กรุงเทพฯ--18 ต.ค.--สถาบันทันตกรรม
เผยการฝังรากฟันเทียม เป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ ให้สามารถใช้ฟันปลอมได้ดีขึ้น ทั้งการบดเคี้ยวอาหารและการพูด ย้ำ โครงการรากฟันเทียมพระราชทานฯเป็นโอกาสให้ผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาส ได้รับบริการทางทันตกรรมรากฟันเทียมซึ่งเป็นเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง ได้ฟรี !! ระบุสาเหตุที่ผู้ขอรับบริการฝังรากฟันเทียมยังน้อยเพราะผู้สูงอายุกลัวการผ่าตัด และไม่เข้าใจถึงประโยชน์ของการใสรากฟันเทียม 21 ตุลาคม วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ สธ. ประกาศดีเดย์โครงการรณรงค์กิจกรรม 46 วันฟันยิ้ม เฉลิมพระเกียรติ เร่งขยายการให้บริการรากฟันเทียมแก่ประชาชน ให้ได้ 9,000 ราย ก่อนสิ้นปี 2554
นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า เนื่องในวันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ วันที่ 21 ตุลาคม 2553 นี้ ทางกระทรวงสาธารณสุขจะประกาศดีเดย์ “โครงการรณรงค์กิจกรรม 46 วัน ฟันยิ้ม เฉลิมพระเกียรติ” คืนรอยยิ้มและคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย ด้วยรากฟันเทียมพระราชทาน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ต่อยอดมาจากการดำเนินโครงการรากฟันเทียมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ภายใต้โครงการความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข โดยมีสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ เป็นผู้รับผิดชอบหลักในการบริหารจัดการโครงการและมีกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยศูนย์เทคโนโลยีทางทันตกรรมขั้นสูง (ADTEC) รับผิดชอบในการผลิตรากฟันเทียม สำหรับให้บริการรักษาแก่ผู้ป่วยที่สูญเสียฟันหรือผู้สูงวัยที่ใส่ฟันปลอมทั้งปากแต่มีปัญหาฟันปลอมหลวมหรือเลื่อนหลุดบ่อยๆ เนื่องจากสรรกระดูกขากรรไกรมีการละลายตัวมาก เป็นอุปสรรคที่ทำให้ฟันปลอมทั้งปากไม่สามารถยึดอยู่ได้ ทำให้การบดเคี้ยวอาหารหรือการพูดทำได้ไม่สะดวก
การฝังรากฟันเทียมในโครงการรากฟันเทียมพระราชทาน เป็นแนวทางหนึ่งในการแก้ไขปัญหาสุขภาพช่องปากให้ผู้สูงอายุ เพราะรากฟันเทียมที่ได้รับการฝังในขากรรไกรล่าง จะช่วยเสริมศักยภาพของฟันเทียมยึดติดกับฟันปลอมให้แน่นขึ้น และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวอาหารได้เหมือนฟันธรรมชาติ จึงช่วยให้ผู้ที่ได้รับบริการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยมีเป้าหมายให้บริการฝังรากฟันเทียมฟรี!แก่ผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาส จำนวน 10,000 ราย ระยะดำเนินโครงการเริ่มมาตั้งแต่ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 — พ.ศ. 2554 ได้ให้บริการแก่ผู้ป่วยทั้งประเทศไปแล้วรวม 1,500 ราย จึงยังคงมีผู้ป่วยที่ต้องให้บริการ อีกประมาณ 8,500 ราย เพื่อให้โครงการบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายในปี พ.ศ. 2554
ทั้งนี้ จากรายงานการติดตามนิเทศน์งานของสถาบันทันตกรรม ระบุว่า ปัญหาหลักที่ทำให้มีผู้มารับบริการฝังรากฟันเทียมน้อย สาเหตุมาจากประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงประโยชน์และความจำเป็นของการใส่รากฟันเทียม ขณะที่ผู้สูงอายุปฏิเสธเข้าร่วมโครงการเพราะกลัวการผ่าตัด ลูกหลานไม่ให้เข้าร่วมโครงการเพราะกลัวไม่ปลอดภัย มีปัญหาเรื่องการเดินทางที่ไม่สะดวกและความถี่ในการมาพบทันตแพทย์ตามนัด หรือบางรายมีโรคประจำตัวที่เป็นอุปสรรคในการเข้ารับการรักษาโดยการฝังรากฟันเทียม เป็นต้น
นพ.พรเทพ กล่าวต่อว่า เพื่อให้การดำเนินงานโครงการรากฟันเทียมฯ มีความก้าวหน้าอย่างมีประสิทธิภาพและมีประสิทธิผล ผู้ป่วยมีความเข้าใจการให้บริการในโครงการรากฟันเทียมได้อย่างถูกต้อง ได้รับทราบถึงประโยชน์และความจำเป็นของการฝังรากฟันเทียม ประชาชนทั่วไป ผู้สูงอายุและผู้ด้อยโอกาสที่มีคุณสมบัติตามที่โครงการกำหนด สามารถเข้าถึงหน่วยให้บริการรากฟันเทียมได้ง่าย ส่งผลต่อการมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น กระทรวงสาธารณสุข จึงได้จัดทำโครงการรณรงค์ “46 วัน ฟันยิ้ม เฉลิมพระเกียรติ” คืนรอยยิ้มและคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย ด้วยรากฟันเทียมพระราชทาน ขึ้น เพื่อช่วยสนับสนุนให้เกิดแนวทางปฏิบัติแก่หน่วยบริการเครือข่าย ในการค้นหาผู้ป่วยใส่รากฟันเทียมเชิงรุกพร้อมกันทุกจังหวัด ทั้งผู้ป่วยฟันเทียมรายใหม่ และผู้ป่วยที่ใสฟันเทียมเดิมแต่ประสบปัญหาการยึดไม่แน่น โดยจะเริ่มโครงการตั้งแต่วันทันตสาธารณสุขแห่งชาติ วันที่ 21 ตุลาคม 2553 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี หรือสมเด็จย่า และจะนับไป 46 วัน จนถึงวันที่ 5 ธันวาคม 2553 ตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้มอบหมายให้สำนักงานสาธารณสุขทั่วประเทศ 75 แห่ง เร่งรัดดำเนินการค้นหาผู้ป่วยเข้ารับบริการฝังรากฟันเทียมในหน่วยบริการ จังหวัดละ 100 — 150 คน ตั้งเป้าให้บริการฝังรากฟันเทียมแก่ผู้ป่วยทั้งประเทศให้ได้ 9,000 ราย จำนวน 18,000 ราก ให้เสร็จสิ้นภายในปี พ.ศ. 2554
ทางด้าน ทพ.สมชัย ชัยศุภมงคลลาภ ผู้อำนวยการสถาบันทันตกรรม กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข โดยสถาบันทันตกรรม กรมการแพทย์ ได้จัดทำแผนเร่งรัดการดำเนินงานโครงการรากฟันเทียมของเครือข่ายบริการในส่วนของการค้นหา การคัดกรองผู้ป่วยและการให้บริการผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพ และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีความเท่าเทียมของการรับบริการฟันเทียม ในการฟื้นฟูสุขภาพช่องปากเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ดังนั้นหน่วยบริการแต่ละแห่งต้องมีการวางแผนดำเนินงานที่ดี โดยเฉพาะการประสานงานในรูปเครือข่ายบริการและวิชาการ สถาบันทันตกรรมตระหนักถึงความจำเป็นที่หน่วยบริการจะต้องรับทราบข้อมูลรากฟันเทียมและแนวทางการดำเนินการตามแผนเร่งรัดโครงการฯ ตลอดจนเปิดเวทีให้ทันตบุคลากรในหน่วยบริการต่างๆ ได้พบปะร่วมแสดงความคิดเห็น และวางแผนการทำงานร่วมกัน โดยได้จัดประชุมชี้แจงแผนเร่งการดำเนินงานโครงการรากฟันเทียมฯ ขึ้น เพื่อขอความร่วมมือมายังสำนักงานสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดและโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไปทุกแห่ง เข้าร่วมเป็นเครือข่ายหน่วยบริการรากฟันเทียม พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส ที่มีสาขากว่า 60 สาขาทั่วประเทศ เพื่อเป็นจุดให้บริการรับลงทะเบียนผู้สมัครเข้าร่วมโครงการ เป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้ที่ต้องการสมัครเข้าร่วมโครงการได้รับความสะดวกสบายและสามารถเข้าถึงการให้บริการได้ง่ายขึ้น
“สำหรับผู้ที่สนใจจะสมัครเข้าร่วมโครงการจะได้รับการคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น เพื่อให้ได้คุณสมบัติเหมาะสมในการเข้ารับบริการโดยต้องมีคุณสมบัติดังนี้คือ เป็นผู้ที่ไม่มีฟันธรรมชาติเหลืออยู่เลยและใส่ฟันปลอมทั้งปากแบบถอดได้ แต่ฟันปลอมที่ใช้งานอยู่หลวม เลื่อนหลุดบ่อยๆ เวลาเคี้ยวอาหารหรือพูดจะรู้สึกเจ็บหรือรู้สึกว่าฟันปลอมไม่แน่น และต้องการใส่รากฟันเทียมเพื่อช่วยยึดฟันปลอมชิ้นล่างให้แน่นขึ้น แต่ต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ไม่มีโรคประจำตัว หากเป็นโรคหัวใจ เบาหวาน ความดันโลหิต ต้องอยู่ในการควบคุมของแพทย์ให้อยู่ในเกณฑ์ดีแล้ว และต้องไม่เคยฉายรังสีรักษามะเร็งบริเวณศีรษะและคอ ถ้าหากเป็นคนที่สูบบุหรี่ ยาสูบ หรือสูบบ้างต้องไม่เกินวันละ 20 มวน หากเคยสูบจัดต้องเลิกสูบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี และต้องไม่เคี้ยวหมาก หากท่านเป็นผู้มีคุณสมบัติตามที่กล่าวมา สามารถติดต่อสมัครเข้าร่วมโครงการฯ เพื่อขอรับบริการฝังรากฟันเทียมพระราชทานได้ฟรี ที่หน่วยบริการเครือข่ายทั้งในและนอกสังกัดกระทรวงสาธารณสุข หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่สถาบันทันตกรรม กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 0 2588 4005-8 ต่อ 103 หรือ
0 2951 0915” ทพ.สมชัย กล่าว
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 025822965 สถาบันทันตกรรม