ทริสเรทติ้งทบทวนอันดับเครดิตองค์กร+หุ้นกู้มีประกัน “บ. ทรู คอร์ปอเรชั่น” ที่ “BBB” และจัดอันดับหุ้นกู้ไม่มีประกันที่ “BBB-” พร้อมแนวโน้ม “Negative” จาก “Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Friday October 22, 2010 08:28 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--22 ต.ค.--ทริสเรทติ้ง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการทบทวนอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้มีประกันของ บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)ที่ระดับ “BBB” ในขณะเดียวกันก็ประกาศผลการจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,100 ล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “BBB-” ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กร 1 ขั้นเนื่องจากลักษณะของความเป็นหุ้นกู้ที่ไม่มีหลักประกัน นอกจากนี้ ทริสเรทติ้งยังเปลี่ยนแนวโน้มอันดับเครดิตของบริษัทเป็น “Negative” หรือ “ลบ” จาก “Stable” หรือ “คงที่” ด้วย โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงฐานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งจากการเป็นผู้นำในธุรกิจให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทย ตลอดจนคณะผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญ รวมถึงโอกาสในการเติบโตของธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง (Broadband) โทรศัพท์เคลื่อนที่ และโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวมีข้อจำกัดจากฐานะการเงินที่อ่อนแออันเป็นผลมาจากการมีภาระหนี้จำนวนมาก ตลอดจนผลกระทบจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจหลัก ความไม่แน่นอนของกฎระเบียบด้านโทรคมนาคม และความเสี่ยงในการกู้เงินเพื่อชำระหนี้ในอนาคต ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงแนวโน้มความเสี่ยงที่สูงขึ้นในการหาแหล่งเงินเพื่อชำระคืนหนี้ในปี 2556 ของทรูมูฟ บริษัทลูกที่ดำเนินธุรกิจไร้สายหรือโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยความเสี่ยงดังกล่าวมาจากหุ้นกู้ที่ใกล้ถึงกำหนดเวลาชำระคืนที่มีมูลค่าสูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับกระแสเงินสดของบริษัทและจากความไม่แน่นอนของโครงสร้างธุรกิจของทรูมูฟหากบริษัทไม่ได้รับใบอนุญาต 3 จี ก่อนที่สัมปทานจะหมดอายุลง ทั้งนี้ อันดับเครดิตอาจถูกปรับลดลงได้ภายในเวลา 12-18 เดือนข้างหน้าหากบริษัทไม่มีแผนธุรกิจและการเงินของทรูมูฟที่แน่นอนชัดเจน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มอาจปรับเป็น “Stable” หรือ “คงที่” หากทรูมูฟสามารถบรรลุเงื่อนไขที่ระบุข้างต้นได้ หรือหากสภาพตลาดและกฎระเบียบเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เอื้อต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทในระยะยาว ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น เป็นผู้นำในการให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรของประเทศ ธุรกิจหลักของบริษัททั้ง3 กลุ่มประกอบด้วย กลุ่มธุรกิจโครงข่ายสายสัญญาณ (Wireline) ซึ่งดำเนินงานโดยทรูออนไลน์ กลุ่มธุรกิจไร้สาย (Wireless) หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่โดยทรูมูฟ และกลุ่มธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิก (Pay TV) โดยทรูวิชั่นส์ ในครึ่งแรกของปี 2553 ธุรกิจทั้ง 3 กลุ่มสร้างรายได้ให้แก่บริษัทในสัดส่วน 35% 50% และ 15% และสร้างรายได้ก่อนหักค่าเสื่อมราคาในสัดส่วน 51% 36% และ 12% ตามลำดับ บริษัทมีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในตลาดอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงด้วยส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งประเทศที่ 35% และในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ 67% บริษัทมีความสามารถในการแข่งขันที่สูงในตลาดดังกล่าวจากการมีเครือข่ายที่ครอบคลุมในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล โอกาสในการเติบโตของธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ใช้บริการน่าจะสามารถแทนที่รายได้ธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานที่กำลังลดลงได้อย่างเต็มที่ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า นอกจากนี้ สถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งของบริษัทยังสะท้อนถึงการเป็นผู้ให้บริการโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกรายใหญ่ที่สุด รวมทั้งเป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่อันดับ 3 โดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งประเทศประมาณ 50% และ 24% ตามลำดับ ทั้งนี้ ธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกที่ยังมีอัตราส่วนจำนวนผู้ใช้บริการต่อประชากรในระดับต่ำและบริการสื่อสารด้านข้อมูลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ถือเป็นธุรกิจสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนพื้นฐานทางธุรกิจและสถานะเครดิตให้แก่บริษัทได้ในระยะปานกลาง ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บริษัททรู คอร์ปอเรชั่นเผชิญกับความท้าทายจากการแข่งขันเช่นเดียวกับผู้ประกอบธุรกิจโทรคมนาคมอื่น ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและอัตราค่าบริการมีผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก ในขณะที่ธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานและบริการด้านเสียงสำหรับโทรศัพท์เคลื่อนที่ก็อยู่ในภาวะอิ่มตัวซึ่งส่งผลให้รายได้ไม่เติบโตหรือถดถอยลง อีกทั้งยังได้รับผลกระทบในด้านลบจากกฎระเบียบที่ไม่แน่นอนด้วย บริษัทมีฐานะทางการเงินที่อ่อนแอโดยงบดุลมีภาระหนี้สูงและยังมีความเสี่ยงจากการหาแหล่งเงินเพื่อชำระหนี้ในปี 2556 อย่างไรก็ตาม รายได้และอัตราส่วนกำไรที่ค่อนข้างคงที่ช่วยให้การคาดการณ์กระแสเงินสดของบริษัทในระยะปานกลางมีความแน่นอน รายได้ของบริษัท (ไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย หรือ IC) น่าจะเติบโตประมาณ 3%-4% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจากธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง บริการสื่อสารด้านข้อมูลผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ และรายได้จากการโฆษณาทางโทรทัศน์ ซึ่งการเติบโตดังกล่าวจะลดทอนลงบางส่วนจากรายได้ที่ลดลงในธุรกิจโทรศัพท์พื้นฐานและบริการด้านเสียงผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ บริษัทมีอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานค่อนข้างคงที่ที่ประมาณ 31%-33% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทว่าอัตราส่วนกำไรของทรูมูฟอาจผันผวนได้จากค่าเชื่อมต่อโครงข่ายเนื่องจากอัตราค่าใช้บริการในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วระหว่างการใช้บริการในและนอกเครือข่าย อัตราส่วนกำไรของบริษัทน่าจะได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจในกลุ่มออนไลน์และอัตราส่วนแบ่งรายได้ของทรูมูฟที่จะปรับสูงขึ้นภายหลังปี 2554 จาก 25% เป็น 30% ของรายได้จากค่าบริการ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 บริษัทมีภาระหนี้อยู่ที่ 75.7 พันล้านบาท ลดลงจากระดับสูงสุดในปี 2548 ที่ 95.3 พันล้านบาท อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนอยู่ในระดับสูงมากแม้จะปรับตัวลดลงเล็กน้อยเป็น 87.0% ในเดือนมิถุนายน 2553 จาก 92.3% ในปี 2548 ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนดังกล่าวมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเพียงเล็กน้อย ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีภาระหนี้ที่ถึงกำหนดชำระในระหว่างปี 2554-2555 ที่ 5.8-5.9 พันล้านบาทต่อปี และจะเพิ่มขึ้นเป็น 21.9 พันล้านบาทในปี 2556 และ 17.3 พันล้านบาทในปี 2557 โดยหนี้ที่ถึงกำหนดชำระที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากหุ้นกู้ของทรูมูฟ ทริสเรทติ้งกล่าว บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (TRUE) อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ BBB อันดับเครดิตตราสารหนี้: TRUE117A: หุ้นกู้มีประกัน 2,413 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ BBB TRUE144A: หุ้นกู้มีประกัน 6,183 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 คงเดิมที่ BBB TRUE151A: หุ้นกู้มีประกัน 7,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 คงเดิมที่ BBB หุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,100 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2556 BBB- แนวโน้มอันดับเครดิต: Negative (ลบ) จาก Stable (คงที่)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ