กรุงเทพฯ--5 พ.ย.--Jigsaw Communications
ปัจจุบันคนไทยมีอัตราการเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และแนวโน้มจะอยู่ในอันดับต้นๆของโลก ซึ่งกลายเป็นปัญหาสำคัญที่ทุกภาคส่วนต้องช่วยกันเร่งแก้ไขปัญหานี้โดยด่วน เพราะในแต่ละปีจะต้องเสียเงินค่ารักษาคนที่เป็นโรคอ้วนและน้ำหนักเกินทั้งในภาคครัวเรือนและภาครัฐปีละหลายหมื่นล้านบาท ปัญหาโรคอ้วนสืบเนื่องมาจากปัจจัยด้านต่างๆ อาทิ จากกรรมพันธุ์ การบริโภคอาหารที่มากเกินความจำเป็นของร่างกาย และที่สำคัญขาดการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องและเหมาะสม ฯลฯ
ด้วยปัญหาดังกล่าว ทางสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล จัดสัมมนาเรื่อง“เส้นทางสู่การบริโภคอย่างสมดุลย์เพื่อคนไทยสุขภาพดี” โดย ผศ.ดร.อาณดี นิติธรรมยง บรรยายหัวข้อ “หลักโภชนาการพื้นฐาน” รศ.ดร.กัลยา กิจบุญชู บรรยายหัวข้อ “การสร้างสมดุลย์ระหว่างหลักโภชนาการและการมีกิจกรรมทางกาย” และผศ.ดร.นิภา โรจน์รุ่งวศินกุล บรรยายหัวข้อ “อาหารที่เป็นแหล่งพลังงานหลักของประชากรไทย”
ข้อสรุปของวิทยากรทั้ง 3 ท่านได้บรรยาถึงหลักในการบริโภคอาหารเพื่อให้เกิดความสมดุลย์ เนื่องจากการรับประทานอาหารในแต่ละมื้อจะมีปริมาณแคลอรี่ที่แต่ต่างกันไป ดังนั้นวิธีลดการสะสมของไขมันจึงควรจะออกกำลังอย่างน้อยวันละ 30 นาที และต่อเนื่องกันอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน ทั้งนี้เพื่อให้ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานจากการที่เรารับประทานอาหารเข้าไปได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องแเละถูกต้องแล้ว ร่างการจะสามารถช่วยการกระตุ้นสร้างกล้ามเนื่องขึ้นมาทดแทนไขมันส่วนเกินทำให้ร่างกายแข็งแรง ช่วยลดปัญหาโรคภัยที่มาจากไขมันสะสมได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ได้มีการสัมนา เพื่อสรุปในรายละเอียดต่างๆ ด้วยการอภิปรายโต๊ะกลม โดย นพ.ฆนัท ครุธกูล จากเครือข่ายคนไทยไร้พุง ผศ.ดร.อาณดี นิติธรรมยง และดร.พิเชฐ อิฐกอ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร สภาอุตสาหกรรมอาหารฯ โดยมี นายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เป็นผู้ดำเนินรายการ
นพ.ฆนัท ครุธกูล กล่าวถึงเส้นทางสู่การบริโภคอย่างสมดุลย์เพื่อคนไทยสุขภาพดีว่า ปัจจุบันคนไทยเป็นโรคไต ปอด มะเร็ง และโรคหัวใจหลอดเลือดกันมาก สาเหตุมากกว่าครึ่งมาจากการออกกำลังกายน้อยลง กินอาหารมากขึ้นกลายเป็นโรคอ้วน ซึ่งเป็นบันไดก้าวแรกสู่โรคอื่นๆตามมาอีกมากมาย นพ.ฆนัท กล่าวว่าโรคอ้วนคือการสะสมไขมันและน้ำตาลมากเกินไปโดยไม่สามารถเผาผลาญได้หมด ดังนั้นจึงจำเป็นต้องทำให้ร่างกายเกิดความสมดุลย์ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญมากโดยดูได้จาก 3 ปัจจัยหลักคือ 1.ความอ้วน (ไขมันมาก) 2.ความฟิต (การมีสุขภาพดี) 3.ความมีอารมณ์ดี (จิตใจดี) และการดูแลสุขภาพเบื้องต้นให้สังเกต 2 เรื่อง คือ สังเกตว่าตัวเองนั้นมีพุงหรือไม่ ถ้ามีแสดงว่ามีสารที่ไม่ดีในร่างกาย และดูที่กล้ามเนื้อว่าแข็งแรงหรือไม่ การที่กล้ามเนื้อจะมีความแข็งแรงนั้นมาจากการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหลายคนมีความเข้าใจที่ผิดว่า คนที่ผอมจะมีสุขภาพดีและแข็งแรงกว่าคนอ้วน ซึ่งแท้จริงแล้วคนอ้วนหากมีการออกกำลังกายที่เหมาะสมและต่อเนื่องก็จะมีสุขภาพดีและแข็งแรงกว่าคนผอมได้
ดังนั้นทุกคนควรจะรับประทานอาหารที่ดีและพอเหมาะ ไม่ควรรับประทานอาหารมากจนเกินไป เพราะนั้นหมายถึงการสร้างความเคยชินและอุปนิสัยที่จะทำให้บุคคลนั้นยากที่จะหลีกเลี่ยงการกินอาหารไปโดยปริยาย นอกจากนี้ในส่วนที่สำคัญที่สุดก็คือ ควรจะมีการออกกำลังกายอย่างต่อเนื่องเพื่อลดการสะสมไขมันที่อาจจะเกิดขึ้นและนำโรคร้ายต่างๆที่จะตามมา
ด้านนายวิศษฏ์ ลิ้มประนะ ประธานคณะกรรมการกำกับดูแลกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งกล่าวสรุปปิดงานได้อย่างน่าสนใจว่า “หวังว่าในการสัมมนาที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของความเข้าใจในสมดุลย์แห่งการบริโภคและการออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานที่ร่างกายของเราได้รับ ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญแห่งการเสริมสร้างสุขภาวะที่ดี ทั้งนี้หลักแห่งสมดุลย์ดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าแท้ที่จริงแล้วประเภทหรือปริมาณของอาหารและเครื่องดื่มที่เรารับประทานเข้าไปนั้นไม่ใช่คำตอบสุดท้ายของการมีสุขภาพกายที่แข็งแรง แต่สมดุลย์ของการบริโภคที่สอดคล้องกับการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมต่างหากคือหัวใจของการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน...”