กรุงเทพฯ--28 ต.ค.--กบข.
สถาบันคุ้มครองเงินฝากย้ำลงทุนในสินทรัพย์มั่นคงสูงตามกรอบกฎหมายกำหนด ผู้ฝากเงินสบายใจ ได้รับการคุ้มครองเงินฝากตามกฎหมายกำหนด
นายสิงหะ นิกรพันธุ์ ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) เปิดเผยว่าจากตัวเลขสถิติ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 พบว่ามีจำนวนผู้ฝากเงินทั้งสิ้นประมาณ 58.6 ล้านรายที่อยู่ภายใต้ความคุ้มครองจากสถาบันคุ้มครองเงินฝาก คิดเป็นเงินฝากที่ได้รับความคุ้มครองทั้งสิ้น 6.9 ล้านล้านบาท อย่างไรก็ดี ถ้าวงเงินคุ้มครองลดลงเหลือ 1 ล้านบาท ตามที่กำหนดใน พ.ร.บ.สถาบันคุ้มครองเงินฝากฯ ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 11 สิงหาคม 2555 จะมีผู้ฝากที่มีเงินฝากภายในวงเงินคุ้มครองจำนวน 1 ล้านบาท จำนวน 57.7 ล้านราย หรือร้อยละ 98.52 ของจำนวนผู้ฝากทั้งหมด คิดเป็นเงินฝากจำนวน 1.54 ล้านล้านบาท หรือร้อยละ 22.27 ของเงินฝากทั้งหมด
เงินที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากนำมาใช้จ่ายคืนเงินผู้ฝากนั้น เป็นเงินที่สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝาก การบริหารจัดการกองทุนคุ้มครองเงินฝากที่ดี จึงมีความสำคัญต่อประสิทธิภาพการดำเนินการของระบบประกันเงินฝาก ซึ่งนโยบายการลงทุนหรือนโยบายการบริหารพอร์ตของกองทุน สคฝ. ได้ยึดมั่นในเรื่องความมั่นคงสูงและความปลอดภัยของเงินต้นเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในช่วงแรกของการเปิดดำเนินการ ทั้งนี้ เป็นแนวทางเดียวกับสถาบันประกันเงินฝากในประเทศต่างๆ ซึ่งปัจจุบัน สคฝ.ได้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ตราสารหนี้ที่รัฐบาลค้ำประกัน เงินฝากธนาคารแห่งประเทศไทยหรือตราสารหนี้ที่ธนาคารแห่งประเทศเป็นผู้ออก และเงินฝากธนาคารที่มีกฎหมายเฉพาะจัดตั้งขึ้น
ทั้งนี้ ตามกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการลงทุนของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2553 ให้การนำเงินกองทุนคุ้มครองเงินฝากไปลงทุน จะต้องลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความมั่นคงสูงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80 ของการลงทุนทั้งหมด โดยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง
นายสิงหะย้ำว่าการลงทุนที่รัดกุมของสถาบันคุ้มครองเงินฝากทำให้ผู้ฝากเงินมั่นใจได้ว่ากรณีที่สถาบันการเงินเกิดปัญหา ประชาชนส่วนใหญ่ที่มีเงินฝากไม่เกิน 1 ล้านบาทจะไม่ได้รับผลกระทบ จึงไม่ต้องตระหนกตกใจเร่งรีบถอนเงินออกมา เนื่องจากหากเกิดกรณีที่สถาบันการเงินถูกสั่งปิดการดำเนินกิจการ สคฝ.ก็พร้อมที่จะจ่ายเงินคืนให้กับผู้ฝากเงินตามวงเงินการคุ้มครองที่กฎหมายกำหนดไว้
ทั้งนี้ หากผู้สนใจต้องการสอบถามข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ 02-272-0300 หรือติดตามข้อมูลได้ทาง www.dpa.or.th