ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตองค์กร “บล. เคที ซีมิโก้” ที่ระดับ “BBB+” แนวโน้ม “Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Monday November 8, 2010 11:29 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--ทริสเรทติ้ง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการจัดอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการมีคณะผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถ ตลอดจนการสนับสนุนทางธุรกิจและการเงินจากผู้ถือหุ้นรายใหญ่ คือ ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และสถานะทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ที่ดีขึ้นหลังจากการรวมธุรกิจดังกล่าวมาจากบริษัทหลักทรัพย์ ซีมิโก้ จำกัด (มหาชน) อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ รวมทั้งภาวะความผันผวนของตลาดหุ้นไทย และความเสี่ยงทางการตลาดจากการซื้อขายหุ้นในบัญชีของบริษัท ในการพิจารณาอันดับเครดิตยังคำนึงถึงความไม่แน่นอนจากความเสี่ยงด้านกฎระเบียบในการเปิดเสรีค่านายหน้าค้าหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 ด้วย ทั้งนี้ ความสามารถของผู้บริหารในการสร้างแหล่งรายได้ประจำที่หลากหลายและสร้างประโยชน์จากฐานลูกค้าของธนาคารกรุงไทยยังเป็นประเด็นที่ต้องรอการพิสูจน์ต่อไป แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนทางธุรกิจและการเงินจากธนาคารกรุงไทยอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของธนาคารกรุงไทยในการขยายฐานลูกค้าที่มีศักยภาพและรักษาสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์หลังจากมีการบังคับใช้นโยบายเสรีค่าธรรมเนียมแบบเต็มรูปแบบในปี 2553 ด้วย นอกจากนี้ ยังคาดว่าบริษัทจะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดจากการลงทุนในหลักทรัพย์ การให้สินเชื่อเพื่อซื้อขายหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ ๆ ได้ อีกทั้งจะสามารถขยายธุรกิจได้โดยไม่ทำให้ฐานเงินทุนและสภาพคล่องอ่อนแอลงอย่างมีนัยสำคัญ ทริสเรทติ้งรายงานว่า บล. เคที ซีมิโก้ ก่อตั้งโดย HSBC Investment Bank Asia Holdings Ltd. ในปี 2543 ภายใต้ชื่อเดิมคือ บริษัทหลักทรัพย์ เอชเอสบีซี (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อดำเนินธุรกิจค้าหลักทรัพย์และนายหน้าค้าหลักทรัพย์ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบี จำกัด หลังจากธนาคารกรุงไทยได้ซื้อหุ้นครึ่งหนึ่งของบริษัทและกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในเดือนกันยายน 2549 ในเดือนกันยายน 2551 ธนาคารกรุงไทยบรรลุข้อตกลงกับ บล. ซีมิโก้ ในการดำเนินธุรกิจหลักทรัพย์ร่วมกัน โดยในเบื้องต้น บล. ซีมิโก้ ซื้อหุ้นในสัดส่วน 48.64% ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท (ปัจจุบันเพิ่มเป็น 49.54%) จากผู้ถือหุ้นที่เหลือ และได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บล. เคที ซีมิโก้ จำกัด ในเดือนเมษายน 2552 หลังจากนั้นยังซื้อบัญชีลูกหนี้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ อีกทั้งยังรับโอนพนักงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลักทรัพย์เกือบทั้งหมดซึ่งรวมถึงผู้บริหารหลักในธุรกิจ และรับโอนบัญชีลูกค้า ใบอนุญาตดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับอนุพันธ์ และสินทรัพย์ที่ใช้ในการดำเนินงานมาจาก บล. ซีมิโก้ รวมมูลค่าประมาณ 1,300 ล้านบาทด้วย และเริ่มเปิดดำเนินงานในนาม บล. เคที ซีมิโก้ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2552 เป็นต้นมา ทริสเรทติ้งกล่าวว่า บล. เคที ซีมิโก้ ดำเนินธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์เป็นธุรกิจหลัก โดยรายได้จากค่านายหน้าค้าหลักทรัพย์คิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90% ของรายได้รวมของบริษัทในปี 2548 ถึงปี 2551 อย่างไรก็ตาม หลังจากผู้บริหารของ บล. ซีมิโก้ เข้ามารับผิดชอบการดำเนินงานในปี 2549 บริษัทก็สามารถกระจายแหล่งรายได้ไปยังฐานรายได้ค่าธรรมเนียมประเภทอื่น ๆ มากขึ้น ทั้งนี้ เนื่องจากคณะผู้บริหารมีประสบการณ์เป็นที่ยอมรับอย่างดีในธุรกิจจัดจำหน่ายหลักทรัพย์และธุรกิจให้คำปรึกษาทางการเงินแก่ลูกค้าที่เป็นบริษัทขนาดกลางและขนาดย่อม ทำให้บริษัทสามารถลดการพึ่งพารายได้จากนายหน้าค้าหลักทรัพย์หลังการรวมธุรกิจ โดยในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 บริษัทรายงานรายได้รวมจำนวน 570 ล้านบาท ซึ่ง 79% เป็นรายได้จากค่าธรรมเนียมนายหน้าค้าหลักทรัพย์ (ทั้งในตลาดหลักทรัพย์และตลาดสัญญาซื้อขายล่วงหน้า) 6% เป็นรายได้ค่าธรรมเนียมประเภทอื่น 3% เป็นรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลจากเงินลงทุนในหลักทรัพย์ 9% เป็นรายได้จากบัญชีสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ และ 3% เป็นกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ การสร้างความแข็งแกร่งให้แก่บุคลากรด้านวานิชธนกิจจะเอื้อประโยชน์ในการกระจายตัวของรายได้ให้แก่บริษัทในระยะยาว ซึ่งจะลดการพึ่งพาที่ค่อนข้างสูงจากรายได้ค่าธรรมเนียมนายหน้าค้าหลักทรัพย์ลงได้ ในขณะเดียวกัน รายได้ของบริษัทก็จะมีความผันผวนน้อยลงเมื่อมีการเปิดเสรีค่าธรรมเนียมนายหน้าค้าหลักทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบในปี 2555 ทริสเรทติ้งกล่าวว่าภายหลังการซื้อกิจการ บล. เคที ซีมิโก้ มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงขึ้นถึง 6.91% ในเดือนพฤษภาคม 2552 และ 7.49% ในเดือนมิถุนายน 2552 ซึ่งจัดเป็นอันดับ 2 ในบรรดาบริษัทหลักทรัพย์ทั้งหมด และเพิ่มขึ้นจาก 1.29% ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2552 ในปี 2552 บริษัทจัดอยู่ในลำดับที่ 3 ในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ 35 ราย โดยคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาด 5.47% ตำแหน่งดังกล่าวลดลงเล็กน้อยมาอยู่ในอันดับที่ 4 ด้วยส่วนแบ่ง 4.73% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทยังคงได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่รุนแรงของบริษัทนายหน้าค้าหลักทรัพย์และจากค่าธรรมเนียมค้าหลักทรัพย์ที่ลดลง บริษัทรายงานกำไรสุทธิเพียง 35 ล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการทำกำไรของบริษัทคาดว่าจะดีขึ้นมากในช่วงครึ่งหลังของปี 2553 นี้ด้วยแรงหนุนจากการฟื้นตัวอย่างมากของมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันที่มีถึง 26,212 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 เทียบกับ 18,007 ล้านบาทต่อวันในปี 2552 แต่บริษัทยังคงมีความท้าทายในการบริหารจัดการจำนวนพนักงานส่วนเกินภายหลังการควบรวมกิจการให้มีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ สัดส่วนค่าใช้จ่ายดำเนินงานต่อรายได้รวมของบริษัทเพิ่มขึ้นเป็น 82% ในช่วงครึ่งแรกของปี 2553 จาก 76% ในปี 2552 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมที่ระดับ 62% ในด้านของการก่อหนี้นั้น แม้ว่าบริษัทจะเพิ่มทุนจำนวน 300 ล้านบาทในเดือนเมษายน 2553 แต่อัตราส่วนสินทรัพย์รวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นก็ยังเพิ่มขึ้นจาก 2.08 เท่าในปี 2552 เป็น 2.13 เท่า ณ เดือนมิถุนายน 2553 ซึ่งใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 2.49 เท่า บริษัทมีวงเงินสินเชื่อที่ยังไม่ได้ใช้ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับจากธนาคารกรุงไทยที่เพียงพอรองรับความเสี่ยงด้านสภาพคล่องและขยายธุรกิจตามแผน เป็นที่คาดหมายว่า บล. เคที ซีมิโก้ จะได้รับการสนับสนุนที่ดีจากธนาคารกรุงไทยเพื่อรักษาระดับความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ความสามารถในการใช้ประโยชน์จากเครือข่ายและฐานลูกค้าของธนาคารกรุงไทยอย่างเต็มที่ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อไป คณะผู้บริหารของบริษัทได้ขยายสินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์โดยใช้วงเงินหมุนเวียนจากธนาคารกรุงไทย แต่ในฐานะที่เป็นบริษัทในกลุ่มธนาคารกรุงไทย การได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารจึงถูกจำกัดโดยเพดานวงเงินให้กู้ยืมแก่บริษัทในกลุ่มเนื่องจากวงเงินสินเชื่อที่ให้แก่บริษัทนั้นขึ้นอยู่กับดุลยพินิจและการอนุมัติของธนาคารกรุงไทย บริษัทบริหารสภาพคล่องส่วนเกินด้วยการเพิ่มการซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทเองมากขึ้น ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 การซื้อขายในบัญชีของบริษัทคิดเป็น 23% ของมูลค่าธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ ซึ่งทำให้บริษัทสร้างรายได้พิเศษและเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ อย่างไรก็ตาม การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัทก็เพิ่มความเสี่ยงด้านการตลาดมากขึ้นด้วย ทั้งนี้ ทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะมีระบบบริหารความเสี่ยงที่ดีเพื่อช่วยลดทอนความเสี่ยงด้านการตลาด บริษัทหลักทรัพย์ เคที ซีมิโก้ จำกัด (KTZ) อันดับเครดิตองค์กร: BBB+แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ