กรุงเทพฯ--31 ม.ค.--เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์
ยักษ์ใหญ่จากซาอุดิอาระเบีย รุกขยายฐานส่งออกอาหารทะเลเจาะเข้าตลาดตะวันออกกลาง เปิดบริษัท สยาม แอนด์ ชามิ เรดซี จำกัด ทำธุรกิจครบวงจรตั้งแต่ประมง แปรรูป ธุรกิจภัตตาคารและเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง
โดยใช้บริษัท พี.ที. อินเตอร์ฟิชเชอรี่ จำกัด บริษัทประมงในเครือเป็นกองหน้าในการร่วมทุน พร้อมใช้จุดแข็งของภัตตาคารฟาสต์ซีฟู้ด “พรานทะเล” เป็นเครือข่ายต้นแบบในการพัฒนาอาหารแบบฮาลาล เผยตลาดอาหารทะเลกำลังบูมสุดๆในตะวันออกกลาง
นายธงชัย ธาวนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พี.ที. อินเตอร์ฟิชเชอรี่ จำกัด หนึ่งในเครือบริษัทยูเนี่ยน โฟรเซนโปรดักส์ จำกัด และเป็นบริษัทแม่ของบริษัท พรานทะเล มาร์เก็ตติ้งจำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามร่วมทุนดำเนินการธุรกิจอาหารทะเลกับบริษัท ซามิ อัล -ฮัสซานิ แอนด์ ซันส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเรียลเอสเตท โรงแรม อพาร์ทเม้นท์ โรงพยาบาล โรงพิมพ์ PHARMACY ค้าวัสดุก่อสร้าง ฟาร์มปศุสัตว์ สวนมะม่วง-อินทผลัม จากประเทศซาอุดิอาระเบีย ดำเนินการจัดตั้งบริษัท บริษัท สยาม แอนด์ ชามิ เรดซี จำกัด (Siam and Shami Red Sea Co.,Ltd.) ด้วยทุนจดทะเบียนบริษัทเบื้องต้น 10 ล้านบาท โดยรูปแบบการลงทุนดังกล่าวจะมีสัดส่วนการร่วมทุน 50:50 และวางแนวทางการบริหารร่วมกันระหว่างคนไทยและซาอุดิอาระเบีย เพื่อร่วมกันทำอุตสาหกรรมประมงน่านน้ำและแปรรูปสัตว์น้ำในน่านน้ำตะวันออกกลาง ให้ตอบสนองความต้องการบริโภคอาหารทะเลของผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด ทั้งนี้ เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางธุรกิจของตลาดที่อาหารทะเลกำลังเป็นที่นิยมในประเทศซาอุดิอาระเบียและตะวันออกกลาง ซึ่งในกระบวนการผลิตแล้วจะต้องมีความพร้อมในหลายด้าน ทั้งการจัดหาวัตถุดิบ เทคโนโลยีการผลิตและแปรรูป กำลังผลิต ช่องทางจำหน่ายและทรัพยากรบุคคล การขยายธุรกิจของทั้งสองบริษัท จึงเป็นการนำศักยภาพที่แข็งแกร่งของแต่ละบริษัทมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจ โดยทาง ยูเอฟพี มีความเชี่ยวชาญในการจัดหาวัตถุดิบและแปรรูปอาหารทะเลส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก ส่วนทางด้านชามิฯ นั้น มีเครือข่ายธุรกิจที่ใหญ่และกว้างขวางหลายประเทศในซาอุดิอาระเบีย
ทั้งนี้ บริษัท สยาม แอนด์ ชามิ เรดซี จำกัด มีรูปแบบแผนการดำเนินธุรกิจแบ่งออกเป็น 4 โครงการ โดยเริ่มจากการทำประมง ซึ่งเป็นโครงการเริ่มแรกในการร่วมดำเนินธุรกิจครั้งนี้ ประกอบด้วย เรือประมงขนาด 300 ตัน ที่มีศักยภาพในการหาแหล่งและจับวัตถุดิบ 2 ลำ และเรือประมงขนาด 60 ตัน จำนวน 6 ลำ โดยเรือทั้งหมดจดทะเบียนในนามบริษัทร่วมทุน เพื่อทำการประมงในน่านน้ำทะเลแดงและบริเวณใกล้เคียง จัดจำหน่ายในประเทศซาอุดิอาระเบียและส่งออกไปยังประเทศต่างๆ ในกลุ่มตะวันออกกลาง รวมถึงส่งกลับมายังบริษัทในเครือยูเอฟพี เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถจับวัตถุดิบได้ประมาณ 8,000 ตันต่อปี คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 280 ล้านบาท การดำเนินงานขั้นต่อไปจะเป็นในเรื่องของการแปรรูปสัตว์น้ำ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มดำเนินการผลิตและแปรรูปสัตว์น้ำได้ประมาณไตรมาสที่ 3 หรือ 4 ของปี 2550 ซึ่งการแปรรูปจะต้องการสำรวจพฤติกรรมความต้องการของผู้บริโภคก่อน ต่อมาได้เตรียมแผนพัฒนาการดำเนินธุรกิจในเรื่องภัตตาคารอาหารทะเล เพื่อให้ผู้บริโภคที่ต้องการทานอาหารทะเลได้ลิ้มลองอย่างเต็มที่และทั่วถึง โดยได้นำวิธีการบริหารเครือข่ายจาก ‘ร้านพรานทะเลฟาสต์ซีฟู้ด’ เป็นต้นแบบหลัก เนื่องจากมีกระบวนการผลิตอาหารที่ตรงตามหลักและกฎบัญญัติของอาหารฮาลาล นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้วางแนวทางในอนาคตเกี่ยวกับโครงการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำชายฝั่ง โดยได้คำนึงถึงจำนวนของสัตว์น้ำที่ลดลงอย่างรวดเร็วในทุกปี ทำให้ต้องเร่งการขยายพันธุ์สัตว์น้ำให้มากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งวิธีรองรับความต้องการของผู้บริโภคอาหารทะเลในปัจจุบันที่มีความต้องการมากยิ่งขึ้น
นายธงชัย กล่าวต่อไปว่า “บริษัท พี.ที. อินเตอร์ฟิชเชอรรี่ จำกัด เป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านอุตสาหกรรมการประมงน้ำลึกในน่านน้ำทะเลต่างประเทศมาเป็นระยะยาวนาน โดยนำวัตถุดิบอาหารทะเลกลับมาประเทศไทย เพื่อแปรรูปสัตว์น้ำ เพิ่มมูลค่าของอาหารทะเล ซึ่งในปัจจุบัน บริษัทฯ มีเรือประมงน้ำลึกที่ดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 13 ลำ โดยดำเนินธุรกิจหาสัตว์น้ำในบริเวณทะเลแถบประเทศ อินโดนีเซีย และมอริเชียส เป็นต้น โดยในจำนวนนี้มีเรือ 2 ลำ ที่ต่อขึ้นใหม่ คือ เรือพรานทะเล 1 และเรือพรานทะเล 2 ซึ่งเป็นเรือที่ติดตั้งอุปกรณ์ที่ทันสมัย ทั้งอุปกรณ์หาปลาเดินเรือ ระบบความเย็นที่รักษาคุณภาพสัตว์น้ำ และห้องเก็บรักษาวัตถุดิบบนเรือได้ถึง 600 ตัน”
มร.ชีค ชามิ อัล ฮุซเซ็น ชามิ อัล ฮัสซานิ ประธาน บริษัท ชามิ อัล-ฮัสซานิ แอนด์ ซันส์ จำกัด ประเทศซาอุดิอาระเบีย กล่าวว่า การร่วมทุนในครั้งนี้สอดคล้องกับแผนพัฒนาธุรกิจของบริษัทที่ต้องการขยายธุรกิจและลงทุนในด้านการประมงมากขึ้น โดยได้ดำเนินการติดต่อผ่านทางสำนักงานทูตพาณิชย์ประจำ
เมืองเจดดาห์ ประเทศซาอุดิอาระเบีย เพื่อร่วมดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรมประมงกับกลุ่มยูเอฟพี ที่มีศักยภาพในด้านเทคโนโลยีของเรือประมงและโนว์ฮาว (Know How) เป็นหลัก ส่วนทางบริษัทจะเน้นในด้านกำลังแรงงาน กรรมวิธีการแปรรูปสัตว์น้ำ และขยายฐานการจำหน่ายไปยังลูกค้าในส่วนต่างๆ ของประเทศซาอุดิอาระเบียและประเทศในแถบตะวันออกกลางเป็นหลัก
นายธงชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “รูปแบบการจัดจำหน่ายวัตถุดิบของบริษัทฯ จะแบ่งได้เป็นหลักใหญ่ 3 รูปแบบ คือ จำหน่ายเป็นวัตถุดิบในประเทศซาอุดิอาระเบีย ประมาณ 30% ประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง 20% และส่งกลับมายังประเทศไทยผ่านทางบริษัท ยูเนี่ยน โฟรเซนโปรดักส์ อีก 50% เพื่อทำการแปรรูปสัตว์น้ำเป็นลำดับต่อไป ซึ่งอาจพูดได้ว่าการร่วมดำเนินธุรกิจในครั้งนี้เปรียบเสมือนก้าวแรกของการเริ่มต้นความสัมพันธ์อันดีระหว่าง 2 ประเทศ (ไทย-ซาอุดิอาระเบีย) ทั้งยังช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์สร้างความแข็งแกร่งให้กับพรานทะเลในการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในอนาคต นอกจากนี้ ยังได้วางแผนขยายฐานตลาดในกลุ่มประเทศที่มีประชากรนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งเป็นตลาดที่อาหารฮาลาลกำลังได้รับความสนใจและความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
“ขณะนี้บริษัทมีสัดส่วนการส่งออกใน 3 กลุ่มตลาดหลัก คือ สหรัฐอเมริกา 60% ยุโรป 15% ญี่ปุ่น 15% ในประเทศ 10% คาดว่าตลาดตะวันออกกลางจะเป็นตลาดใหม่ๆ ที่น่าสนใจ และคาดว่ารายได้และยอดขายของบริษัทจะอยู่ที่ประมาณ 7,500 ล้านบาท 220 ล้าน USA เติบโตขึ้นจากปี 2549 ที่ผ่านมา 10%
รายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
เจดับบลิวที พับบลิค รีเลชั่นส์, เจดับบลิวที (ประเทศไทย)
คุณประสิทธิ์ กฤษฎาอริยชน (บ๊อบ) โทรศัพท์ 0-2204-8216 มือถือ 081-586-2813
คุณรัตติกาล ตะโกเมือง (เจี๊ยบ) โทรศัพท์ 0-2204-8214 มือถือ 081-986-6733
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net