กรุงเทพฯ--3 พ.ย.--สหมงคลฟิล์ม
ประเภท Action / Sci-Fi
คำโปรย Don’t Look Up
กำหนดฉาย 11 พฤศจิกายน 2010
เว็บไซด์ภาพยนตร์ http://www.iamrogue.com/skyline
บริษัทจัดจำหน่าย มงคลเมเจอร์
อำนวยการสร้าง เบร็ท แร็ทเนอร์ (ผู้กำกับ Rush Hour ทั้งสามภาค, X-Men: The Last Stand)
กำกับ โคลิน & เกร็ก สเตราส์ (AVP , คนทำเอฟเฟ็ค Avatar, Iron Man 2 , 300)
เขียนบท โจชัว คอร์เดส & เลียม โอดอนเนล (คนทำเอฟเฟ็ค Avatar, Iron Man 2)
นำแสดง อีริก บัลโฟร์ (The Texas Chainsaw Massacre, ซีรี่ย์ Six Feet Under)
สก็อตตี้ ธอมป์สัน (Star Trek, ซีรี่ย์ NCIS)
บริตตานีย์ แดเนียล (White Chick, Club Dread)
โดนัลด์ ไฟสัน (ซีรี่ย์ Scrubs)
ครั้งต่อไปที่คุณมองขึ้นบนท้องฟ้า อาจเป็นวาระสุดท้ายของมนุษยชาติ
ภาพยนตร์แอ็คชั่นไซ-ไฟเหนือจินตนาการ จากผู้ทำเอฟเฟ็ค Avatar และ 2012
เนื้อเรื่อง
ภาพยนตร์แอ็คชั่น/ไซไฟ Skyline จากผู้ทำเอฟเฟ็ค Avatar และ 2012 เริ่มเรื่องด้วยแสงประหลาดที่ส่องลงมาจากท้องฟ้า ดึงดูดผู้คนให้เงยหน้าจ้องมองเหมือนแมงเม่าบินวนรอบกองเพลิง ทันใดนั้นมันก็ดูดผู้คนขึ้นไปสู่ห้วงอากาศ และในเพียงชั่วค่ำคืนเดียวมนุษยชาติก็หายไปจนเกือบหมดสิ้น
จาร์รอด (เอริค บัลโฟร์) และ อีเลน (สก็อตตี้ ธอมป์สัน) เดินทางไปร่วมงานวันเกิดของ เทอร์รี่ (โดนัลด์ ไฟสัน) เพื่อสนิทและแฟนสาว แคนดิส (บริตตานีย์ แดเนียล) ที่เมืองลอสแองเจลิส แต่เมื่อแสงประหลาดถูกส่องลงมาจากท้องฟ้าก่อนที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นเพียงสองชั่วโมง ทุกชีวิตบนโลกก็แทบสูญสิ้น เมื่อเพื่อนทั้งสี่คนเป็นผู้เห็นเหตุการณ์ ในขณะที่ยานอวกาศของผู้รุกรานจำนวนมากปรากฏตัวอยู่เต็มท้องฟ้า
พวกเขาต้องใช้สัญชาตญาณการเอาตัวรอดทุกวิถีทาง ในการหลบหนีจากสิ่งมีชีวิตนอกโลกที่ออกตามล่ามนุษย์ที่ยังหลงเหลือ ไม่ว่าจะเป็น “แทงค์เกอร์” ขนาดมหึมา “ไฮดร้า” หน่วยต่อสู้ทางอากาศ จนถึง “โดรน” หน่วยปฏิบัติการณ์ขนาดเล็ก มนุษย์ทุกคนไม่มีทางหนีรอดและทำลายมัน นี่คือจุดจบของโลก และคุณก็ได้นั่งชั้นวีไอพีเพื่อรับชมหายนะครั้งนี้
Skyline เป็นผลงานการกำกับของ โคลิน และ เกร็ก สเตราส์ มือเอฟเฟ็คชั้นนำที่เคยทำงานให้กับหนังบล็อคบัสเตอร์มากมาย เช่น 2012, Avatar, Iron Man 2, The Curious Case of Benjamin Button และ 300 โดยยังได้รับการสนับสนุนด้วยการเป็นหนึ่งผู้อำนวยการสร้างโดย เบรท แร็ทเนอร์ ผู้กำกับ Rush Hour ทั้งสามภาค และ X-Men: The Last Stand และเขียนบทโดย โจชัว คอร์เดส และ เลียม โอดอนเนล สองมือเอฟเฟ็คชั้นนำที่เป็นเพื่อนของพี่น้องสเตราส์
ทีมงานอื่นก็ยังมีผู้กำกับภาพ ไมเคิล วัตสัน (A Perfect Getaway), ผู้ตัดต่อภาพ นิโคลัส เวย์แมน แฮร์ริส (Sinner), ผู้ออกแบบงานสร้าง ดรูว ดาลตัน (The Big Jump) และผู้ออกแบบสัตว์ประหลาด อเล็ค กิลลิส และ ทอม วู้ดดรัฟ จูเนียร์ (AVPR: Aliens vs. Predator—Requiem)
โปรดักชั่น: จุดเริ่มต้นของ Skyline
ตั้งแต่ยังเด็ก โคลิน และ เกร็ก ได้ก้าวเข้ามาในโลกของวิชวลเอฟเฟ็ค พวกเขาเริ่มต้นด้วยการทำเอฟเฟ็คให้กับมิวสิควิดีโอ, โฆษณารวมถึงภาพยนตร์ หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างโชกโชน พวกเขาก็ได้กำกับหนังเรื่องแรกซึ่งเป็นการประทะกันของสองอสุรกาย เอเลี่ยน และ พรีเดเตอร์ ใน AVPR: Aliens vs. Predator—Requiem หลังจากนั้นพวกเขาก็ได้หมายมั่นปั้นมือว่าภาพยนตร์เรื่องต่อไปจะต้องมาจากไอเดียของตัวเอง
ไม่กี่อาทิตย์ก่อนวันคริสต์มาสปี 2009 สองพี่น้องสเตราส์ได้ร่วมทานอาหารเย็นกับ โจชัว คอร์เดส และ เลียม โอดอนเนล สองเพื่อนสนิทจาก Hydraulx บริษัททำเอฟเฟ็คของพวกเขา และทั้งสี่คนก็เริ่มคิดถึงไอเดียสำหรับภาพยนตร์ที่จะใช้ศักยภาพทางสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คของตัวเองให้ได้มากที่สุด
โอดอนเนล พูดถึงจุดเริ่มต้นว่า "ผมได้ร่วมงานกับ เกร็ก และ โคลิน มากว่า 5 ปี พวกเราพัฒนาบทและหาทางใช้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่เรามีในสตูดิโอ พวกเขาก็ยังมีพื้นที่ในการถ่ายทำที่เหมาะสม ผมคิดว่าเราน่าจะใช้ประโยชน์จากสิ่งที่มีได้อย่างเต็มที่ เกร็ก มีห้องสูทในคอนโดที่ยอดเยี่ยม และมันก็กลายเป็นฉากสำคัญเมื่อตัวละครในเรื่องได้เห็นหายนะของโลกผ่านทางกระจกบานใหญ่"
ในขณะเดียวกัน คอร์เดส ก็กำลังเขียนบทภาพยนตร์หนังสยองขวัญอยู่พอดี ซึ่งมันก็ถูกผสานให้กลายเป็น SKyline เขาเล่าว่า "ในขณะที่ผมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้ ผมก็ส่งไปให้ เลียม เพื่อขอความคิดเห็น และเขาเองก็ส่งบทภาพยนตร์มาให้ผมอ่านเหมือนกัน จากนั้นเราก็เริ่มเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกัน เมื่อพี่น้องเตราส์ต้องการสร้างหนังของตัวเองแบบไม่พึ่งสตูดิโอ เลียม กับผมก็เลยรวมไอเดียกันเพื่อทำให้มันกลายเป็น Skyline"
ทีมงานได้ปรึกษากันถึงไอเดียของการสร้างหนังด้วยตัวเอง พวกเขาคิดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อผู้คนนับล้านมองขึ้นไปบนฟ้า ก่อนที่จะถูกยานอวกาศดูดขึ้นไปจนทำให้โลกกลายเป็นดาวเคราะห์ร้าง ถึงแม้พวกเขาจะมีความสามารถในการสร้างเอฟเฟ็คที่ทำให้คนดูต้องตะลึง แต่พวกเขาต้องตอบโจทย์ข้อใหญ่นั้นก็คือชาวโลกที่ถูกดูดขึ้นไป เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา แล้วคนที่ยังรอดจะทำต้องทำยังไง
พวกเขาทั้งสี่ตั้งคำถามว่า "ถ้าเกิดมนุษย์ต่างดาวมายังโลกและหลอกล่อเรา" พวกเขานึกถึงไอเดียเรื่องการใช้ "ไซเรน" สัตว์อสูรแห่งตำนานกรีก เป็นอิสตรีที่มีปีกและเท้าอย่างนก ที่ร้องเพลงหลอกล่อให้กะลาสีอยู่ในภวังค์จนเรือชนหินโสโครก พวกเขาใช้ไอเดียนั้นโดยเปลี่ยนให้เป็นแสงสีฟ้า ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนอดใจไม่ได้ที่จะแหงนหน้ามอง และเมื่อมองมันก็จะทำให้เราควบคุมตัวเองไม่ได้ จากนั้นก็จะถูกดูดขึ้นไปบนท้องฟ้า"
ผู้กำกับ โคลิน สเตราส์ อธิบายถึงไอเดียของหนังว่า "มันเป็นภาพยนตร์แอ็คชั่น/ไซไฟ ที่มีสเกลในระดับมหากาพย์ มันเรื่องราวที่ดีและตัวละครที่มีหัวใจ มันคือการลักพาตัวมนุษย์ไปทั้งโลก พวกมนุษย์ต่าวดาวใช้จุดอ่อนเรื่องความอยากรู้อยากเห็นของพวกเรา เช่นทุกคนมักจะหยุดดูว่าบนถนนเกิดอุบัติเหตุอะไร เช่นเดียวกันกับที่พวกมันล่อให้มนุษย์มองแสงสีฟ้าที่จะดูดเราขึ้นไป ก็มีกลุ่มคนเพียงไม่มากที่เข้าใจและพยายามที่จะเอาตัวรอดในวาระสุดท้ายของโลก"
โคลิน สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของเขาและพี่ชาย โดยจะไม่มีการประนีประนอมกับวิสัยทัศน์ใน Skyline พวกเขาใช้ศักยภาพที่มีเพื่อสร้างโปรเจ็คนี้ โคลิน เล่าต่อว่า "สิ่งที่น่าสนใจที่สุดในการสร้างหนังสยองขวัญอย่าง Paranormal Activity นั้นคือพวกเขาทำทุกอย่างด้วยตัวเอง พวกเขาไม่มีคำตอบให้กับทุกคน พวกเราเลยอยากจะทำแบบนั้นบ้าง เพียงแต่จะทำให้มันยิ่งใหญ่กว่า 100 เท่า และเพราะเรามีประสบการณ์ในการทำสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คให้หนังมากว่า 70 เรื่อง และมีสตูดิโอเป็นของตัวเอง ทำไมเราถึงทำไม่ได้ล่ะ"
โคลิน คิดว่าการสร้างโปรเจ็คนี้ด้วยตัวเอง นั้นหมายความว่าพวกเขาจะมีอิสระในการสร้างทุกสิ่งทุกอย่าง เขาเล่าว่า "ถ้าคุณต้องใช้เงินทุน 100 ร้อยล้านเหรียญกับหนัง ทางสตูดิโอก็อยากได้สิ่งที่พวกเขาต้องการ และคุณก็ต้องมีการประนีประนอม แต่ถ้าเกิดเงินทุนนั้นมาจากเรา นั้นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องประนีประนอมใครทั้งสิ้น"
เกร็ก สเตราส์ ดูจะเห็นด้วยกับน้องชาย "นั้นคือหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้เราตัดสินใจสร้าง Skyline เพราะปัจจุบันทุนสร้างของหนังจะถูกขยายขึ้นไปมหาศาล ซึ่งทำให้สตูดิโอใหญ่ลดจำนวนหนังของตัวเองเพื่อระดมทุน พวกเราถึงจุดที่ไม่มีทางเลือกมากนัก เราเลยอยากที่จะสร้างหนังของตัวเองและทำให้คนดูมีทางเลือกมากขึ้น"
ถ้าพวกเขาทำหนังด้วยตัวเอง นั้นหมายความว่าพวกเขาต้องมีการรวบรวมทีมที่ลำบากกว่าหนังสตูดิโอทั่วไป เกร็ก สเตราส์ เล่าต่อว่า "หนึ่งในข้อได้เปรียบของเราอีกอย่างก็คือ การรู้จักทีมงานทุกคนอย่างใกล้ชิด พวกเราทำงานร่วมกันในบริษัทมากกว่า 5 ปี พวกเราพูดเป็นภาษาเดียวกันหมด"
ด้วยทีมงานที่มีความเข้าใจกัน พวกเขาก็มีการคัดเลือกนักแสดง ออกแบบ ถ่ายทำ และตัดต่อ ที่เป็นไปอย่างราบรื่น โดย คอร์เดส พูดถึงสองพี่น้องสเตร้าส์ว่า "คุณยังมีผู้กำกับร่วม เพราะพวกเขาเป็นพี่น้องกัน เราก็เลยมีไอเดียที่หลากหลายมากขึ้น" ทางด้าน โอดอนเนล เสริมต่อว่า "ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ยังเป็นนักธุรกิจ พวกเขารู้ว่าจะลงทุนในส่วนไหนบ้าง บริษัท Hydraulx มีพนักงานมากกว่า 120 คน พวกเขาไม่ได้ถ่ายทำหรือทำจนเกินงบเพื่อสนองอีโก้ของตัวเอง"
เพื่อแสดงให้เห็นว่า Skyline สามารถทำตามงบที่กำหนด และอยู่ในระยะเวลาการถ่ายทำที่กำหนด ทีมสร้างก็ได้ทำทีเซอร์หนังออกมาเพื่อระดมเงินทุน โดยเอาไปปล่อยฉายในเทศกาลหนังเมืองเบอร์ลินให้กับนายทุนได้ดู เกร็ก สเตราส์ อธิบายว่า "มันเป็นการถ่ายทำหนึ่งวัน ทุกคนที่ได้ดูต่างก็ตื่นเต้นและมีความเชื่อมั่นว่านี่จะเป็นหนังที่ยิ่งใหญ่"
ตามล่าหาผู้ถูกลักพาตัว: การคัดเลือกนักแสดงของ Skyline
เมื่อเริ่มพัฒนาบทให้กับ Skyline พี่น้องสเตราส์และสองผู้เขียนบท โอดอนเนล และ คอร์เดส ก็ต้องการที่จะให้หนังขับเคลื่อนด้วยตัวละคร โดยมีความเข้าใจว่าหนังแนวนี้มักมีตัวละครเป็นเพียงฉากหลังให้กับเอฟเฟ็ค พวกเขาสาบานว่ามันจะไม่เกิดขึ้นกับ Skyline ผู้กำกับ โคลิน เผยว่า "พวกเราต้องการให้ถ่ายทอดตัวละครผ่านมุมมองของคนดู ผ่านสถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขา และการสร้างปฏิกิริยาตอบสนองของตัวละครเมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งนี้"
บทภาพยนตร์ที่เกิดเรื่องขึ้นรอบตัว จาร์รอด และ อีเลน พี่น้องสเตราส์ต้องการที่จะนำผู้ชมมาสู่ทางแยกที่สองคนนี้ต้องเผชิญ โอดอเนล อธิบาว่า "ตัวละครนำอย่าง จาร์รอด เป็นเหมือนตัวแทนของผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักโต ที่มีพัฒนาการเป็นผู้ปกป้อง เมื่อวินาทีที่เขาพบว่าตัวเองจะกลายเป็นพ่อ มันเป็นประสบการณ์ที่อาจเปลี่ยนชีวิตคุณ ผมคิดว่ามันยังไม่ถูกถ่ายทอดออกมามากนักในหนังประเภทนี้"
เกร็ก สเตราส์ อธิบายถึงตัวละครนี้เพิ่มว่า "พวกเราพบกับ จาร์รอด ที่กำลังเข้าสู่วัย 30 เขาต้องเลิกเป็นเด็กและทำตัวให้เหมาะสมกับอายุ และมันยังเป็นสถานการณ์ใหม่สำหรับ จาร์รอด และ อีเลน เมื่อพวกเขาเดินทางมาแอลเอเป็นครั้งแรก ไม่มีอะไรแย่ไปกว่าการเจอวิกฤตในที่ที่ไม่คุ้นเคย เพราะคุณจะไม่ได้เปรียบในการหาทางเอาตัวรอดเลย"
ในการหานักแสดงเพื่อมารับบทเป็นตัวละครนำ พี่น้องสเตราส์เลือก เอริค บัลโฟร์ โดย เกร็ก เผยว่า "ทีมงานทุกคนรู้ตั้งแต่แรกว่า เอริค คือ จาร์รอด หลังจากที่เขาเข้ามาทดสอบบท พวกเราก็เชื่อว่าเขาจะเป็นคนที่ผู้ชมเอาใจช่วยให้รอดได้"
ในการคัดเลือกนักแสดงเข้ามารับบทเป็น อีเลน แฟนสาวของ จาร์รอด ก็ได้ สก็อตตี้ ธอมป์สัน เข้ามารับบท โดยนักแสดงดาวรุ่งคนนี้เคยได้รับแต่บทบาทสมทบ และนี่ถือเป็นบทนำครั้งแรกของเธอ โอดอนเนล พูดถึงเธอว่า "สก็อตตี้ เป็นนักแสดงที่ทำให้เราแปลกใจ เธอเข้ามาทดสอบบทและทำให้ทุกคนทึ่ง เราบอกเธอโดยทันทีว่าได้รับบทนี้"
สำหรับบทเพื่อนของ จาร์รอด อย่าง เทอร์รี่ ซึ่งมีอาชีพเป็นนักทำเอฟเฟ็ค ก็ได้นักแสดงที่เป็นที่รู้จักจากบทตลกมากกว่าอย่าง โดนัลด์ ไฟสัน โดย คอร์เดส สนับสนุนให้ ไฟสัน ลองเข้ามาทดสอบบท เพื่อแสดงให้เห็นถึงความสามารถการแสดงนอกเหนือจากบทปกติที่เขาเคยได้รับ "โดนัลด์ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของหนังไซไฟ และต้องการที่จะต่อสู้กับเอเลี่ยนมาโดยตลอด ผมกับเขาสามารถพูดบทใน Star Wars ได้โดยไม่ต้องดูหนัง"
ในขณะเดียวกัน ทีมเขียนบทก็ได้เขียนตัวละครอย่าง โอลิเวอร์ ผู้จัดการตึกให้กับ เดวิด ซายาส นักแสดงจากซีรี่ย์ Dexter โดยเฉพาะ แอนเดรสัน เผยว่า "พวกเราไม่ได้ให้เขาเข้ามาทดสอบบทด้วยซ้ำ เพราะเราขอร้องให้เขาเข้ามารับบท และโชคดีที่เขาตัดสินใจตอบตกลง"
นักแสดงอีกคนที่เป็นที่รู้จักจากบทตลกก็คือ บริตตานีย์ แดเนียล ที่รับบทเป็นแฟนสาวที่เอาแต่ใจของ เทอร์รี่ โดย โอดอนเนล เล่าถึงการคัดเลือกเธอมาแสดงว่า "บริตตานีย์ มีผู้จัดการคนเดียวกับ โดนัลด์ เมื่อเขาได้รับบท เทอร์รี่ เธอก็ได้เข้ามาทดสอบบท เธอชอบที่จะแสดงตัวละครแบบนี้และเราก็พอใจกับการแสดงของเธอเช่นกัน"
ส่วนใหญ่แล้ว Skyline จะถ่ายทำกันในสถานที่เดียว ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับหนังที่ไม่ได้มีเงินทุนมหาศาล โคลิน สเตราส์ อธิบายว่า "พวกเราไม่มีรถเทรลเลอร์ให้กับใครเป็นพิเศษ เราต้องอาศัยกันอยู่ในคอนโดที่ถ่ายทำ พวกเราใช้ชีวิตร่วมกันในห้องนั่งเล่นห้องเดียว มันทำให้เรารู้สึกเป็นเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันมากกว่ากองถ่ายหนัง"
การแสดงร่วมกับนักแสดงแทนที่จะถูกเปลี่ยนเป็นมนุษยต่างดาวในภายหลัง ถือเป็นงานที่ท้าทายสำหรับนักแสดงนำในเรื่อง แต่มันก็ทำให้ทุกคนต้องตะลึงเมื่อพี่น้องสเตร้าส์เปิดคลิ๊ปแรกในงาน ซานดิเอโก คอมิก-คอน โดย โดนัลด์ ไฟสัน เผยว่า "ไม่มีใครเห็นคลิ๊ปที่พวกเขาทำเสร็จก่อนงานคอมิก-คอน พวกเราได้ดูพร้อมกับคนที่เข้าร่วมงาน ผมจำได้ว่าตัวเองแทบเสียสติไปเลย แบบว่านี่เราแสดงอยู่ในหนังบล็อคบัสเตอร์เหรอเนี่ย"
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ชมจะไม่ได้เห็นใน Skyline คือการที่มีนักวิทยาศาสตร์มาอธิบายเหตุผลให้คนดูฟัง โคลิน สเตราส์ อธิบายว่า "พวกเราไม่ต้องการที่จะให้ใครก็ตามมาอธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในหนัง ซึ่งคุณมักเห็นในหนังไซไฟเรื่องอื่นและตั้งคำถามในใจว่า "แล้วเขารู้ได้ยังไง" พวกเราคิดว่าถ้าเกิดคนธรรมดาเจอกับเหตุการณ์แบบนี้ล่ะ มันจะกลายเป็นสิ่งที่น่าสนใจขึ้น เพราะคุณก็จะสงสัยว่ามนุษย์ต่างดาวเหล่านี้มาทำอะไร และพวกเขาต้องทำยังไงเพื่อจะได้คลี่คลายความลับของมัน"
ทำหนังอิสระให้เป็นมหากาพย์: การออกแบบและถ่ายทำ Skyline
ในขณะที่สองพี่น้องสเตราส์มีข้อจำกัดมากมายในการสร้างหนังของตัวเอง พวกเขาก็มีองค์ประกอบอื่นที่ทำให้นักสร้างหนังคนอื่นได้เพียงแค่ฝัน นอกจากความสามารถเรื่องสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คและการมีอุปกรณ์ชั้นนำ พวกเขามีบุคลากรที่รู้จักและเชื่อใจ ไม่ว่าจะเป็น โจชัวร์ คอร์เดส ผู้เขียนบท และเป็นผู้กำกับกองสองที่ดูแลเรื่องสเปเชี่ยลเอฟเฟ็ค รวมถึง คริสเตียน แอนเดรสัน ที่ไม่ใช่เพียงผู้อำนวยการสร้าง แต่ยังเป็นผู้ช่วยผู้กำกับอีกด้วย
นี่เป็นองค์ประกอบหลักที่ช่วยในการออกแบบและถ่ายทำ Skyline ซึ่งรวมถึงการเข้ามาร่วมงานของผู้ออกแบบงานสร้าง ดรูว ดาลตัน และผู้กำกับภาพ ไมเคิล วัตสัน โดย โคลิน สเตราส์ เผยว่า "จะมีหนังสักกี่เรื่องที่คนเขียนบทอยู่ในกองถ่ายทุกวัน จะมีสักกี่ครั้งที่คนเขียนบทสามารถเป็นผู้กำกับภาพได้ด้วย มันช่วยให้เราประหยัดเวลาในการสื่อสารกับทีมงานคนอื่น ทีมงานทุกคนอยู่ในสถานที่เดียวกันหมด เราไม่จำเป็นต้องโทรศัพท์เพื่อถามใครทั้งสิ้น"
ผู้เขียนบท โจชัว คอร์เดส เสริมต่อว่า "การเขียนบทอธิบายว่าสัตว์ประหลาดจะทำอะไรตรงไหนบ้าง ทำให้ผมรู้ว่า จาร์รอด จะต้องเคลื่อนที่ไปทางไหน และเข้าใจว่าหนวดจะเหวี่ยงไปตรงไหน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีเพราะจะทำให้เอฟเฟ็คในขั้นสุดท้ายดูมีควาน่าเชื่อถือมากขึ้น"
ในขณะที่หนังแอ็คชั่น/ไซไฟส่วนใหญ่จะถ่ายทำตอนกลางคืน เพื่อซ่อนสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คที่อาจไม่สมบูรณ์ พี่น้องสเตราส์เข้าใจว่ามันสำคัญที่เรื่องราวจะเกิดขึ้นตอนกลางวัน ด้วยความมั่นใจจากการทำงานในหนังบล็อคบัสเตอร์มากมาย โคลิน เล่าว่า "พวกเราพยายามนึกถึงฉากจำของหนังใหญ่ๆ และการมีผู้คนจำนวนมหาศาลถูกยานอวกาศดูดขึ้นไปจากพื้นโลก นั้นคือบางสิ่งที่คุณอยากเห็นมันเต็มตาแบบ 100% มันเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณไม่มีทางหลบหนีมันได้"
โอดอนเนล ก็รู้สึกมั่นใจว่าถึงการถ่ายทำในตอนกลางวัน "คุณไม่ต้องใช้ฝนหรือความมืดเพื่อกระตุ้นให้คนดูกลัวอีกแล้ว เพราะกลางวันแสกๆก็สามารถทำให้คุณกลัวได้เหมือนกัน และมันก็ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้เราในการถ่ายทำได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะฉากสำคัญในสระน้ำเราก็ใช้เวลาถ่ายทำเพียงครึ่งวันเท่านั้น"
ในการตัดสินใจที่จะผสมผสานการแสดงด้วยคนจริงกับการปรากฏตัวของมนุษย์ต่าวดาว พี่น้องสเตราส์ตัดสินใจว่าพวกเขาจะไม่ใช้กรีนสกรีน และใช้เพียงความสามารถพิเศษของกล้อง RED ในการถ่ายทำ โคลิน สเตราส์ เผยว่า "ปัญหาใหญ่ที่เราประสบในการถ่ายทำกับกรีนสกรีนก็คือ มันไม่มีความสมจริงเลยสักนิด มันจะถูกใช้ก็ต่อเมื่อเจอกับสถานการณ์จำเป็นเท่านั้น มันไม่สมจริงเพราะสภาพแวดล้อมสีเขียว ที่จะทำให้นักแสดงไม่รู้สึกเหมือนกำลังเจอกับอะไรอยู่"
ในการทำให้ฉากแอ็คชั่นมีความสมจริง ทีมงานก็ได้ถ่ายกับระหว่างนักแสดงกับทีมสตันท์ที่เป็นตัวแทนของมนุษย์ต่างดาว ซึ่งนักแสดงจะสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับฝั่งตรงข้ามได้มากกว่า เกร็ก สเตราส์ อธิบายว่า "การใช้กรีนกสรีนในการถ่ายทำ คุณไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแสงสว่างตามธรรมชาติ นักแสดงเหมือนอยู่ในกล่องสีเขียว แต่การแสดงในสถานที่และมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งรอบข้างทำให้ทุกอย่างดูสมจริง และยังประหยัดเวลาในการสร้างเอฟเฟ็คช่วงโพสโปรดักชั่นด้วย"
การแสดงฉากสตันท์และการใช้สลิงค์ก็ยังได้ประโยชน์จากการถ่ายทำในสถานที่จริง โดยในฉากสำคัญก็คือฉากที่มีเฮลิคอปเตอร์เข้ามาเกี่ยวข้อง โคลิน สเตราส์ เล่าว่า "พวกเราสร้างสลิงค์ขนาดใหญ่สำหรับเฮลิคอปเตอร์และนักแสดงที่ขึ้นไปอยู่กลางอากาศ เพื่อถ่ายทำในขณะที่มีพัดลมขนาดใหญ่เป่าเหมือนกำลังบินอยู่จริง พวกเรามีดวงอาทิตย์จริงอยู่ด้านหลังในขณะที่นักแสดงก็ถูกดึงขึ้นไป มันเป็นภาพที่สวยงามมาก ซึ่งคุณจะทำไม่ได้เลยกับการถ่ายทำในกรีนสกรีน"
นักแสดงและเฮลิคอปเตอร์ถูกดึงสูงขึ้นไปสูงกว่าตึก 20 ชั้น ทีมสร้างได้เตรียมกล้องในการจับภาพ พวกเขาทุกคนรู้ว่ายานแม่จะลอยตัวอยู่ตรงไหนของจอภาพ โคลิน สเตราส์ อธิบายว่า "เมื่อ 50 % ของจินตนาการของคุณต้องถูกสร้างด้วยเทคนิกพิเศษ มันก็มีความเสี่ยงที่จะทำให้คุณหลงทางได้ แต่เพราะพวกเราถ่ายทำจากสถานที่จริง เราก็เพียงเปลี่ยนสิ่งที่จินตนาการเอาไว้ให้เป็นของจริง"
เกร็ก สเตราส์ แสดงให้เห็นความสามารถในการสร้างหนังแอ็คชั่น/ไซไฟ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าหนังทุนสร้าง 100 ล้านเหรียญบางเรื่องสามารถทำได้ "เอฟเฟ็คคือการสร้างสิ่งที่ธรรมชาติไม่สามารถเกิดขึ้น Hydraulx มีบทบาทสำคัญในการทำให้เราสร้างเอฟเฟ็คด้วยเงินทุนที่มี สุดท้ายแล้วเราก็มีเอฟเฟ็คมากกว่า 900 ช็อต"
แทงค์เกอร์ ไฮดร้า โดรน สามผู้รุกราน: จินตนาการการสร้างสัตว์ประหลาด
สำหรับทีมงานออกแบบผู้รุกรานจากต่างดาว พวกเขามีคำถามว่าสัตว์ประหลาดแบบไหนที่จะทำให้คนดูเห็นแล้วต้องสะพรึงกลัว หนังไซไฟทั่วไปมนุษย์ต่างดาวมักจะมาจากยานที่ดูเหมือนโลหะขนาดยักษ์ แต่ทีมงาน Skyline ต่างตกลงกันว่าจะให้ยานแม่ดูมีเลือดเนื้อ พวกเขาคิดว่า "ถ้าเกิดมันไม่ใช่ยานแม่ล่ะ ถ้าเกิดมันคือมนุษย์ต่าวดาวที่มีลักษณะเหมือนยานแม่ ที่พามนุษย์ต่าวดาวประเภทอื่นมาด้วยล่ะ"
ชนิดของผู้รุกรานใน Skyline ก็มียานแม่ ต้นเหตุของแสงสีฟ้า และยังมี แทงค์เกอร์, โดรน และ ไฮดร้า โดย โคลิน สเตราส์ หนึ่งในสองผู้กำกับอธิบายว่า "ยานแม่จะมีความคล้ายคลึงกับปลาแองเกอร์ใต้ทะเลลึก ที่มีดวงไฟล่อให้สิ่งมีชีวิตอื่นเข้ามาใกล้ จากนั้นคุณก็จะมี แทงค์เกอร์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ใกล้เคียงกับคิงคอง พวกมันมีหน้าที่จัดการกับมนุษย์ที่พยายามต่อต้าน และก็ยังมีมนุษย์ต่างดาวอีกสองชนิดคือ ไฮดร้า และ โดรน"
เกร็ก สเตราส์ พี่ชายได้อธิบายถึงสัตว์ประหลาดอีกสองชนิดที่เหลือว่า "ไฮดร้า มีลักษณะคล้ายแมงกระพรุนที่บินได้เหมือนเครื่องบินต่อสู้ ในขณะที่ โดรน เป็นมนุษย์ต่าวดาวที่มีขนาดเล็กที่สุด ซึ่งทำให้พวกมันสามารถเข้าไปตามอาคาร และเสาะหาผู้ที่รอดจากการดูดจากยานแม่ครั้งแรกไปได้"
พี่น้องสเตราส์ ได้มองหาแรงบันดาลใจในการสร้างผู้รุกราน โคลิน เสตราส์ เผยว่า "การเคลื่อนไหวของพวกมันมีพื้นฐานมาจากปลาหมึก พวกมันมีหนวดที่ไว้คอยพยุงร่างกาย และการเคลื่อนไหวของมันก็ดูไหลลื่น พวกเราใช้มันสำหรับ โดรน และ ไฮดร้า สำหรับ แทงค์เกอร์ พวกเราทำให้มันมรการเคลื่อไหวคล้ายกอริลล่า มันถูกปล่อยลงมาจากยานแม่และเคลื่อนไหวด้วยการใช้แขนที่ใหญ่คล้ายกับกอริลล่าสูง 65 ฟุต"
ทีมงานของ Skyline นำเอาทีมงานจาก Amalgamated Dynamics Inc มาช่วยในการออกแบบผู้รุกราน โดยผู้เขียนบท โอดอนเนล เผยว่าทีมงานทุกคนรู้สึกสนุกในการออกแบบสิ่งที่ไม่เคยปรากฏในโลกภาพยนตร์มาก่อน "มันมีไอเดียที่พรั่งพรูออกมาจากทีมงานทุกคน เช่นถ้าเกิดมันมีหนวดออกมาจากแขนล่ะ คุณไม่จำเป็นต้องอ้างอิงตามความเป็นจริง มันยอดเยี่ยมที่จะสร้างสิ่งใหม่ๆจากไอเดียของพวกเรา"
โจชัว คอร์เดส อีกหนึ่งผู้เขียนบทเสริมต่อว่า “กลุ่มผู้รุกรานจะต้องมีความแตกต่าง พวกเราต้องการที่เห็นสิ่งที่ไม่มีขอบเขตมาจำกัด เช่น โดรน ก็มาจาก แทงค์เกอร์ ร่างแรกที่ปรับให้มีขนาดเล็กลงมา พวกเราออกแบบยานแม่เสร็จตั้งแต่วันแรกของการทำงาน และเมื่อมรการเพิ่มเติมแสงสีฟ้าตามลำตัว มันก็ช่วยเสริมสร้างมิติใหม่ขึ้นมา"
เพราะการมีบริษัททำเอฟเฟ็คเป็นของตัวเอง ก็ทำให้ขอบเขตในการสร้างสรรค์ไม่มีจุดสิ้นสุด โดยพี่น้องสเตราส์มีอิสระในการทำให้ผู้รุกรานมีขนาดใหญ่มากขึ้นตามความต้องการ ผู้อำนวยการสร้าง แอนเดรสัน เผยว่า "พวกเขาทำให้ แทงค์เกอร์ ที่มีขนาด 20 ฟุต เพิ่มไปเป็นสูงกว่า 60 ฟุต เพราะ โคลิน และ เกร็ก คิดว่ามันเป็นสิ่งจำเป็นที่ให้ แทงค์เกอร์ มีขนาดตัวที่สูงใหญ่กว่าตึก 10 ชั้น"
โลเคชั่น: การถ่ายทำในนครลอสแองเจลิส
Skyline ใช้เวลาถ่ายทำ 42 วันในลอสแองเจลิส โดยส่วนใหญ่จะถ่ายทำกันบนชั้น 19 ของอาคารที่ เกร็ก สเตราส์ อาศัยอยู่ โดยทั้งผู้เขียนบทและผู้กำกับเชื่อว่า เมื่ออยู่ในพื้นที่ที่จำกัดคุณก็จะต้องรู้สึกเชื่อมถึงกับตัวละครได้ดียิ่งขึ้น และให้ความสนใจในการเอาตัวรอดของพวกเขา พวกเขายังต้องการให้กลุ่มพระเอกเปิดม่านและมองเห็นหายนะที่ยิ่งใหญ่กำลังเกิดขึ้นภายนอก
ในขณะที่หนังหลายเรื่องที่ถ่ายทำในลอสแองเจลิส มักใช้สถานที่ยอดนิยมอย่างฮอลลิวู้ด ดาวน์ทาวน์ หรือ ซานตา โมนิก้า แต่ทีมงานของ Skyline ต้องการใช้ประโยชน์จากสถานที่อื่น เมื่อเหตุการณ์เริ่มต้นก่อนพระอาทิตย์ขึ้นจากจุดที่กลุ่มพระเอกอยู่ในตึกระฟ้าย่าน มาริน่า เดล เรย์ ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาจะต้องเจอกับอะไร มันกลายเป็นสถานที่ที่ทำให้พวกเขาได้เป็นผู้ชมชั้นวีไอพีในการมองดูหายนะของโลก
โคลิน สเตราส์ ต้องการเล่าเรื่องจากมุมมองของตัวละคร เขาอธิบายว่า "เพื่อนบางคนในคอนโดของ เทอร์รี่ ยังไม่สร่างเมา พวกเขาเพิ่งตื่นและพยายามที่จะเรียกสติ หายนะทางธรรมชาติหรือผู้ก่อการร้าย คุณสามารถหาเหตุผลมารองรับได้ แต่ถ้ามีบางสิ่งที่คุณไม่สามารถอธิบายได้ล่ะ พวกเราอยากสำรวจว่าผู้คนจะทำยังไงกัน คุณจะพยายามหลบซ่อน หรือพยายามทำตัวเป็นฮีโร่"
การตามหาสถานที่ที่เหมาะสมที่สุด ไม่มีที่ไหนที่เหมาะไปกว่าบ้านของ เกร็ก สเตราส์ และโชคดีที่ชั้นดาดฟ้าของอาคารที่เขาอาศัยมองเห็นลอสแองเจลิสได้แบบ 360 องศา ทีมงานสามารถมองเห็นได้ตั้งแต่ ซานต้า โมนิก้า จนถึง ดาวน์ทาวน์ เกร็ก สเตราส์ เผยว่า "ผมเพิ่งตกแต่งห้องในคอนโด และหลังจากเสร็จประมาณหนึ่งอาทิตย์ พวกเราก็ตัดสินใจที่จะถ่ายทำในคอนโดของผม นี่ผมกำลังคิดอะไรอยู่เนี่ย (หัวเราะ)"
โดยกฏข้อแรกของทีมงานและนักแสดงก็คือ "ห้ามไส่รองเท้า!" เกร็ก สเตราส์ เล่าถึงประสบการณ์การถ่ายทำว่า "คุณต้องถอดรองเท้า เพราะพวกเขาจะทำให้พื้นบ้านผมป็นรอยไม่ได้ (หัวเราะ) พวกเรามีความห่วงใยสถานที่ถ่ายทำมากกว่าสถานที่อื่น มันทำให้ทุกคนมีความตั้งใจ พวกเขาไม่สามารถโยนทิ้งอะไรไปได้"
โคลิน สเตราส์ ก็ได้พูดถึงสาเหตุในการใช้สถานที่นี้ถ่ายทำว่า "นอกจาก เกร็ก แล้ว เลียม ก็เคยอาศัยอยู่ที่นี่กว่าหนึ่งปี มันเป็นอาคารที่มีความทันสมัย มันเป็นตึกที่มีมูลค่าการสร้างกว่า 75 ล้านเหรียญ มันมีทั้งสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ มีลานจอดรถหลายชั้น และมีล็อบบี้ที่สวยงาม ทุกอย่างออกแบบได้อย่างชั้นหนึ่ง"
มันเป็นความโชคดีที่ผู้เขียนบทมีความเข้าใจในสถานที่ที่ใช้ถ่ายทำ โจชัว คอร์เดส เผยว่า "ฉากแอ็คชั่นถูกเขียนขึ้นโดยรู้ว่ามันจะต้องเกิดในสถานที่ไหนบ้าง พวกเรามีการทำการบ้านและศึกษามาอย่างดี ปกติแล้วคุณเขียนบทก่อนและค่อยหาสถานที่ถ่ายทำ แต่พวกเราทำในสิ่งตรงกันข้าม"
เพราะนี่เป็นการถ่ายทำในสถานที่ชุมชน จึงต้องมีการเคารพสิทธิส่วนบุคคลของเพื่อนบ้าน ทีมงานของ Skyline จึงต้องทำงานกันอย่างมีระเบียบเป็นที่สุด เกร็ก สเตราส์ เผยว่า "การถ่ายทำหนังจำเป็นต้องมีอุปกรรณ์มากมาย มันต้องมีรถที่ใช้ขนเครื่องมือต่างๆนาๆ แต่ใน Skyline ที่เราต้องอยู่ภายในอาคารและส่วนๆต่างของตึก ซึ่งมีลิฟท์เพียงสองตัว ดังนั้นเราจึงต้องใช้แต่อุปกรณ์ที่จำเป็นที่สุดเท่านั้น"
เกร็ก เล่าต่อว่า "เราต้องทำงานในระดับทีมงาน 80 คนด้วยทีมงานเพียง 20 คน เพราะว่าสถานที่มันไม่เอื้ออำนวยต่อการมีทีมงานมากเกินไป เพราะการถ่ายทำบางฉากคุณต้องใช้พื้นที่และแสงสว่างธรรมชาติ คุณก็จะไม่มีทางขยับไปไหนได้เลยเพราะมีอุปกรณ์อยู่เต็มพื้นที่ไปหมด"
ทีมงานยังต้องทำให้แน่ใจว่าตัวเองได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำได้ทุกที่ โคลิน สเตราส์ สรุปว่า "พวกเรารักที่จะถ่ายทำในแอลเอ และพวกเราประสบความสำเร็จก็เพราะการมีกลุ่มคนที่มีแรงใจในการทำหนัง พวกเรามีความได้เปรียบจากการสถานที่ถ่ายทำ เช่นเราได้รับอนุญาตในการใช้ควันบนชั้นดาดฟ้าของตึก แต่พอผ่านไปสักพักเราก็ได้ยินเสียงรถดับเพลิง พวกเขาบอกว่ามีเฮลิคอปเตอร์ดับไฟกำลังเดินทางมาด้วย... การแก้ไขของเราหน่ะเหรอ ก็แค่ลดควันไฟลงไปนิดนึงเท่านั้นเอง"
ทีมนักแสดง
เอริค บัลโฟร์ (รับบทเป็น จาร์รอด)
เขาเริ่มเดินในเส้นทางบันเทิงตั้งแต่อายุ 15 เมื่อแมวมองเห็นศกยภาพในตัวและเลือกเขาเป็นนักแสดงสมทบในซีรี่ย์ Kids Incorporated ตั้งแต่นั้นมา บัลโฟร์ ก็ได้สั่งสมประสบการณ์ทั้งในจอเงินและจอแก้ว โดยได้รับบทเป็นตัวละครที่มีความน่าสนใจทุกครั้ง
ปัจจุบันเราสามารถเห็น บัลโฟน์ ในการรับบทใน Haven ซีรี่ย์เรื่องล่าสุดที่สร้างมาจากนวนิยายของ สตีเฟ่น คิง เรื่อง The Colorado Kid โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับเอฟบีไอที่เดินทางมายังเมืองที่ชื่อ ฮาเว่น เพื่อสืบสวนคดี ก่อนที่จะต้องพบกับเรื่องราวเหนือธรรมชาติ และทำให้เธอตัดสินใจในเมืองเพื่อทำให้คดี โดย เอริค รับบทเป็น ดุ๊ก คร็อกเกอร์ ชาวเมืองฮาเว่นที่รักอิสระและใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย แต่มันก็ปรากฏชัดเมื่อพฤติกรรมของเขาอาจมีความลับอันดำมืดแฝงอยู่
บัลโฟร์ ยังมีผลงานการแสดงทางจอเงินมากมาย อย่างเช่น Hell Ride ที่อำนวยการสร้างโดย เควนติน ทารันติโน่, Horsemen ที่เขาแสดงร่วมกับ เดนนิส เคว็ด และ The Spirited ที่เขาแสดงร่วมกับ อีวา เมนเดส นอกจากนั้น บัลโฟร์ ยังมีผลงานการแสดงในซีรี่ย์สุดฮิต 24 ที่เขารับบทเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานที่รับมือกับผู้ก่อการร้าย
บัลโฟร์ เคยมีผลงานที่สร้างชื่อให้เขาในซีรี่ย์ที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำอย่าง Six Feet Under สร้างโดย อลัน บอล โดยเขารับบทเป็น เกบ แฟนหนุ่มค้ายาของ แคลร์ นอกจากนั้นก็ยังมีหนังเรื่อง In Her Shoes นำแสดงโดย คาเมรอน ดิแอซ, The Texas Chainsaw Massacre ที่อำนวยการสร้างโดย ไมเคิล เบย์, America’s Sweethearts ที่นำแสดงโดย จูเลีย โรเบิร์ต และ แคทธาลีน ซีต้า โจนส์ รวมถึง What Women Want ที่นำแสดงโดย เมล กิ๊บสัน
ปัจจุบัน เอริค บัลโฟร์ อาศัยอยู่ในเมืองลอสแองเจลิส เขามีส่วนร่วมในการสร้างสรรค์ผลงาน ด้วยการเป็นทั้งคนเขียนบท ผู้กำกับ และอำนวยการสร้าง ในสตูดิโอสร้างหนังเขาก่อตั้งขึ้นมาที่ชื่อ Off the Grid Entertainment
สก็อตตี้ ธอมป์สัน (รับบทเป็น อีเลน)
เธอคือนักแสดงดาวรุ่งที่กำลังขึ้นมาเป็นนักแสดงแถวหน้าในปัจจุบัน โดยเธอรับบทเป็น ไดอาน่า แวน ดีน ในซีรี่ย์สุดฮิตเรื่อง Trauma โดยเธอยังมีผลงานในซีรี่ย์เรื่อง NCIS: Naval Criminal Investigative Service และ Brotherhood
ผลงานทางจอเงินของ ธอมป์สัน ก็คือการแสดงในหนังอังกฤษที่ชื่อ Coulda, Woulda, Shoulda รวมถึงการแสดงคู่กับ คริส ไพน์ และ เอริค บาน่า ใน Star Trek หนังแอ็คชั่น/ไซไฟของผู้กำกับ เจเจ อับราฮัม โดยเธอยังมีบทรับเชิญในซีรี่ย์สุดฮิตอย่าง CSI: NY, Bones และ Ugly Betty
ธอมป์สัน สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เอกวรรณกรรมฝรั่งเศส โดยในช่วงระหว่างการเรียนในฮาร์วาร์ด เธอก็ค้นพบความหลงไหลในการเป็นนักแสดง เธอแสดงละครเวทีคลาสสิกมาแล้วมากมาย เช่น Macbeth, Marisol และ The Oresteia โดยยังช่วยออกแบบเรื่องท่าเต้นอีกด้วย โดยหลังจากสำเร็จการศึกษาเธอก็ได้มุ่งหน้าเข้าสู่นิวยอร์ค
ธอมป์สัน เติบโตขึ้นในเมือง ริชมอนด์ รัฐเวอร์จิเนีย ด้วยความรักในเรื่องการเต้นและการแสดง เธอเริ่มเต้นบัลเล่ต์ตั้งแต่เด็ก โดยในปี 1994 รับบทนำในละครเวทีเรื่อง The Nutcracker และหลังจากจบชั้นมัธยม ธอมป์สัน ก็ใช้เวลาหนึ่งปีในการเป็นสมาชิกของ Richmond Ballet Company ในปัจจุบันเธออาศัยอยู่ในลอสแองเจลิส
โดนัลด์ ไฟสัน (รับบทเป็น เทอร์รี่)
ผลงาน >>> Scrubs (ซีรี่ย์), Clueless, Remember the Titans, Can’t Hardly Wait, Big Fat Liar
บริตตานี่ย์ แดเนียล (รับบท แคนดิส)
ผลงาน >>> White Chicks, Joe Dirt, Club Dread, Little Man
เดวิด ซายาส (รับบทเป็น โอลิเวอร์)
ผลงาน >>> Dexter (ซีรี่ย์), The Interpreter, 16 Blocks, The Yards
ทีมผู้สร้าง
โคลิน และ เกร็ก สเตราส์ (ผู้กำกับ / อำนวยการสร้าง / ทำเอฟเฟ็ค)
ตั้งแต่เดินทางมาฮอลลิวู้ดตั้งแต่ทศวรรษที่ 90 สองพี่น้องสเตราส์ ก็ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวงการเอฟเฟ็คในโลกภาพยนตร์ ด้วยพรสวรรค์ในการเรียนรู้การสร้างสเปเชี่ยลเอฟเฟ็คด้วยตัวเอง ทำให้พวกเขากลายเป็นมือหนึ่งแห่งโลกเอฟเฟ็คในขณะนี้ ชื่อเสียงของพวกเขาถูกบันทึกเอาไว้มากมาย ตั้งแต่นิตยสาร Forbes ไปจนถึงหน้าหนึ่งใน The Wall Street Journal
ด้วยสตูดิโอสร้างเอฟเฟ็คของพวกเขาเองอย่าง Hydraulx สองพี่น้องสเตราส์ ได้ฝากผลงานเอฟเฟ็คในหนังบล็อคบัสเตอร์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น X-Men Origins: Wolverine, 2012, 300, X-Men: The Last Stand, The Incredible Hulk หรือกระทั่ง The Day After Tomorrow ที่ทำให้พวกเขาได้รับรางวัลแบฟต้าในสาขาเทคนิกพิเศษยอดเยี่ยม โดยล่าสุดพวกเขายังได้ปฏิรูปวงการเอฟเฟ็คด้วยผลงานเอฟเฟ็คปรับอายุในหนังเรื่อง The Curious Case of Benjamin Button ที่ได้รับรางวัลออสการ์สาขาเทคนิคพิเศษยอดเยี่ยม
ในขณะเดียวกัน ความสามารถของพวกเขาในการกำกับหนังก็เติบโตขึ้นด้วย สองพี่น้องสเตราส์ มีความพยายามในการสร้างเรื่องราวที่มีความแปลกแตกต่างจากเดิม พวกเขากำกับมิวสิควิดีโอให้กับศิลปินชื่อดังมากมาย และได้รับรางวัลผู้กำกับยอดเยี่ยมจาก MTV Video Music Award ในการกำกับเอ็มวี Californication ของวง Red Hot Chili Pepper รวมถึงได้รับการเสนอชื่อในสาขาเอ็มวีเพลงร็อคยอดเยี่ยม Crawling ชองวง Linkin Park
ในปี 2007 สองพี่น้องสเตราส์ก็ได้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรกที่ชื่อว่า AVPR: Alien vs. Predator—Requiem ซึ่งเต็มไปด้วยเทคนิกพิเศษที่น่าประทับใจ โดยพวกเขายังได้ร่วมงานกับ เจมส์ คาเมรอน ในการสร้างโลกอวตารในเรื่อง Avatar ภาพยนตร์มหากาพย์ที่ได้รับทั้งรางวัลเทคนิกพิเศษยอดเยี่ยม รวมถึงหนังยอดเยี่ยมประจำปีที่ผ่านมา
โจชัว คอร์เดส และ เลียม โอดอนเนล (ผู้เขียนบท)
ผลงาน >>> ทำเอฟเฟ็ค Avatar, Iron Man 2, T2: Judgment Day, The Curious Case of Benjamin Button
ดรูว ดาลตัน (ผู้ออกแบบงานสร้าง)
ผลงาน >>> The Big Jump
นิโคลัส เวย์แมน แฮร์ริส (ผู้ตัดต่อ)
ผลงาน >>> Event Horizon, The King Is Alive, The Intended, Sinner
บ็อบบี้ แมนนิกซ์ (ผู้ออกแบบเครื่องแต่งกาย)
ผลงาน >>> Texas Chainsaw Massacre, Dirty Dancing, At Long Last Love