กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง
ตามที่ คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับมาตรการสนับสนุนการจัดตั้ง ศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ (International Procurement Center : IPC) ที่เป็น บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทย ซึ่งประกอบกิจการจัดซื้อและขายสินค้านอกประเทศไทยให้แก่วิสาหกิจในเครือ โดยสินค้า ดังกล่าวมิได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย (ธุรกรรม Out-Out) และประกอบกิจการจัดซื้อวัตถุดิบและชิ้นส่วนและขายให้แก่วิสาหกิจในเครือของตนเพื่อความมุ่งประสงค์ในการผลิตนอกประเทศไทยที่ได้กระทำโดยวิสาหกิจ ในเครือดังกล่ ว (ธุรกรรม In-Out) โดยคุณลักษณะที่เหมาะสมที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้เป็นไป ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่กรมสรรพากรประกาศกำหนด นั้น
กรมสรรพากร ได้พิจารณาหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขเบื้องต้น ที่จะผลักดันเสนอเป็นกฎหมายให้มีผลบังคับใช้ในการจัดตั้งศูนย์กลางการจัดหาสินค้าเพื่อการผลิตระหว่างประเทศ ( International ProcurementCenter : IPC ) ดังต่อไปนี้
1. คุณสมบัติของผู้จัดตั้งศูนย์ IPC
1.1 คุณสมบัติของนิติบุคคลผู้จัดตั้งศูนย์ IPC
(1) มีทุนจดทะเบียนชำระแล้วในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี ตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป
(2) จดแจ้งการเป็นศูนย์กลางการจัดหาสินค้าฯ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด ภายใน 2 ปีนับแต่วันที่กฎหมายมีผลบังคับใช้
(3) วิสาหกิจในเครือในประเทศไทยและในต่างประเทศต้องมีผู้บริหารและพนักงานดำเนินการจริง และมีการประกอบกิจการจริงตามวัตถุประสงค์ของกิจการ หรือตามที่แจ้งไว้กับกรมสรรพากร โดยวิสาหกิจในเครือในต่างประเทศต้องมีที่ตั้งอยู่ในต่างประเทศ
1.2 คุณสมบัติด้านรายได้ของศูนย์ IPCมีรายได้ในธุรกรรมที่ได้รับสิทธิประโยชน์อย่างน้อย 1,000 ล้านบาทต่อปี ภายในรอบระยะเวลาบัญชีที่ 3 นับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่ใช้สิทธิลดอัตราภาษี
1.3 คุณสมบัติด้านรายจ่ายของศูนย์ IPC
(1) มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของศูนย์ IPC ที่จ่ายให้แก่ผู้รับในประเทศไทย ไม่น้อยกว่า 15 ล้านบาทต่อปี (ไม่รวมค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สิน รายจ่ายในการดำเนินงานที่จ่ายไปต่างประเทศ ค่าวัตถุดิบ ค่าสิทธิ ค่าส่วนประกอบ และค่าบรรจุภัณฑ์) หรือ
(2) มีค่าใช้จ่ายเพื่อการลงทุนของศูนย์ IPC ที่จ่ายให้แก่ผู้รับในประเทศไทย โดยเป็นการจ่ายเงินจ ิงในปีนั้น ๆ ไม่น้อยกว่า 30 ล้านบาทในแต่ละรอบระยะเวลาบัญชี (ไม่รวมถึงเงินลงทุนในหลักทรัพย์)
1.4 เงื่อนไขด้านราคาสินค้าของศูนย์ IPC ราคาสินค้าที่ซื้อขายกันระหว่างศูนย์ IPC และวิสาหกิจ ในเครือ ต้องเป็นราคาตลาด (มาตรา 65 ทวิ (4) แห่งประมวลรัษฎากร)
1.5 คุณสมบัติด้านบุคลากรผู้ปฏิบัติหน้าที่ในศูนย์ IPC
(1) พนักงานที่ปฏิบัติงานในศูนย์กลางการจัดหาสินค้าฯ ต้องเป็นผู้มีทักษะและความรู้ขั้นต่ำตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ที่อธิบดีประกาศกำหนด
(2) มีการจ่ายค่าจ้างแรงงานให้แก่พนักงานที่ปฏิบัติงานในศูนย์กลางการจัดหาสินค้าฯ ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาทต่อคนต่อปี เป็นจำนวนอย่างน้อย 3 คน ตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีปีที่ 3 นับแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่ใช้สิทธิลดอัตราภาษี
2. สิทธิประโยชน์ทางภาษี
2.1 ลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคล เหลือร้อยละ 15 สำหรับกำไรสุทธิให้แก่ศูนย์ IPC เป็นเวลา 5 รอบระยะเวลาบัญชีต่อเนื่องกัน สำหรับรายได้ดังต่อไปนี้
(1) รายได้จากการจัดซื้อและขายสินค้านอกประเทศไทยให้แก่วิสาหกิจในเครือที่ตั้งในต่างประเทศ โดยสินค้าดังกล่าวมิได้ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย (ธุรกรรม Out-Out)
(2) รายได้จากการขายวัตถุดิบและชิ้นส่วนให้แก่วิสาหกิจในเครือที่ตั้งในต่างประเทศ เพื่อความมุ่งประสงค์ในการผลิตนอกประเทศไทยที่ได้กระทำโดยวิสาหกิจในเครือดังกล่าว (ธุรกรรม In-Out)
2.2 การลดอัตราภาษีหรือยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในกรณีศูนย์กลางการจัดหาสินค้าฯ มีรายได้จากธุรกรรมใน ข้อ 2.1 (1) และ (2) ข้างต้น ตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไปของรายได้ที่ได้รับสิทธิประโยชน์รวมกับรายได้จากการขายวัตถุดิบและชิ้นส่วนให้แก่วิสาหกิจในเครือในประเทศเพื่อการผลิตที่ได้กระทำโดยวิสาหกิจในเครือในประเทศดังกล่าว บุคคลธรรมดาที่ปฏิบัติงานในศูนย์ IPC จะได้รับสิทธิประโยชน์ ดังต่อไปนี้
(1) คนต่างด้าวซึ่งเป็นผู้บริหารหรือผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่ได้แจ้งไว้กับกรมสรรพากร จำนวนไม่เกิน 3 คน ได้รับสิทธิลดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเหลือร้อยละ 15 สำหรับเงินได้เนื่องจากการจ้างแรงงานที่ คนต่างด้าวเหล่านั้นได้รับจากการทำงานในศูนย์ IPC เป็นเวลา 5 ปี และ
(2) กรณีที่คนต่างด้าว ตามข้อ 2.2 (1) ถูกส่งไปทำงานในต่างประเทศและศูนย์ IPC (ไทย) ไม่นำเงินได้เหล่านั้นมาหักเป็นรายจ่ายในไทย ได้รับสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้จากการจ้างแร งานที่ถูกส่งไปทำงานต่างประเทศ เป็นเวลา 5 ปี
3. ข้อควรระวังในการใช้สิทธิ
กรณีศูนย์ IPC มีคุณสมบัติไม่ครบถ้วนตามที่กำหนดไว้ข้างต้น (ตามข้อ 1 และข้อ 2) ในรอบระยะเวลาบัญชีใด ให้หมดสิทธิการได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเงินได้นิติบุคคลและภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตั้งแต่รอบระยะเวลาบัญชีแรกที่ใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษี
นายสาธิต รังคสิริ อธิบดีกรมสรรพากร ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ มาตรการภาษีนี้เป็นการต่อยอดมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนสำนักงานปฏิบัติการภูมิภ ค (ROH) ซึ่งการให้สิทธิประโยชน์แบบ out-out ตามมาตรการภาษีนี้ จะไม่ทำให้รัฐสูญเสียรายได้เนื่องจากเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นนอกประเทศซึ่งปัจจุบันมีส่วนน้อย ที่บันทึกบัญชีในประเทศไทย การลดอัตราภาษีเงินไ ด้นิติบุคคลให้ จะส่งเสริมให้มีการนำรายได้ในส่วนนี้มาบันทึกบัญชีในประเทศไทยเพิ่มขึ้น สำหรับการให้สิทธิประโยชน์แบบ in-out จะเป็นการส่งเสริมให้กลุ่มบริษัทในเครือในต่างประเทศหันมาใช้วัตถุดิบและชิ้นส่วนที่ผลิตขึ้นในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยกา ส่งออกของประเทศ พร้อม ผลักดันให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตของภูมิภาคอย่างยั่งยืน โดยรัฐจะสามารถจัดเก็บภาษีได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว”
ทั้งนี้ กรมสรรพากรขอเรียนว่า ขณะนี้ร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างประกาศอธิบดีที่กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่ชัดเจน อยู่ในระหว่างการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ซึ่งจะ มีผลบังคับใช้ในวันถัดจากวันที่ ด้มีการประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นที่เรียบร้อย หากมีความคืบหน้าของการประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวเมื่อใด กรมสรรพากรจะได้ประชาสัมพันธ์ให้ทราบในภายหลังต่อไป
กรมสรรพากร เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน
ส่วนประชาสัมพันธ์ สำนักบริหารกลาง กรมสรรพากร
เลขที่ 90 ถนนพหลโยธิน 7 พญาไท กรุงเทพฯ 10400 โทร. 0 2617 3320-21 โทรสาร 0 2617 3324 หรือ RD Call Center 1161