กรุงเทพฯ--8 ต.ค.--เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป
สถาบันครอบครัวเป็นสถาบันแรกของสังคมที่ทุกฝ่ายควรร่วมกันให้ความสำคัญ เพราะถือว่าจะเป็นการสร้างรากฐานที่ดีให้กับสังคมในอนาคต บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด จึงร่วมกับ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) และ บริษัท วอลท์ ดิสนีย์ สตูดิโอ โมชั่นส์ พิคเจอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด แถลงข่าวการสร้างสรรค์กิจกรรมที่ดีสำหรับสถาบันครอบครัวในช่วงปิดเทอมกับงาน “Kids Film Festival กับไทยประกันชีวิต”
โดยการรวบรวมเอาภาพยนตร์การ์ตูนดังที่เป็นชื่นชอบของเด็ก ๆ กลับมาให้ได้ชมกันอีกครั้ง ในเทศกาลภาพยนตร์การ์ตูนดังถึง 8 เรื่องของค่ายวอลท์ ดิสนีย์ ใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 9-10 ตุลาคม 2553 และ วันที่ 16-17 ตุลาคม 2553 ที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ มาร์เก็ต เพลส หัวหิน, เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ พิษณุโลก, อีจีวี นครราชสีมา และเอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดา จำหน่ายบัตรในราคาพิเศษเพียง 60 บาททุกที่นั่ง รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายนำไปมอบให้กับองค์กรการกุศลที่เกี่ยวเนื่องกับเด็ก ณ Art Venue ชั้น 1 ศูนย์การค้าเอสพลานาด รัชดา
สำหรับกิจกรรม “Kids Film Festival กับไทยประกันชีวิต” เป็นกิจกรรมที่ไม่เพียงแต่มอบความบันเทิงให้แก่ผู้เข้าร่วมงานเท่านั้น แต่ยังเป็นกิจกรรมที่สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างคน ในครอบครัว เพราะภาพยนตร์การ์ตูนของค่ายวอล์ท ดิสนีย์ที่นำมาฉายนั้น เป็นการ์ตูนแอนิเมชั่น ที่เหมาะสำหรับครอบครัวดูได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อีกทั้ง ยังเป็นการเปิดโอกาสให้ครอบครัวได้ใช้ เวลาร่วมกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ ตลอดจน ภาพยนตร์การ์ตูนยังช่วยเสริมสร้างพัฒนาการ ที่ดีให้กับเด็ก ทั้งในเรื่องของจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ การใช้ภาษาในการสื่อสาร รวมทั้ง ยังช่วยพัฒนาและเสริมสร้างความสนใจและสมาธิให้กับเด็กได้ดีอีกวิธีหนึ่ง นอกจากนี้ ได้จัดให้มีกิจกรรมเกมส์สนุกๆ ฝึกทักษะเด็กๆ ก่อนเข้าชมภาพยนตร์ เรียกว่าเต็มอิ่มกับการชมภาพยนตร์ แล้วยังสุขใจกับการสร้างกุศลดี ๆ ร่วมกัน เพราะรายได้จากการจำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์หลัง หักค่าใช้จ่ายจะนำไปมอบให้องค์กรที่ดูแลเด็กๆ ด้อยโอกาสนั่นเอง
บรรยากาศในงานแถลงข่าว “Kid’s Film Festival กับไทยประกันชีวิต” เต็มไปด้วยความสุขและความสนุกสนาน โดยเริ่มต้นด้วยการแสดงน่ารักชุด Happiness Happen ที่มีเหล่าสรรพสัตว์อันแสนจะร่าเริง ล้วนเต้นรำเฉลิมฉลองอย่างมีความสุข นอกจากนี้ ในงานยังได้รับ เกียรติจาก ศ.ดร.นพ. วิทยา นาควัชระ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาครอบครัว รวมทั้ง ครอบครัวศิลปินดาราดังอย่าง พีท ธนภณ ทองเจือ - เจ็ง วิไลลักษณ์ พร้อมน้องเซย่า — น้องมิย่า - น้องไลเตอร์ และ คู่แม่ลูก ปูเป้-รามาวดี สิริสุขะ นาคฉัตรีย์ และ น้องไอลี่ ลูกสาว มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ “การสร้างความสุขในครอบครัว”
ครอบครัวทองเจือ พีท กล่าวว่า การมีลูก ๆ อายุไล่เลี่ยกันถึง 3 คน เป็นอะไรที่สนุกมาก เพราะไม่มีพี่เลี้ยงลูก จึงทำให้ตนและภรรยาต้องเลี้ยงลูกเอง ซึ่งก็เป็นเรื่องดีทำให้ตนรู้ใจลูกมากกว่าใคร ๆ ที่สำคัญเขาจะติดแม่กับพ่อมาก ครอบครัวเราจึงค่อนข้างเป็นครอบครัวสุขสันต์ เราพยายามทำกิจกรรมทุกอย่าง ๆ ด้วยกัน เช่น เล่นด้วยกัน ดูการ์ตูนด้วยกัน อ่านนิทานด้วยกัน ครอบครัวเราจะทำตัวเหมือนลูกปลานีโม่ พ่อแม่ทำอะไรลูกก็จะทำตาม
สำหรับเคล็ดลับการสร้างความสุขให้กับครอบครัวนั้น พีท กล่าวว่า ตนยึดหลักว่า ครอบครัวต้องมาก่อน เรื่องงานมาทีหลัง เรื่องงานและเรื่องเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญ ได้เงินได้งานมามากมาย แต่ครอบครัวไม่มีความสุข จะทำไปทำไม
ด้าน เจ็ง กล่าวเสริมว่า คงพอแล้วสำหรับการมีลูก 3 คน การเลี้ยงลูกเองเป็นอะไรที่เหนื่อยมากๆ ลูกคนโตนิสัยจะออกแนวผู้หญิงจ๋า, คนกลางจะซนเหมือนเด็กผู้ชาย แต่คนเล็กจะซนตามวัย
ส่วนครอบครัวนาคฉัตรีย์ คุณแม่ปูเป้ รามาวดี กล่าวว่า ทุกวันนี้ ตนจะให้เวลาทั้งหมดกับลูก ๆ พยายามอยู่กับเขาให้มากที่สุด ให้เขารู้ว่า แม่และพ่อรักเขานะ ประกอบกับตนมีลูกชายและลูกสาวที่ค่อนข้างจะอายุห่างกัน เรายิ่งต้องให้ความสนใจและเข้าใจความรู้สึกและอุปนิสัยเขามาก ๆ อย่างลูกคนโตเป็นผู้ชายค่อนข้างจะซนแบบพลังเยอะ แต่คนเล็กเป็นผู้หญิงจะค่อนข้างเรียบร้อยหน่อยแต่แฝงไปด้วยความรั้น ไม่ค่อยเชื่อฟังเราเท่าไร
“เคล็ดลับของปูเป้ ไม่มีอะไรมาก เราแค่พยายามเรียนรู้นิสัยใจคอของลูก ๆ ให้มากที่สุด ว่าเขาชอบอะไร แล้วพยายามเอาสิ่งเหล่านั้นมาปรับใช้กับนิสัยลูก ศึกษาเขาไปเรื่อย ๆ เพราะพอวัยเขาเปลี่ยน นิสัยเขาก็จะเปลี่ยนตามไปด้วย เราต้องใช้ความเข้าใจและอดทน เหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็มีความสุข ที่ได้กอดเขา หอมเขา และเห็นพัฒนาการของเขา”
ศ.ดร.นพ.วิทยา นาควัชระ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยจิตวิทยาครอบครัวกล่าวถึงปัญหาครอบครัวที่พบบ่อย ๆ ในสังคมไทยว่า ปัญหาแรก คือ การขาดความรัก เมื่อความรักมันหมด ความสุขในครอบครัวก็ไม่มี คำพูดก็ไม่เพราะ การกระทำก็ไม่ดี จิตใจหรือความคิดมันก็ไม่ดี เมื่อไหร่ที่ขาดความรัก ครอบครัวก็ไม่เป็นครอบครัว แล้วความสุขก็จะไม่มี ปัญหาที่สองชอบเก็บความรักไว้ในใจแต่แสดงออกในทางตรงกันข้ามกับที่ตัวเองคิด เช่น ประชด ประชัน จับผิด ขี้เหนียวหรือโหดร้าย เราพบมากมายเหลือเกินในสังคมไทย บางทีเราอาจจะไปติดใจกับคำพูดที่ว่า “รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี” คำชมของเราไม่มี คือ การแสดงออกของความรักสำคัญที่สุด คนไทยเรายังรู้จักการแสดงออกน้อย
คุณหมอวิทยา กล่าวด้วยว่า ไม่ว่าจะรักใคร รักแฟน รักพ่อ รักแม่ รักลูก ทุกคนต้องมี 4 ข้อ ที่ควรยึดเป็นคติประจำใจ คือ ยิ้มแย้ม, ทักทาย, ชมเชย และช่วยเหลือ หลังจากนั้นจะสยบเค้าได้ จะขอร้องอะไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่า เราด่า เราว่า แล้วบอกว่า เรารัก ประชด ประชัน อย่างนั้นมันเป็นการกระทำที่ตรงข้ามกับความรัก ตนรู้สึกว่าสังคมไทยแสดงความรักไม่เป็น รู้สึกสงสารและก็เสียดายเหลือเกิน จะเห็นได้ว่ามิตรภาพและความรักมักเกิดได้ยากมากในสังคมไทย เพราะฉะนั้นสิ่งที่ตามมาก็คือ “ความแร้นแค้นทางความรัก” เราจึงเป็นโรคโหยหาความรักกันทั้งบ้านทั้งเมือง ใจน้อย แสนงอน สะเทือนใจง่าย เจ้าคิดเจ้าแค้น ขี้อิจฉาริษยา ก้าวร้าว อันนี้เป็นโรคของการขาดความรักทั้งนั้นเลย มองไประดับไหนเป็นหมด ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นครอบครัวที่จะมีความสุขได้ พ่อต้องรักแม่ และแม่ต้องรักพ่อ และมีความพร้อมที่จะเป็นครอบครัว ลูกที่มาจากพ่อ-แม่ที่รักกัน ลูกจะได้รับความรักจากพ่อ+แม่ เต็มอิ่ม ถ้าพ่อแม่ไม่รักกัน หรือพ่อรักแม่ แต่แม่ไม่รักพ่อ หรือคนใดคนหนึ่งก็แล้วแต่ ลูกจะขาดแคลนความรักตั้งแต่เล็ก ๆ เลย และกลายเป็นโรคขาดความรักในที่สุด
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาครอบครัวยังกล่าวต่อว่า “ความสุขในครอบครัวคือความรักนะ” ไม่ใช่รถยนต์ บางคนมีเงินน้อยแต่รู้จักหัดแสดงความรักเป็น และผูกพันกันเองระหว่างพ่อกับแม่และมันจะถ่ายทอดไปถึงลูก แล้วแสดงความรักอย่างเหมาะสม เด็กก็จะอิ่มได้ หลังจากนั้น เด็กก็จะรักแม่ รักพ่อยิ่งขึ้น เป็นความรักพื้นฐาน Basic Love เมื่อลูกโตขึ้นเค้าก็จะกระจายความรักนั้นไปหาบุคคลอื่นได้ รักสังคม รักเพื่อนบ้าน ถ้าไม่อย่างนั้น เราจะมีสังคมที่ขาดแคลนความรักหมด หลังจากที่มีความรักแล้วจะเกิดความเชื่อ Basic Trust ตามมา ถ้าไม่เช่นนั้น เค้าก็จะกลายเป็นคนที่มีความระแวง ซึ่งสังคมไทยเราขาดมาก เรื่องความรักกับความเชื่อใจไว้วางใจ ในยามทะเลาะเราอาจจะมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ความรักมันหยุด แต่เราต้องคิด ที่เราอยู่ด้วยกัน คบหากัน มันสะสมประสบการณ์ของความรักเอาไว้ในจิตใต้สำนึก จนทำให้เราเกิดความเข้าใจ ยอมรับ เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือ และก็อภัย เมื่อทะเลาะแล้วกลับมาเข้าใจ ยอมรัก เห็นอกเห็นใจ ช่วยเหลือแล้วก็อภัย การอภัยถือเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับความรัก ความสุขในครอบครัว
ผู้ที่สนใจอยากจะร่วมช่วยเหลือสังคมไทย สามารถซื้อบัตรชมภาพยนตร์ได้ที่ เคาน์เตอร์จำหน่ายบัตรชมภาพยนตร์ในวันที่เปิดฉายภาพยนตร์ในแต่ละสาขา ดังนี้
1. โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ มาร์เก็ต เพลส หัวหิน
วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 9 -10 ตุลาคม 2553 วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 16-17 ตุลาคม 2553
รอบ 13.30 น. : NEMO รอบ 13.30 น. : Car
รอบ 16.00 น. : Hercules รอบ 16.00 น. : Wall — E
2. โรงภาพยนตร์เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ พิษณุโลก
วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 9 - 10 ตุลาคม 2553 วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 16-17 ตุลาคม 2553
รอบ 13.30 น. : Ratatouille รอบ 13.30 น. : G-Force
รอบ 16.00 น. : Princess รอบ 16.00 น. : Bolt
3. โรงภาพยนตร์เอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดา
วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 9 - 10 ตุลาคม 2553 วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 16-17 ตุลาคม 2553
รอบ 13.30 น. : G-Force รอบ 13.30 น. : Ratatouille
รอบ 16.00 น. : Bolt รอบ 16.00 น. : Princess
4. โรงภาพยนตร์อีจีวี นครราชสีมา
วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 9 - 10 ตุลาคม 2553 วันเสาร์ - อาทิตย์ ที่ 16-17 ตุลาคม 2553
รอบ 13.30 น. : Car รอบ 13.30 น. : Nemo
รอบ 16.00 น. : Wall - E รอบ 16.00 น. : Hercules
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ : คุณภัสสรภพ ชินตระกูล, คุณดวงใจ ยงยิ่งเชาว์
โทร. 02-511-5427-36 ต่อ 532, 533
โทรสาร 02-511-5821