ไอเอ็นจีเผยผลสำรวจภาวะการลงทุนไตรมาส 3/2553

ข่าวเศรษฐกิจ Thursday October 21, 2010 12:00 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--21 ต.ค.--อาซิแอม เบอร์สัน — มาร์สเตลเลอร์ ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยประจำไตรมาส 3/2553 พุ่ง 21% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียมีการเติบโตโดดเด่นสูงกว่ามาตรฐานโดยรวม ผลสำรวจระบุว่า นักลงทุนไทยมีความเชื่อมั่นในการเติบโตของเศรษฐกิจโดยรวม แม้ว่าการฟื้นตัว ของเศรษฐกิจสหรัฐจะชะลอตัว และภัยคุกคามจากสงครามค่าเงิน ประเด็นสำคัญจากรายงานการสำรวจภาวะการลงทุนประจำไตรมาสของไอเอ็นจี กรุ๊ป ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยประจำไตรมาส 3/2553 เพิ่มขึ้น 21% มาอยู่ที่ 154 จากเดิมที่ระดับ 127 ในไตรมาส 2/2553 ซึ่งยังคงอยู่ในแดนบวก โดยเพิ่มขึ้น 161% จาก 59 ในไตรมาส 4/2551 ซึ่งเกิดวิกฤติการเงิน ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชียเพิ่มขึ้น 7% จาก 136 ในไตรมาส 2/2553 มาอยู่ที่ 146 ในไตรมาส 3/2553 โดยอยู่ในระดับสูงขึ้นในแดนบวก และเพิ่มขึ้น 100% จาก 73 ในไตรมาส 4/2551 ซึ่งเกิดวิกฤติการเงิน ความเชื่อมั่นนักลงทุนไทยส่งสัญญาณอยู่ในแดนบวกต่อไปอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/2553 นักลงทุนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มั่นใจว่า ตลาดเอเชียจะมีการเติบโตที่สวนทิศทางกับตลาดโลก โดยความเชื่อมั่นในเศรษฐกิจเอเชียอยู่ในแดนบวก ขณะเดียวกันนักลงทุนเอเชียยังคงมีความระมัดระวังเกี่ยวกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ในไตรมาส 3/2553 นักลงทุนเอเชียจำนวน 36% คาดการณ์ว่า เงินเหรียญสหรัฐจะยังคงอ่อนค่าอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่นๆ ซึ่วจำนวนนักลงทุนที่เชื่อเช่นนี้เพิ่มขึ้น จาก 21% ในไตรมาส 2/2553 การยอมรับความเสี่ยงมีมากขึ้น เนื่องจากผลตอบแทนการลงทุนเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3/2553 และนักลงทุนชาวไทยยอมรับการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูงเพิ่มขึ้น ไอเอ็นจี กรุ๊ป สถาบันการเงินชั้นนำของโลก เผยข้อมูลจากรายงานการสำรวจภาวะการลงทุนรายไตรมาสว่า ความเชื่อมั่นของ นักลงทุนในประเทศไทยยังคงอยู่ในแดนบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6 โดยดีดตัวพุ่งขึ้น 21% มาอยู่ที่ 154 ในไตรมาส 3/2553 จาก 127 ในไตรมาส 2/2553 ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งนี้ เป็นผลจากการที่นักลงทุนไทยยังคงมีความมั่นใจในการเติบโต ของเศรษฐกิจโดยรวม แม้ว่าจะมีสัญญาณบ่งชี้ถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและการคุกคามจากสงครามค่าเงินโลก สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นเฉลี่ยของนักลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ146 ในไตรมาส 3/2553 จาก 136 ในไตรมาส 2/2553 สูงกว่าดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับ 73 ในไตรมาส 4/2551 ถึง 100% และยังคงอยู่ในแดนบวกติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 6 ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชีย ความเชื่อมั่นนักลงทุนในเอเชียได้รับอิทธิพลจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนในจีน ฮ่องกง และไทย ความเชื่อมั่นของนักลงทุนในประเทศฮ่องกง จีน และไทยในไตรมาส 3/2553 จัดอยู่ในกลุ่มที่มีการเติบโตระดับไตรมาสสูงสุด โดยดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนในฮ่องกงเพิ่มขึ้น 22% ซึ่งสูงสุด โดยอยู่ที่ 151 ในไตรมาส 3/2553 จาก 124 ในไตรมาส ก่อนหน้า แซงหน้าดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวจีนที่อยู่ในระดับที่ 143 ในไตรมาส 3/2553 เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ ไตรมาส 2/2551 สำหรับประเทศไทย ดัชนีความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวไทยเพิ่มขึ้น 21% สูงสุดในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ดูข้อมูลในตารางแนบท้าย) มร. ปราเน คุปตา ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน ไอเอ็นจี อินเวสท์เมนท์ แมเนจเมนท์ เอเชีย/แปซิฟิก กล่าวว่า “ข้อมูล ของสหรัฐอเมริกายังคงบ่งชี้ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่มีการชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การคาดการณ์ ว่าสหรัฐอเมริกาจะมีการใช้มาตรการเสริมสภาพคล่อง (Quantitative Easing) เป็นแรงกดดันให้ค่าเงินของประเทศผู้ส่งออก ในภูมิภาคเอเชียแข็งขึ้น ทำให้ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคดังกล่าวออกมาตรการจัดการวิกฤติค่าเงินแข็งอย่างเต็มที่ เพื่อรักษา อัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ และขับเคลื่อนความเชื่อมั่นผู้บริโภคในภูมิภาคเอเชียให้อยู่ในแดนบวก นอกจากนี้ กระแสเงิน ที่ไหลเข้าตลาดเกิดใหม่ในเอเชียอย่างต่อเนื่องมาจากนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดหุ้นในภูมิภาค ดังกล่าวมีการเติบโตอย่างโดดเด่น และทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้น” “ในประเทศจีนและฮ่องกง ความวิตกกังวลที่ลดลงของนักลงทุนเกี่ยวกับมาตรการทางเศรษฐกิจที่เข้มงวดเกินไป เสริมด้วย การผ่อนคลายของมาตรการเปิดรับเงินฝากในสกุลเงินเรนมินบิในฮ่องกง เป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุน ดีดตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้” นายคุปตา กล่าวเสริม นักลงทุนชาวเอเชียเชื่อมั่นว่า ภาวะการถดถอยรอบสอง (double — dip recession) จะไม่เกิดในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งมี การเติบโตแบบสวนกระแสตลาดโลก นักลงทุนชาวเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีทัศนะเกี่ยวกับเศรษฐกิจของประเทศตนในเชิงบวก แต่ยังคงให้ความระมัดระวังกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันก็มีนักลงทุนจำนวนมากขึ้น คาดการณ์ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐจะอ่อนค่าลง เศรษฐกิจของแต่ละประเทศฟื้นตัวขึ้น ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส 2/2553 เอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) 63% 59% ไทย 74% 45% ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 56% 51% อินเดีย 88% 89% จีน 62% 59% ฮ่องกง 74% 52% (% ของนักลงทุน) เศรษฐกิจของแต่ละประเทศจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสหน้า ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส 2/2553 เอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) 68% 68% ไทย 69% 58% ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 72% 70% เศรษฐกิจของแต่ละประเทศจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสหน้า ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส 2/2553 อินเดีย 87% 89% จีน 62% 60% ฮ่องกง 69% 60% (% ของนักลงทุน) เศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาจะฟื้นตัวขึ้นในไตรมาสหน้า ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส 2/2553 เอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) 51% 51% ไทย 56% 53% ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 53% 50% อินเดีย 67% 71% จีน 50% 50% ฮ่องกง 48% 45% (% ของนักลงทุน) ค่าเงินเหรียญสหรัฐอเมริกาจะอ่อนค่าลง ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส 2/2553 เมื่อเทียบกับค่าเงินสกุลอื่นๆในไตรมาสหน้า เอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) 36% 21% ไทย 38% 21% ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 35% 25% อินเดีย 23% 19% จีน 39% 27% ฮ่องกง 39% 17% (% ของนักลงทุน) ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัด ผลสำรวจบ่งชี้ว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในด้านต่างๆ ดังนี้ ทัศนะของนักลงทุนตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส 2/2553 สภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยฟื้นตัวขึ้น 74% 45% ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้น 67% 48% สถานภาพการเงินส่วนบุคคลดีขึ้น 66% 47% สถานภาพการเงินในครัวเรือนดีขึ้น 63% 42% (% ของนักลงทุนไทย) ทัศนะของนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้า ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส 2/2553 สภาวะเศรษฐกิจในประเทศไทยจะฟื้นตัวขึ้น 69% 58% ผลตอบแทนจากการลงทุนจะเพิ่มขึ้น 74% 62% สถานภาพการเงินส่วนบุคคลจะดีขึ้น 70% 58% สถานภาพการเงินในครัวเรือนจะดีขึ้น 72% 61% (% ของนักลงทุนไทย) นายต่อ อินทวิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายธุรกิจกองทุนและที่ปรึกษาการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ผลสำรวจแสดงให้เห็นว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวไทยในไตรมาสนี้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมากจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งนักลงทุนไทยยังคงมีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจและการลงทุน นอกจากนี้ ความแข็งแกร่งของภาคการส่งออก การปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ และวิกฤติการเมืองที่คลี่คลาย ยังเป็นปัจจัยขับเคลื่อนให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนพุ่งสูงขึ้นในไตรมาส 3/2553” มร. แมทธิว วิลเลียมส์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์และการตลาด บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ไอเอ็นจี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “จีดีพีไทยที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/2553 รวมถึงคาดการณ์จีดีพีทั้งปีที่ปรับสูงขึ้นถึง 7.5% เป็นปัจจัยที่เพิ่มความเชื่อมั่นของนักลงไทย นอกจากนี้ ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่พุ่งขึ้น 22% ในไตรมาส 3/2553 เป็นสิ่งที่แสดง ให้เห็นถึงความสัมพันธ์อย่างชัดเจนระหว่างความแข็งแกร่งของตลาดหุ้นไทยและความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทย ดังนั้น ไอเอ็นจี จึงคาดการณ์ว่า ความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยจะยังคงเพิ่มขึ้นไปพร้อมๆ กับผลประกอบการอันโดดเด่นของตลาดหลักทรัพย์” ผลกระทบของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาที่มีต่อการตัดสินใจของนักลงทุน นักลงทุนชาวไทย 54% เชื่อว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีผลกระทบเชิงบวกต่อการตัดสินลงทุนในไตรมาส 3/2553 ขณะที่นักลงทุนไทย 51% มั่นใจว่า เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกามีผลกระทบเชิงบวกต่อการตัดสินลงทุนในไตรมาส 4/2553 นายต่อยังได้กล่าวถึงผลกระทบของตลาดตะวันตกที่มีต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนชาวไทยว่า “ตลาดสหรัฐอเมริกาจะส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจของนักลงทุนไทย โดยความเชื่อมั่นของนักลงทุนไทยที่มีต่อการลงทุนในหลักทรัพย์ทั่วโลกจะได้รับอิทธิพลจากทิศทางการเติบโตของตลาดประเทศที่พัฒนาแล้ว ดังนั้น ไอเอ็นจีจึงยังคงมั่นใจว่า สภาวะถดถอยรอบสองของเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะไม่เกิดขึ้น เนื่องจากสภาวะการเงินในทั้ง 2 ภูมิภาคดังกล่าวยังคงมีลักษณะผ่อนคลาย และภาคธุรกิจมีการฟื้นตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่ปัญหาระดับโครงสร้างในประเทศอุตสาหกรรมรายใหญ่ต่างๆ จะเป็นอุปสรรคอย่างรุนแรงในบางครั้ง และนี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมไอเอ็นจีจึงเล็งเห็นถึงความสำคัญของตลาดเกิดใหม่มากกว่า” มร. วิลเลียมส์กล่าวเสริมว่า “สำหรับนักลงทุนไทยจะมุ่งให้ความสำคัญกับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนอย่างเหมาะสม และสินทรัพย์ ที่มีศักยภาพการเติบโตทางด้านเงินทุนอย่างอิสระและมีเสถียรภาพมากกว่า ซึ่งไอเอ็นจีมีความเห็นว่า ตราสารหนี้และหุ้นในตลาดเกิดใหม่เป็นช่องทางการลงทุนที่ดีที่สุดสำหรับนักลงทุนในปัจจุบัน” มุมมองที่แข็งแกร่งของนักลงทุนและความพร้อมที่จะรับความเสี่ยงที่มากขึ้น เป็นสัญญาบ่งชี้ถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อตลาดการเงินในเอเชีย นักลงทุนเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) มีผลตอบแทนการลงทุนในไตรมาส 3/2553 เพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาส 2/2553 ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วภูมิภาคเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย ผลตอบแทนจากการลงทุนเพิ่มขึ้น ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส2/2553 เอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) 61% 48% ไทย 67% 48% ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 59% 51% อินเดีย 85% 69% จีน 54% 38% ฮ่องกง 70% 38% (% ของนักลงทุน) ทัศนะที่มีต่อการลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง ไตรมาส 3/2553 ไตรมาส 2/2553 เอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) 52% 45% ไทย 64% 52% ตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 54% 50% อินเดีย 76% 68% จีน 50% 38% ฮ่องกง 50% 35% (% ของนักลงทุน) มร. คุปตา กล่าวว่า “นักลงทุนจำเป็นต้องจับตาดูการเคลื่อนไหวของเศรษฐกิจโลกในอีก 6 — 12 เดือนข้างหน้าอย่างรอบคอบ หากดัชนีผู้บริโภคในสหรัฐอเมริกายังไม่มีการฟื้นตัว ราคาสินทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาก็จะไม่มีการฟื้นตัวด้วยเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลให้สหรัฐอเมริกาจำเป็นต้องใช้มาตรการเสริมสภาพคล่อง (Quantitative Easing) ในรูปของการประกาศใช้นโยบายการเงินแบบ ผ่อนคลาย ซึ่งการใช้มาตรการดังกล่าวของสหรัฐอเมริกาจะเป็นแรงกดดันให้ค่าของเงินสกุลต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียแข็งขึ้น และอัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคดังกล่าวมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์ลดลง ตลาดการเงินจะมีสภาวะถดถอย และความเชื่อมั่นของนักลงทุนจะลดลง สำหรับความเสี่ยงอื่นๆ ที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่ ความไร้เสถียรภาพของค่าเงินยูโรที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง เนื่องจากปัญหาวิกฤติหนี้สาธารณะในยุโรป (PIIGS crisis) จะยังคงปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์” แม้ว่านักลงทุนไทยจะมีความเชื่อมั่น แต่ยังไม่เน้นลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง สำหรับในไตรมาส 4/2553 นักลงทุนชาวไทย 70% เชื่อว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 9.6% ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่น ที่ดีของนักลงทุนที่มีต่อตลาดหลักทรัพย์ของไทย อย่างไรก็ตาม ผลการศึกษาเกี่ยวกับภาวะการลงทุนในไตรมาส 3/2533 พบว่า นักลงทุนยังคงเลือกรูปแบบการลงทุนที่ปลอดภัย โดยการลงทุนในทองคำ (66%) เงินสด / เงินฝาก (59%) เป็นรูปแบบการลงทุน ที่ได้รับความนิยมมากกว่าการลงทุนในหุ้น (32%) นอกจากนี้ นักลงทุนไทย (96%) คาดว่าจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนมากกว่า 4% และผลตอบแทนจากการลงทุนที่คาดหวังโดยเฉลี่ยสำหรับนักลงทุนทั้งหมดจะอยู่ที่ 11.35% ทั้งนี้ นายต่อได้ให้ข้อคิดเห็นต่อกรณีดังกล่าวว่า “ปัจจุบัน นักลงทุนได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนล่าสุดในระดับที่สูง จึงอาจทำให้มีความคาดหวังว่าจะได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นอีกในอนาคต อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่า ความคาดหวังของ นักลงทุนไม่ได้เป็นไปในทิศทางเดียวกับพฤติกรรมการลงทุน ดังจะเห็นได้จากการเลือกรูปแบบการลงทุนที่มุ่งเน้น ให้ความสำคัญกับการถือครองเงินสดและเงินฝากมากกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่นๆ” “นักลงทุนชาวไทยจากหลากหลายกลุ่มรายได้และสินทรัพย์ยังคงเน้นการลงทุนเชิงอนุรักษ์นิยม ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เขาไม่ได้ต้องการสร้างความมั่งคั่งให้แก่ตนเองเท่าที่ควร นักลงทุนชาวไทยกลัวการขาดทุน และคำนึงถึงความเสี่ยงจากการสูญเสีย เงินลงทุนมากกว่าโอกาสที่เงินลงทุนจะเติบโต ดังนั้นจึงให้น้ำหนักกับการลงทุนในรูปแบบของเงินสดและเงินฝากในระดับสูง อย่างไรก็ตาม นักลงทุนเหล่านี้ต้องเผชิญความเสี่ยงเพิ่มขึ้น เนื่องจากเขาไม่ได้จัดสรรการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีการเติบโต อย่างพอเพียง ทำให้มีเงินทุนสำหรับใช้จ่ายในยามเกษียณอย่างไม่พอเพียง ในกรณีดังกล่าว ผู้ให้บริการทางการเงินจึงจำเป็นต้องให้คำแนะนำเกี่ยวกับรูปแบบการลงทุนที่ถูกต้อง เพื่อให้นักลงทุนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระดับความเสี่ยงของการลงทุน แต่ละประเภทและสามารถสร้างความมั่งคั่งเพื่อรองรับช่วงเวลาเกษียณอย่างมีประสิทธิภาพ” มร. วิลเลียมส์ กล่าวปิดท้าย สามารถดาวน์โหลดข้อมูลดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนของไอเอ็นจี กรุ๊ป และผลสำรวจล่าสุดได้ที่ http://www.ing.asia/investor_dashboard ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสำรวจไอเอ็นจี อินเวสเตอร์ แดชบอร์ด การสำรวจภาวะการลงทุนไอเอ็นจี อินเวสเตอร์ แดชบอร์ด (ING Investor Dashboard) ได้ดำเนินการมายาวนานกว่า 2 ปี จัดทำขึ้นเพื่อประเมินทัศนคติและพฤติกรรมการลงทุนของนักลงทุนเป็นรายไตรมาสในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก 12 ประเทศ ได้แก่ จีน ฮ่องกง อินเดีย อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย และนับเป็น การสำรวจรายไตรมาสรายแรกในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งแสดงดัชนีความเชื่อมั่นด้านการลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ทั้งยังเสนอภาพรวมของตลาดการลงทุนและทัศนคติของนักลงทุนในแต่ละประเทศ และยังมีการจัดทำดัชนี ความเชื่อมั่นเฉลี่ยของนักลงทุนในภูมิภาคแพนเอเชียโดยคิดค่าเฉลี่ยจากทุกประเทศข้างต้น ยกเว้นญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เพื่อใช้อ้างอิงเปรียบเทียบกับดัชนีความเชื่อมั่นของแต่ละประเทศ สำหรับการสำรวจประจำไตรมาส 3/2553 ได้ดำเนินการเมื่อเดือนกันยายน 2553 โดยการสัมภาษณ์ออนไลน์จากกลุ่มตัวอย่างนักลงทุนจำนวน 3,755 คน จาก 12 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก กลุ่มตัวอย่างมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป มีสินทรัพย์สุทธิ หรือเงินลงทุนรวมอย่างน้อย 100,000 เหรียญสหรัฐ ยกเว้นประเทศอินโดนีเซีย (สินทรัพย์สุทธิหรือเงินลงทุนรวมตั้งแต่ 60,000 เหรียญสหรัฐขึ้นไป) และฟิลิปปินส์ (สินทรัพย์สุทธิหรือเงินลงทุนรวม 60,000 เหรียญสหรัฐหรือรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 200,000 เปโซขึ้นไป) โดยผลสำรวจจัดทำโดยเดอะ นีลเส็น คอมปะนี (The Nielsen Company) และได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง ทั้งจากสถาบันการเงินและสื่อมวลชนใน 12 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชีย

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ