ทริสเรทติ้งเพิ่มอันดับเครดิต “บ. เซ็นทรัลพัฒนา” เป็น “A+” จากเดิม “A” และจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ที่ “A+” พร้อมแนวโน้ม “Stable”

ข่าวทั่วไป Wednesday May 23, 2007 08:31 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--23 พ.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เป็นระดับ “A+” จาก “A” พร้อมทั้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 3,000 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A+" พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนความแข็งแกร่งของบริษัทในฐานะผู้นำในธุรกิจพัฒนาศูนย์การค้าในประเทศไทย ความสำเร็จและผลงานในการบริหารพื้นที่ค้าปลีกในศูนย์การค้า ตลอดจนความสม่ำเสมอของกระแสเงินสดจากรายได้ค่าเช่าและค่าบริการ ทั้งนี้ อันดับเครดิตดังกล่าวยังพิจารณาถึงแผนการขยายงานของบริษัทในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าซึ่งต้องการใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ตลอดจนอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวลงเนื่องมาจากความไม่แน่นอนทางด้านการเมืองและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ลดลงด้วย
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนถึงความสามารถในการรักษาสถานภาพทางการตลาดของบริษัทในธุรกิจบริหารพื้นที่ค้าปลีกโดยการขยายสาขาใหม่และซื้อกิจการศูนย์การค้าที่มีอยู่เดิม แม้จะมีแผนการลงทุนที่สูงในระหว่างปี 2550-2553 แต่ก็คาดว่าบริษัทจะยังคงดำรงนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังโดยการรักษาอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับไม่เกิน 1 เท่า
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทเซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้พัฒนาศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา พื้นที่ค้าปลีกของบริษัทมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 6.5% ต่อปี สูงกว่าอัตราการขยายตัวของพื้นที่ค้าปลีกรวมในเขตกรุงเทพฯ ที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 4.2% ต่อปี ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้พัฒนาและบริหารศูนย์การค้าจำนวน 10 แห่งในเขตกรุงเทพฯ และจังหวัดสำคัญๆ โดยมีพื้นที่รวม 691,695 ตารางเมตร (ตร.ม.) คิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดของพื้นที่ค้าปลีกถึง 28% และเป็นผู้ประกอบการอันดับ 1 ของประเทศในธุรกิจดังกล่าว ตระกูลจิราธิวัฒน์เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 34% รองลงมาคือ บริษัท เซ็นทรัล โฮลดิ้ง จำกัด จำนวน 27% การเป็นบริษัทในเครือเซ็นทรัลทำให้บริษัทได้รับประโยชน์จากการมีห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเป็นผู้เช่าพื้นที่รายสำคัญ
ทริสกล่าวว่า บริษัทเซ็นทรัลพัฒนามีผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเช่าพื้นที่ที่สูงมาโดยตลอด และมีการเติบโตจากรายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าสาขาเดิมอย่างสม่ำเสมอ ณ เดือนมีนาคม 2550 บริษัทมีอัตราการเช่าโดยเฉลี่ยของศูนย์การค้าทั้ง 10 แห่งที่ระดับ 95.5% เพิ่มขึ้นจากระดับ 93.1% ในปี 2548 และ 92.4% ในปี 2549 ซึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้นของศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ และเซ็นทรัลพลาซา รามอินทรา หลังการเปิดให้บริการของอาคารสำนักงานเซ็นทรัลเวิลด์ รายได้จากธุรกิจอาคารสำนักงานของบริษัทก็เพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 233 ล้านบาทในปี 2547 เป็น 733 ล้านบาทในปี 2549 บริษัทมีความต้องการเงินลงทุนจำนวนมากประมาณปีละ 5,500-7,500 ล้านบาทในช่วง 3 ปีข้างหน้าเพื่อรองรับแผนการขยายธุรกิจ ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะพัฒนาศูนย์การค้าใหม่อีก 4 แห่งภายในปี 2552 ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงหากศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว ไม่ได้ต่อสัญญาเช่าที่ดินกับการรถไฟแห่งประเทศไทย
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในปัจจุบันส่งผลให้ความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของผู้บริโภคถดถอยลง ดัชนีมูลค่าค้าปลีกทั่วประเทศลดลงเล็กน้อยในช่วง 2 เดือนแรกของปี 2550 ในขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอยู่ที่ระดับต่ำกว่า 100 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 33 อย่างไรก็ตาม การดำเนินงานของบริษัทเซ็นทรัลพัฒนาจะไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยเหล่านี้ในทันทีเนื่องจากบริษัททำสัญญาเช่าพื้นที่กับผู้เช่านานถึง 3 ปีเป็นอย่างต่ำ ทริสเรทติ้งกล่าว

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ