภาวะการจ้างงานโดยรวมของไทย โดยเห็นว่าโอกาสในการหางานทำยังไม่ดีมากนัก ซึ่งสอดคล้องกับความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อภาวะเศรษฐกิจที่ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีค่า 93.0, 91.7 และ 90.6 ตามลำดับในแต่ละเดือน การที่ดัชนีปรับตัวอยู่ในระดับต่ำกว่า 100 แสดงว่า ผู้บริโภคขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตของตนเอง
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550
จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจ ซึ่งจัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย (ตารางที่ 3) พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดัชนีลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550 โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดัชนีโดยรวมยังคงมีค่าต่ำกว่า 50 แสดงว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจยังไม่ดี ผู้ประกอบการยังคงมองว่า ภาวะการณ์ด้านธุรกิจในอนาคตยังมีแนวโน้มไม่ดีขึ้น สำหรับดัชนีที่ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550 คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุน และการผลิตของบริษัท
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีโดยรวมปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยดัชนีที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ ผลประกอบการของบริษัท คำสั่งซื้อทั้งหมด การลงทุน การจ้างงาน และการผลิตของบริษัท
จัดทำโดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (ตารางที่4) พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดัชนีโดยเฉลี่ยมีค่า 80.3 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (74.6) และไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (76.6) การที่ค่าดัชนีอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นต่อภาวะการณ์ด้านอุตสาหกรรมอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามในเดือนกันยายน 2551 ดัชนีมีค่า 81.1 ลดลงจากเดือนสิงหาคม 2551 (83.0) แสดงถึงความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการที่อยู่ในระดับแย่ลง เนื่องมาจากความไม่เชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจต่างประเทศ โดยในเดือนกันยายน 2551 มีดัชนีความเชื่อมั่นในด้านต่าง ๆ ลดลง จากเดือนสิงหาคม 2551 ได้แก่ ยอดคำสั่งซื้อ ยอดขาย ปริมาณการผลิต ผลประกอบการ สำหรับต้นทุนการประกอบการปรับเพิ่มขึ้น ซึ่งได้รับผลดีจากระดับราคาน้ำมันที่ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ต้นทุนขนส่ง ต้นทุนพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบลดลง สำหรับปัจจัยที่ผู้ประกอบการเห็นว่าส่งผลกระทบต่อการดำเนินกิจการในเดือนกันยายน 2551 คือ การปรับเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง สถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งผู้ประกอบการได้มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาล ดังนี้ เร่งสร้างเสถียรภาพในตัวคณะรัฐบาล พร้อมทั้งแก้ไขปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองโดยเร็ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคและนักลงทุน พัฒนาระบบ โลจิสติกส์ในประเทศให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น จัดหาแหล่งเงินทุน และชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ในประเทศเพื่อเสริมสภาพคล่องแก่อุตสาหกรรมขนาดกลางและย่อม (SMEs) สนับสนุนและพัฒนาแรงงานฝีมือ รวมทั้งเทคโนโลยีการผลิต เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ดูแลเสถียรภาพของอัตราแลกเปลี่ยนอย่าให้มีความผันผวน โดยคงระดับไว้ที่ 33-35 บาท
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550
ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ (Leading Economic Index : LEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นเครื่องมือในการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 3-4 เดือนข้างหน้า ปรากฏว่า ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจในเดือนกันยายน 2551 อยู่ที่ระดับ 113.6 ลดลงร้อยละ 0.2 จากเดือนสิงหาคม 2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 113.8 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวลดลง ได้แก่ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทย (SET Index) และการส่งออก ณ ราคาคงที่ ที่ปรับลดลง
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีค่าเฉลี่ย 113.2 ปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่มีค่า 114.6
ค่าประมาณการเบื้องต้นของดัชนีพ้องเศรษฐกิจ (Coincident Economic Index : CEI) จัดทำโดยธนาคารแห่งประเทศไทย ในเดือนกันยายน 2551 อยู่ที่ระดับ 118.7 ลดลงร้อยละ 0.3 จากเดือนสิงหาคม 2551 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 119.1 ตามการลดลงของดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถยนต์เชิงพาณิชย์
สำหรับดัชนีในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีค่าเฉลี่ย 119.1 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งมีค่า 118.0
การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน (Expenditure on Private Consumption) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีค่า 133.7 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (130.5) และไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (127.1) ซึ่งเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550 ได้แก่ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 การอุปโภคบริโภคภาคเอกชนโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2550 โดยเครื่องชี้ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ ปริมาณการใช้กระแสไฟฟ้า ภาษีมูลค่าเพิ่ม การนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภค ณ ราคาคงที่ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์นั่งและรถจักรยานยนต์
การลงทุนภาคเอกชนโดยรวม (ตารางที่ 6) ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 พิจารณาปัจจัยหลัก 4 ประการ ได้แก่ ปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศ ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ และปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคาคงที่ พบว่าดัชนีการลงทุนภาคเอกชนโดยรวมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีค่า 177.4 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา (175.0) และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 (171.5)
หากแยกตามรายการสินค้า พบว่าปริมาณการจำหน่ายปูนซีเมนต์ในประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550
ปริมาณการจำหน่ายรถยนต์เพื่อการพาณิชย์ในประเทศในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550
การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550
ปริมาณการจำหน่ายเครื่องจักรและอุปกรณ์ภายในประเทศ ณ ราคงคงที่ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 การลงทุนภาคเอกชนโดยรวมเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2550 ตามการเพิ่มขึ้นของ การนำเข้าสินค้าทุน ณ ราคาคงที่
จากการสำรวจดัชนีราคาผู้บริโภค (ตารางที่ 7) และดัชนีราคาผู้ผลิต (ตารางที่ 8) โดยสำนักดัชนีเศรษฐกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ พบว่า ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551ดัชนีราคาผู้บริโภคปรับตัวลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550 โดยราคาในหมวดอาหารและเครื่องดื่มเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา แต่ราคาในหมวดอื่น ๆ ที่มิใช่อาหารและเครื่องดื่มลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาตามการลดลงของราคาค่าขนส่ง ราคาการสื่อสาร ราคาค่าโดยสารสาธารณะ
ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิตในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมา และไตรมาสเดียวกันของปี 2550 โดยราคาในหมวดผลผลิตเกษตรกรรมและหมวดผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ผ่านมาและไตรมาสเดียวกันของปี 2550 สำหรับราคาในหมวดผลิตภัณฑ์จากเหมืองปรับตัวลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาแต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี 2550
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2550
จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่สามของปี 2551 (ข้อมูลเดือนสิงหาคม) โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 38.36 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 37.89 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.77 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.446 ล้านคน (คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.16)
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมไตรมาสที่สามของปี 2551 (ข้อมูลเดือนสิงหาคม) มีจำนวน 5.536 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 14.61 ของผู้มีงานทำทั้งหมด
สถานการณ์การค้าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีทิศทางเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2551 โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 99,102.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 48,713.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 50,388.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.07 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 11.03 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.24 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39.86 ส่งผลให้ไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ดุลการค้าขาดดุล 1,675.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การส่งออกในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามีมูลค่าการส่งออกมากกว่า 15,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทุกเดือน โดยเฉพาะในเดือนกรกฎาคม 2551 มีมูลค่าการส่งออกถึง 16,957.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แต่มีแนวโน้มลดลงทั้งเดือนสิงหาคม และกันยายน
โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกใน 9 เดือนแรกของปี 2551 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม 101,049.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 74.34) สินค้าเกษตรกรรม 16,132.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 11.87) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 8,878.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.53) สินค้าแร่และเชื้อเพลิง 9,865.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.26) และสินค้าอื่นๆ 0.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.0002)
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของสินค้าทุกหมวดมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิงที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 93.62 สินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 51.64 สินค้าอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.60 และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 27.06
สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2551 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ 14,016.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 10,927.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ น้ำมันสำเร็จรูป 6,562.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัญมณีและเครื่องประดับ 5,958.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยางพารา 5,496.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ข้าว 5,169.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แผงวงจรไฟฟ้า 5,112.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เม็ดพลาสติก 4,516.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ 4,028.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และผลิตภัณฑ์ยาง 3,494.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 65,282.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 48.03 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
ตลาดส่งออก
การส่งออกไปยังตลาดหลักในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 ซึ่งได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 57.29 ของการส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่าการส่งออกเพิ่มขึ้นทุกตลาดหลัก โดยในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.68 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 16.52 ตลาดสหภาพยุโรปร้อยละ 9.98 และตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 8.48
โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าในระยะ 9 เดือนแรก ของปี 2551 ประกอบด้วย สินค้าวัตถุดิบซึ่งมีมูลค่าสูงสุด 60,703.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 43.78) รองลงมาเป็นนำเข้าสินค้าทุน 32,851.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 23.69) สินค้าเชื้อเพลิง 29,419.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 21.22) สินค้าอุปโภคบริโภค 11,455.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 8.26) สินค้าหมวดยานพาหนะ 4,156.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.00) และสินค้าอื่นๆ 83.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 0.06)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าการนำเข้าสินค้าอื่นๆ มีการขยายตัวลดลงถึงร้อยละ 91.98 สำหรับสินค้าในหมวดอื่นๆ มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยสินค้าเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 59.18 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.91 สินค้าหมวดยานพาหนะเพิ่มขึ้นร้อยละ 31.42 สินค้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.53 และสินค้าทุนเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.56
แหล่งนำเข้า
การนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ อาเซียน, สหภาพยุโรป, ญี่ปุ่น, และสหรัฐอเมริกา โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2551 มีสัดส่วนนำเข้ารวมร้อยละ 47.86 ซึ่งลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2550 สำหรับการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าพบว่าการนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งหมดเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2550 โดยการนำเข้าจากกลุ่มอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.86 กลุ่มประเทศสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.35 ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.56 และสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.67
แนวโน้มการส่งออก
กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมส่งเสริมการส่งออก จะใช้งบประมาณมูลค่า 3 พันล้านบาท จัดทำแผนปฏิบัติการส่งเสริมการส่งออกปี 2552 ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 10 หลังเกิดวิกฤติการเงินโลก โดยมุ่งเน้นผลักดันส่งออกสินค้าเกษตรและอาหาร พร้อมหนุนส่ง ออกไปยังตลาดอาเซียน และตลาดใหม่ๆ ที่ได้รับผลกระทบน้อยจากเศรษฐกิจโลก โดยตามมติคณะรัฐมนตรี(ครม.) มีนโยบายผลักดันการส่งออก ในปี 2552 ให้ขยายตัวร้อยละ 10 ด้วยมูลค่า 1.98 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งชะลอลงจากปี 2551 ที่ คาดจะขยายตัวร้อยละ 15-20 ด้วยมูลค่า 1.75-1.83 แสนล้านเหรียญสหรัฐ
ทั้งนี้ตามแผนกระตุ้นการส่งออกปีหน้าดังกล่าว ประกอบด้วย การผลักดันส่งออกสินค้า เกษตรและอาหาร ให้เพิ่มเป็นร้อยละ 17-19 จากขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 17 ของมูลค่าส่งออกรวม ซึ่งจะ มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการส่งออกในตลาดหลักและตลาดใหม่ๆ รวมทั้งมีมาตรการพัฒนา สินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่า และการจัดคณะผู้แทนการค้า ตลอดจนการเข้าร่วมงานแสดงสินค้า นอกจากนี้ ยังให้เร่งส่งเสริมการส่งออกเป็นกรณีพิเศษ ในตลาดที่จะได้รับผล กระทบน้อยจากวิกฤติเศรษฐกิจโลก ประกอบด้วย ในกลุ่มอาเซียน 9 ประเทศ และยังรวมถึง ในจีน อินเดีย แถบตะวันออกกลาง ยุโรปตะวันออก และอาฟริกา ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 65.3 ของการส่งออกรวม โดยคาดว่าการส่งออกไปตลาดใหม่จะขยายตัวร้อยละ 14 ขณะที่ตลาดหลักซึ่ง ประกอบด้วยสหรัฐ ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป จะขยายตัวเพียงร้อยละ 2.3
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม มีมูลค่ารวม 61,125.8 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.93 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยในปี 2551 เดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 37,686.0 ล้านบาท และเดือนสิงหาคม 23,439.8 ล้านบาท
ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนมากที่สุดเป็นเงินลงทุน 24,362.06 ล้านบาท โดยหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์การขนส่ง มีการลงทุนสุทธิมากที่สุดโดยเป็นเงินลงทุน 9,976.51 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดอุตสาหกรรมอื่นๆ เงินลงทุน 5,878.89 ล้านบาท และหมวดผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมเงินลงทุน 3,686.75 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม คือ ประเทศสิงคโปร์มีเงินลงทุนสุทธิ 15,716.37 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกามีเงินลงทุนสุทธิ 11,235.84 ล้านบาท และ 6,844.54 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับการลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 การลงทุนที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 244 โครงการ ลดลงร้อยละ 31.84 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีเงินลงทุน 83,100 ล้านบาท ซึ่งลดลงถึงร้อยละ 54.84 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100% จำนวน 102 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 17,000 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 59 โครงการ เป็นเงินลงทุน 16,800 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่าประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดบริการและสาธารณูปโภค มีเงินลงทุน 53,900 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดผลิตภัณฑ์โลหะและอุปกรณ์ มีเงินลงทุน 10,600 ล้านบาท และหมวดอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้ามีเงินลงทุน 5,900 ล้านบาท
สำหรับแหล่งลงทุนในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น มีการลงทุนมากที่สุดโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 62 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 11,513 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศจีน จำนวน 1 โครงการ 5,493 ล้านบาท ประเทศเนเธอร์แลนด์ จำนวน 7 โครงการ เป็นเงินลงทุน 3,733 ล้านบาท และประเทศฮ่องกง 4 โครงการ เป็นเงินลงทุน 3,202 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--