กรุงเทพฯ--20 ต.ค.--ธนาคารธนชาต
กลุ่มธนชาต(TCAP)โชว์ผลประกอบการกำไรโตกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยไตรมาสนี้ กำไร 1,538 ล้านบาท โตขึ้น 53.5% ธนาคารธนชาต (TBANK) กำไร 1,311 ล้านบาท ธนาคารนครหลวงไทย (SCIB) กำไร 1,030 ล้านบาท
บริษัท ทุนธนชาต (TCAP)รายงานผลประกอบการกำไรโตกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ โดยไตรมาส 3 ปีนี้ บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีกำไรเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีกำไร 1,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 536 ล้านบาท หรือร้อยละ 53.5 ซึ่งเป็นการเติบโตของกำไรกว่า 5 ไตรมาสติดต่อกัน สำหรับงวด 9 เดือนของปี มีกำไร 4,250 ล้านบาท ขณะที่ธนาคารธนชาต มีกำไรไตรมาส 3 เท่ากับ 1,311 ล้านบาทโตขึ้นร้อยละ 5.0 และธนาคารนครหลวงไทย มีกำไร 1,030 ล้านบาท โตขึ้นร้อยละ 8.9 พร้อมเผยแผนควบรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาต กับธนาคารนครหลวงไทย ขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมเสนอแผนฯ เพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย
นายศุภเดช พูนพิพัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทุนธนชาต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลจากความสำเร็จที่ธนาคารธนชาต เข้าซื้อหุ้นในธนาคารนครหลวงไทย ทำให้ ณ ไตรมาส 3 ปี 2553 บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีการเติบโตของสินทรัพย์เพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับสิ้นปีที่ผ่านมา โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมจำนวน 845,251 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 385,286 ล้านบาท หรือร้อยละ 83.8 นอกจากการเติบโตของสินทรัพย์แล้ว จากการเข้าซื้อหุ้นสามัญของธนาคารนครหลวงไทย ทำให้เงินให้สินเชื่อของบริษัทฯและบริษัทย่อยมีการกระจายตัวมากขึ้น โดยมีสัดส่วนของสินเชื่อรายย่อยต่อสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อวิสาหกิจขนาดย่อม เปลี่ยนไปจากเดิมที่ร้อยละ 79 ต่อ 21 ณ สิ้นปี 2552 เป็นร้อยละ 56 ต่อ 44 ทำให้ผลกระทบจากความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทฯและบริษัทย่อย เหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งจะส่งผลดีให้กับบริษัทฯและบริษัทย่อย ที่จะยังคงสามารถรักษาส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยไว้ได้ในช่วงภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
สำหรับผลประกอบการของ ทุนธนชาต (TCAP) ในไตรมาส 3 ปี 2553 มีกำไรตามงบการเงินรวมเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีกำไร 1,538 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 536 ล้านบาท หรือร้อยละ 53.5 สำหรับงวด 9 เดือนของปี มีกำไร 4,250 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการที่ดีขึ้นเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจในกลุ่มธนชาต ทั้งธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ประกันภัย ประกันชีวิต บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน และ บริษัทบริหารสินทรัพย์ ซึ่งมีผลประกอบการที่ดีขึ้น รวมทั้งได้รวมผลการดำเนินงานของธนาคารนครหลวงไทยเข้ากับงบการเงินรวมของบริษัทและบริษัทย่อยด้วย รวมทั้งการที่กลุ่มธนชาตได้อาศัยช่องทางสาขาของธนาคารนครหลวงไทยที่มีอยู่มากกว่า 400 สาขาในการเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ อีกทั้งบริษัทฯและบริษัทย่อยยังสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายทั้งสำรองหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญและค่าใช้จ่ายดำเนินการ โดยที่บริษัทฯ สามารถลดอัตราส่วนหนี้สูญและหนี้สงสัยจะสูญต่อเงินให้สินเชื่อลงจากร้อยละ 0.3 เป็นร้อยละ 0.2 และ ต้นทุนจากการดำเนินงานต่อรายได้รวมหลังหักค่าใช้จ่ายจากการรับประกันภัย/ประกันชีวิต อยู่ที่ร้อยละ 55.5 จึงเป็นผลทำให้บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีอัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์รวมเฉลี่ย (ROAA) และอัตราผลตอบแทนจากส่วนของผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ที่ร้อยละ 1.4 และ 18.0 ตามลำดับ
ทั้งนี้ อัตราการเติบโตของกำไรในไตรมาสนี้ ที่เติบโต ร้อยละ 53.5 เป็นอัตราการเติบโตที่ดีกว่าที่นักวิเคราะห์หลายสำนักเคยคาดการณ์ไว้ว่า TCAP จะมีกำไรในไตรมาสนี้เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน จะโตประมาณ ร้อยละ 30-40 นอกจากนี้ TCAP ยังมีอัตราการโตขึ้นของกำไรติดต่อกัน 5 ไตรมาสซ้อนกันอีกด้วย
นายสมเจตน์ หมู่ศิริเลิศ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ธนาคารธนชาต จำกัด (มหาชน) และ ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารนครหลวงไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของทั้งธนาคารธนชาต และธนาคารนครหลวงไทย มีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่องโดย ธนาคารธนชาตมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,311 ล้านบาท และธนาคารนครหลวงไทยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1,030 ล้านบาท ซึ่งการเติบโตของกำไรของทั้งสองธนาคารเกิดจากความร่วมมือกันในการทำงานของพนักงานทั้งสองธนาคาร มีการเรียนรู้ ปรับปรุงการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น รวมถึง Synergy ที่เกิดขึ้น ส่งผลให้เกิดการทำ Cross-selling ผ่านสาขาที่มีอยู่กว่า 670 สาขาทั่วประเทศ “เราได้เริ่มขาย Product ของธนชาตผ่านสาขาของ SCIB ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา อาทิเช่น ประกันภัย ประกันชีวิต กองทุน หลักทรัพย์ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับที่ดีขึ้นตามลำดับ และเราเริ่มรุกตลาดรายย่อยมากขึ้นโดยขายสินเชื่อรถแลกเงิน ผ่านสาขา SCIB ที่เชียงใหม่เป็นที่แรกตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคม และคาดว่าเดือนพฤศจิกายนนี้เราจะขยายไปทั่วประเทศ” นายสมเจตน์กล่าว
นายสมเจตน์ ยังกล่าวถึงความคืบหน้า แผนการควบรวมกิจการระหว่างธนาคารธนชาต กับธนาคารนครหลวงไทย ว่า เป็นไปด้วยความราบรื่นและตามกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยทั้ง 2 ธนาคาร ได้ร่วมทำงานประสานกันตลอดเวลา ซึ่งการจัดทำแผนควบรวมกิจการระหว่างกัน ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำรายละเอียดโครงการรับโอนกิจการของธนาคารนครหลวงไทยมายังธนาคารธนชาตฉบับสมบูรณ์ เพื่อเสนอขอความเห็นชอบจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งคาดว่าจะเสนอได้ภายในเดือนตุลาคมนี้