1. การผลิตในประเทศ
การผลิตยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรม ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีปริมาณ 6,444.4 ตัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย เพียง ร้อยละ 0.6 อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนเพิ่มขึ้น ร้อยละ 13.5 และใน 9 เดือนแรกของปี 2551 มีปริมาณการผลิต 18,712.3 ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 3.5
2. การจำหน่ายในประเทศ
การจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีปริมาณ 6,340.3 ตัน ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 4.2 อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ปริมาณการจำหน่ายเพิ่มขึ้น ร้อยละ 12.4 สำหรับการจำหน่ายใน 9 เดือนแรกของปี 2551 มี ปริมาณ 18,150.4 ตัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 2
ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายยาที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากยาบางรายการปรับราคาสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบและค่าขนส่ง ประกอบกับมีการย้ายฐานการผลิตของผู้ว่าจ้างไปยังประเทศอื่น นอกจากนี้การที่เศรษฐกิจไทยในปีนี้มีสัญญาณชะลอตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน จากความวิตก เรื่องวิกฤติการเงินโลกและปัญหาการเมืองในประเทศ ซึ่งมีผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้การผลิตและการจำหน่ายลดลง แต่เนื่องจากยาถือว่า เป็นปัจจัย 4 ที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิต จึงได้รับผลกระทบไม่มากนัก
อย่างไรก็ตามปริมาณการผลิตและการจำหน่ายยาขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากมีคำสั่งซื้อเพิ่มขึ้นทั้งจากตลาดภายใน และต่างประเทศ ซึ่งคำสั่งซื้อนี้มักจะเข้ามามากในไตรมาสที่ 3 ของปี เพราะผู้ซื้อต้องการ stock สินค้าไว้จำหน่ายในช่วงปลายปี ประกอบกับในไตร มาสที่ 3 อยู่ในช่วงปลายปีงบประมาณ ซึ่งสถานพยาบาลของภาครัฐจะมีการจัดซื้อยาจำนวนมาก ส่งผลให้ปริมาณการผลิตและการจำหน่ายยาขยายตัวเพิ่มขึ้น
3. การนำเข้า
การนำเข้ายารักษาหรือป้องกันโรค ไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีมูลค่า 8,830.2 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปี ก่อน และไตรมาสก่อน ร้อยละ 22.2 และ 8.1 ตามลำดับ โดยตลาดนำเข้าที่สำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ ฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา สวิตเซอร์ แลนด์ และไอร์แลนด์ ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 3,858.5 ล้านบาท หรือ ร้อยละ 43.7 ของมูลค่าการนำเข้ายารักษาหรือป้องกัน โรคทั้งหมด สำหรับใน 9 เดือนแรกของปี 2551 มีการนำเข้ามูลค่า 24,819.9 ล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 21.4 โดยตลาดนำเข้าสำคัญ ได้แก่ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร ซึ่งการนำเข้าจากประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 11,431.7 ล้านบาท หรือร้อยละ 46.1 ของมูลค่าการนำเข้ายารักษาหรือป้องกันโรคทั้งหมด
การนำเข้ายารักษาหรือป้องกันโรคจากประเทศผู้ผลิตเวชภัณฑ์ชั้นนำของโลกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยานำเข้าเหล่านี้ส่วนใหญ่มี สิทธิบัตร ไม่สามารถผลิตได้ในประเทศ โดยการนำเข้ายามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง มีสาเหตุจากบริษัทผู้นำเข้ายังให้ความสำคัญกับแผนการตลาด ไม่ ว่าจะเป็นการรณรงค์เรื่องสุขภาพ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ แพทย์ในโรงพยาบาลและคลินิก รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ขององค์กรด้วยการจัด กิจกรรมเพื่อสังคม ทั้งนี้เพื่อกระตุ้นตลาดให้มีการใช้จ่ายและจดจำตราสินค้า นอกจากนี้ยังมีสาเหตุมาจากการเติบโตของโรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเป็น ตลาดหลักของยานำเข้า รวมถึงการที่ยานำเข้า ถูกบรรจุอยู่ในบัญชียาหลักมากขึ้น
4. การส่งออก
การส่งออกยารักษาหรือป้องกันโรคในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 มีมูลค่า 1,428.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนร้อย ละ 11.9 อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนลดลงเล็กน้อย ร้อยละ 1.1 ตลาดส่งออกสำคัญในไตรมาสนี้ ได้แก่ เวียดนาม เมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ โดยการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 954.6 ล้านบาท หรือร้อยละ 66.8 ของมูลค่าการส่งออกยารักษาหรือป้องกัน โรคทั้งหมด สำหรับใน 9 เดือนแรกของปี 2551 มีมูลค่าการส่งออก 4,035.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 9.2 ตลาดส่งออก สำคัญใน 9 เดือนแรกของปี ได้แก่ เวียดนาม เมียนมาร์ กัมพูชา มาเลเซีย และฮ่องกง โดยการส่งออกไปประเทศดังกล่าวมีมูลค่ารวม 2,776.8 ล้านบาท หรือร้อยละ 68.8 ของมูลค่าการส่งออกยารักษาหรือป้องกันโรคทั้งหมด
ตลาดที่มูลค่าการส่งออกมีการเติบโตสูงมาก คือ ฟิลิปปินส์ เนื่องจากมีผู้ประกอบการไทยสามารถขอขึ้นทะเบียนยาในประเทศดังกล่าวได้ นอกจากนี้การที่ประเทศเมียนมาร์ ยังไม่มีปัญหาความวุ่นวายทางการเมืองทำให้ตลาดนี้กลับมาสั่งซื้อสินค้าจากไทยมากขึ้น รวมถึงตลาดใหม่ ๆ เช่น รัส เซีย และบางประเทศในแอฟริกา มีแนวโน้มการส่งออกดี อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการไทย ต้องประสบกับการแข่งขันกับคู่แข่งอย่างมาเลเซีย และ สิงคโปร์ ในตลาดหลัก เช่น ลาว และกัมพูชา ฉะนั้นผู้ผลิตเพื่อการส่งออกจะต้องสร้างความมั่นใจในสินค้าให้กับลูกค้า โดยต้องยกระดับมาตรฐานในการ ผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สินค้าที่ผลิตได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ และสามารถส่งออกสินค้าได้มากขึ้น
5. นโยบายภาครัฐ
คณะรัฐมนตรี มีมติเห็นชอบร่างระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ พ.ศ. .... เมื่อวันที่ 16 กันยายน 2551 ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้ว ตามที่กระทรวงสาธารณสุขเสนอ โดยสาระสำคัญของร่างกฎหมายฯ ดังกล่าวมีดังนี้
1. กำหนดให้ระเบียบนี้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป
2. กำหนดให้มีคำนิยามคำว่า "ยา" "คณะกรรมการ" และ "กรรมการ"
3. กำหนดให้มีคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ มีอำนาจหน้าที่ในการกำหนดนโยบายแห่งชาติด้านยาและแผน ยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบยาแห่งชาติ จัดทำบัญชียาหลักแห่งชาติและกำหนดราคากลางยาในการจัดซื้อของหน่วยงานของรัฐ และแต่งตั้งคณะอนุกรรมการ เพื่อปฏิบัติการตามที่คณะกรรมการมอบหมาย
4. กำหนดวาระการดำรงตำแหน่ง การพ้นจากตำแหน่ง และองค์ประชุม
5. กำหนดให้สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาทำหน้าที่เป็นสำนักงานเลขานุการของคณะกรรมการ
6. กำหนดให้ระเบียบฉบับนี้ยกเลิก เมื่อมีการกำหนดองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการยาแห่งชาติไว้ใน กฎหมายว่าด้วยยา
6. สรุปและแนวโน้ม
ปริมาณการผลิตและจำหน่ายยาและผลิตภัณฑ์เภสัชกรรมในไตรมาสที่ 3 ของปี 2551 ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจาก ยาบางรายการปรับราคาสูงขึ้นตามราคาวัตถุดิบและค่าขนส่ง ประกอบกับมีการย้ายฐานการผลิตของผู้ว่าจ้างไปยังประเทศอื่น รวมถึงการชะลอตัวทาง เศรษฐกิจ ด้านการนำเข้ามีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการดำเนินกิจกรรมด้านการตลาดของผู้นำเข้า รวมถึงการเติบโตของโรงพยาบาลเอกชน และการที่ยานำเข้าถูกบรรจุในบัญชียาหลักมากขึ้น ส่วนการส่งออกไปยังตลาดหลักหดตัวลงเล็กน้อย เนื่องจากมีคู่แข่งสำคัญ คือ มาเลเซีย และ สิงคโปร์
สำหรับในไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 คาดว่าการผลิต และการจำหน่ายยาในประเทศ รวมถึงการนำเข้า และการส่งออกยา จะชะลอตัว จากไตรมาสที่ 3 เล็กน้อยตามวัฏจักรของอุตสาหกรรม ซึ่งขยายตัวดีในช่วงไตรมาสที่ 2 และที่ 3 และชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 4 เนื่องจากผู้ผลิต รวม ถึงผู้สั่งซื้อ จะบริหารสินค้าคงคลังไม่ให้เหลือสูงมากในปลายปี ประกอบกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจจากความวิตกกับวิกฤติการเงินโลก และปัญหาการ เมืองในประเทศ ซึ่งส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค จึงคาดว่าจะทำให้อุตสาหกรรมยาชะลอตัวลงในไตรมาสสุดท้ายแต่ไม่มากนัก เพราะยาเป็นปัจจัย สำคัญต่อการดำรงชีวิต อย่างไรก็ตามหากเศรษฐกิจมีการชะลอตัวอย่างต่อเนื่องอาจจะเป็นโอกาสในการเติบโตของตลาด Generic Drugs เนื่องจาก ความต้องการยาราคาถูกจะมีมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการอุตสาหกรรมยาในประเทศ
หน่วย : ตัน
ประเภท ไตรมาส 2550 2551 3/1/2550 2/1/2551 3/1/2551 (มค.-กย.) (มค.-กย.) ยาเม็ด 1,574.10 1,403.70 1,482.60 4,298.80 4,363.50 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 5.6 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -5.8 1.5 ยาน้ำ 3,218.40 2,819.30 3,201.20 9,507.00 9,257.50 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 13.5 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -0.5 -2.6 ยาแคปซูล 170.7 141.7 191.6 449.3 532.1 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 35.2 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 12.2 18.4 ยาฉีด 103.7 116 135.9 323.4 363 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 17.2 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 31.1 12.2 ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 33.9 22.5 30.1 87 82.6 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 33.8 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -11.2 -5 ยาครีม 502.7 500.6 505.7 1,738.00 1,539.90 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 1 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.6 -11.4 ยาผง 881.9 672.2 897.3 2,996.10 2,573.70 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 33.5 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 1.7 -14.1 รวม 6,485.40 5,676.00 6,444.40 19399.6 18712.3 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 13.5 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -0.6 -3.5
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
หมายเหตุ : จำนวนโรงงานที่สำรวจรวมทั้งสิ้น 32 โรงงาน (ยาเม็ด 28 โรงงาน ยาน้ำ 28 โรงงาน ยาแคปซูล 25 โรงงาน
ยาฉีด 8 โรงงาน ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 4 โรงงาน ยาครีม 16 โรงงาน และยาผง 16 โรงงาน)
หน่วย : ตัน
ประเภท ไตรมาส 2550 2551 3/1/2550 2/1/2551 3/1/2551 (มค.-กย.) (มค.-กย.) ยาเม็ด 1,458.30 1,393.90 1,451.20 4,087.60 4,290.20 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 4.1 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -0.5 5 ยาน้ำ 4,178.60 3,387.00 3,955.10 11,522.80 11,261.40 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 16.8 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -5.3 -2.3 ยาแคปซูล 180 229.6 198.9 543.2 602.6 % D เทียบกับไตรมาสก่อน -13.4 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 10.5 10.9 ยาฉีด 76.9 85.9 90.1 233.3 259.6 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 4.9 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 17.2 11.3 ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 33.5 25 28.1 86.5 80.7 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 12.4 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -16.1 -6.7 ยาครีม 524.2 394.3 474 1,559.10 1,255.70 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 20.2 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -9.6 -19.5 ยาผง 166.1 126.9 142.9 486.7 400.2 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 12.6 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -14 -17.8 รวม 6,617.60 5,642.60 6,340.30 18,519.20 18,150.40 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 12.4 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -4.2 -2
ที่มา : ศูนย์สารสนเทศเศรษฐกิจอุตสาหกรรม สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม
หมายเหตุ : จำนวนโรงงานที่สำรวจรวมทั้งสิ้น 32 โรงงาน (ยาเม็ด 28 โรงงาน ยาน้ำ 28 โรงงาน ยาแคปซูล 25 โรงงาน
ยาฉีด 8 โรงงาน ยาแดงทิงเจอร์ไอโอดีน 4 โรงงาน ยาครีม 16 โรงงาน และยาผง 16 โรงงาน)
: ปริมาณการจำหน่ายยาผงในประเทศน้อยกว่าปริมาณการผลิตมาก เนื่องจากมีผู้ประกอบการที่ทำการสำรวจ
มูลค่า (ล้านบาท) ไตรมาส 2550 2551 3/1/2550 2/1/2551 3/1/2551 (มค.-กย.) (มค.-กย.) มูลค่าการนำเข้า 7,229.00 8,165.70 8,830.20 20,439.60 24,819.90 % D เทียบกับไตรมาสก่อน 8.1 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 22.2 21.4 มูลค่าการส่งออก 1,276.90 1,444.90 1,428.40 3,695.70 4,035.80 % D เทียบกับไตรมาสก่อน -1.1 % D เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน 11.9 9.2
ที่มา : กรมศุลกากร
หมายเหตุ : รวบรวมจาก HS 3003 และ 3004
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม-- -พห-