กรุงเทพฯ--3 ก.ค.--JGSEE
ชี้ทางออกวิกฤตพลังงานและสิ่งแวดล้อมโลก หน่วยงานวิจัยต้องเร่งทำวิจัยเรื่องพลังงาน ไม่เฉพาะด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องศึกษานโยบายควบคู่ไปด้วย จึงจะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างเป็นระบบ เผย JGSEE เตรียมปรับแนวทางวิจัยและการบริหารหลักสูตรรองรับวิกฤตดังกล่าว เน้นงานวิจัยพื้นฐานคู่ไปกับงานวิจัยประยุกต์ที่ใช้ประโยชน์ได้จริง และเตรียมผลิตบัณฑิตด้านนโยบายและแผนควบคู่กับผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี
กระแสการตื่นตัวเรื่องภาวะโลกร้อน เริ่มเด่นชัดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา หลังจากที่สหประชาชาติได้ออกมาเปิดเผยรายงานสำคัญเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก หรือ ภาวะโลกร้อน ว่าเป็นวิกฤตที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่เป็นเพียงแค่วัฏจักรอุณหภูมิของโลกที่ร้อนขึ้นหรือเย็นลง แบบที่นักวิทยาศาสตร์บางคนเคยเข้าใจ โดยรายงานได้ระบุว่าภาวะโลกร้อนเกิดจากการใช้พลังงานอย่างฟุ้งเฟ้อ และการกระทำของมนุษย์ ทำให้ทั่วทั้งโลกต่างหันมาใส่ใจกับปัญหานี้อย่างจริงจัง ทั้งนี้รายงานของสหประชาชาติได้ระบุไว้ว่า ทางออกของวิกฤตภาวะโลกร้อนนี้อยู่ที่ประชากรโลกจะต้องร่วมมือกันใช้พลังงานอย่างประหยัด และเริ่มใช้พลังงานหมุนเวียนให้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว ยังช่วยแก้ปัญหาพลังงาน ที่ยังคงเป็นวิกฤตซ้ำซาก และดูเหมือนว่าจะสายเกินไปที่จะแก้ไขเสียแล้ว
รศ.ดร.บัณฑิต ฟุ้งธรรมสาร ผู้อำนวยการบัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม (JGSEE) เปิดเผยว่า การแก้ปัญหาน้ำมันแพง และภาวะโลกร้อนนั้น นวัตกรรมด้านเทคโนโลยีพลังงานเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันวิจัย และมหาวิทยาลัยต่างๆในประเทศไทยได้มีการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีที่รองรับการใช้พลังงานหมุนเวียน และการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เพื่อลดการใช้พลังงานฟอสซิลอยู่บ้างแล้ว แต่เนื่องจากเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน มักมีต้นทุนสูง และการนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพเชิงพลังงานสูงมาใช้ยังมีอุปสรรคหลายประการ จึงจำเป็นต้องมีมาตรการเชิงนโยบายต่างๆ ที่เอื้อให้มีการใช้พลังงานหมุนเวียน และเทคโนโลยีประหยัดพลังงานมากขึ้น
“จากวิกฤตต่างๆ ทำให้งานวิจัยของ JGSEE ต้องปรับแนวทางให้สอดคล้อง เพื่อให้ผลงานวิจัยเป็นประโยชน์ต่อการแก้ปัญหาได้จริงมากขึ้น โดยในส่วนของพลังงานหมุนเวียนนั้น จะมุ่งเน้นด้านพลังงานจากชีวมวล เนื่องจากเป็นประเภทที่มีศักยภาพสูงสุดในบรรดาพลังงานหมุนเวียนด้วยกัน โดยเฉพาะการผลิตและใช้เชื้อเพลิงชีวภาพ (เอทานอล และไบโอดีเซล) โดยหลายประเทศต่างให้ความสนใจศึกษาวิจัยในเรื่องนี้เช่นเดียวกัน อาทิ ประเทศในแถบอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และเอเชีย โดยประเด็นวิจัยที่สำคัญ คือ แนวทางการเพิ่มปริมาณชีวมวล และการลดต้นทุนการผลิต ไม่ว่าจะเป็นเอทานอล ไบโอดีเซล หรือความร้อนและไฟฟ้า รวมทั้งการใช้เชื้อเพลิงชีวภาพอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้มีการลงทุนและการใช้พลังงานจากชีวมวลคุ้มทุนมากขึ้น พร้อมกันนี้ต้องมีการพัฒนาเทคโนโลยีการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลให้มีการใช้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น ปล่อยมลพิษน้อยลง หรือที่เรียกว่า “เทคโนโลยีถ่านหินสะอาด” ตลอดจนเทคโนโลยีประหยัดพลังงานที่มีผลกระทบในระยะยาว เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร เป็นต้น เพื่อรับมือกับปัญหาการขาดแคลนพลังงาน และสถานการณ์โลกร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
นอกจากการวิจัยด้านเทคโนโลยีแล้ว งานวิจัยที่ JGSEE กำลังมุ่งเน้นให้มีมากขึ้น คือ งานวิจัยเชิงนโยบาย โดยการวิเคราะห์ศักยภาพของแหล่งพลังงาน และศักยภาพการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน รวมทั้งศึกษาแนวโน้มและผลกระทบที่จะเกิดขึ้นกับประเทศไทย จากการใช้พลังงานและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อสนับสนุนการวางแผนการจัดการพลังงาน ให้มีความมั่นคงและช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนต่อไป อีกทั้งยังมองไปที่งานวิจัยที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้จริง งานวิจัยที่สามารถตอบโจทย์ที่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เช่น ปัญหาที่เกิดขึ้นในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ รวมทั้งงานวิจัยขั้นพื้นฐาน เพื่อใช้เป็นองค์ความรู้สำหรับการสร้างขีดความสามารถของประเทศในระยะยาว
รศ.ดร.บัณฑิต กล่าวต่ออีกว่า สำหรับหลักสูตรการรับนักศึกษาปริญญาโท และเอกของ JGSEE ในอนาคต จะมีการปรับปรุงเพื่อให้รองรับกับแนวทางงานวิจัยที่ได้วางไว้ โดยเฉพาะในระดับปริญญาโทจะจัดให้มีการพัฒนาความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่เป็นความต้องการของอุตสาหกรรม โดยจะไม่เน้นเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว แต่จะให้มีการเรียนทางด้านเศรษฐศาสตร์ของพลังงาน การวางแผนพลังงาน และการวิเคราะห์นโยบายพลังงานและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น เพื่อให้บัณฑิตที่จบไปสามารถทำงานในระดับวิชาชีพที่หลากหลายกว่าเดิม และสำหรับระดับปริญญาเอกยังคงเน้นด้านการวิจัยเทคโนโลยีและนโยบายเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าการปรับปรุงดังกล่าวจะช่วยให้ประเทศไทยมีบุคลากรด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมที่ตรงกับความต้องการของสังคมมากขึ้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ฝ่ายประชาสัมพันธ์บัณฑิตวิทยาลัยร่วมด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อม(JGSEE)
โทร 02-2701350-4 ต่อ 103,105
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net