ธุรกิจการเกษตรไทยโตต่อเนื่อง

ข่าวทั่วไป Monday November 15, 2010 13:02 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 พ.ย.--สป็อตมาร์ก สองสำนักวิจัยระดับโลกชี้ ธุรกิจการเกษตรไทยยังโตต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากการขยายตัวของตลาดทั้งในและต่างประเทศ แต่ภาคอุตสาหกรรมต้องหันมาให้ความสำคัญเรื่องการบริหารปัจจัยการผลิต การใช้เทคโนโลยีการเกษตร และการเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน เพื่อรองรับการเติบโตและการแข่งขันในอนาคต 2 บริษัททวิจัยระดับโลก ฟาสต์ มาร์เก็ต รีเสิร์ช และ รีเสิร์ช แอนด์ มาร์เก็ต เชื่อธุรกิจเกษตรไทยจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเป็นผลจากการฟื้นตัวของเศรษฐโลก ขณะเดียวกันเศรษฐกิจไทยก็ยังคงขยายตัว ถึงแม้จะไม่มากนัก แต่ก็ได้รับอานิสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐส่งผลให้ปริมาณความต้องการบริโภคสินค้าเพิ่มขึ้น ในอนาคต การเติบโตของภาคอุตสาหกรรม นอกจาก จะเป็นการเติบโตภายในประเทศแล้ว ในปีหน้าเราจะได้เห็น บริษัทการเกษตรไทยขยายการลงทุนไปยัง กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะลาวและกัมพูชา ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มข้อได้เปรียบด้านปัจจัยการผลิต รวมไปถึงด้านการค้า เพราะ ทั้งลาวและกัมพูชาจัดเป็นประเทศกำลังพัฒนา และได้รับสิทธิประโยชน์ทางการค้าและการส่งออกหลายๆ ประการ ตัวอย่างเช่น การไปลงทุนจัดตั้งบริษัท น้ำตาล มิตรลาว จำกัด มูลค่ากว่า 2.3 พันบ้านบาทของกลุ่มมิตรผลเมื่อปี 2552 เพื่อการส่งออกน้ำตาลไปยังยุโรป โดยในปี 2553 มิตรผลก็ได้จัดงบอีกว่า 1.65 พันล้านบาท เพื่อขยายพื้นที่การปลูกอ้อยและขยายกำลังการผลิตน้ำตาลในลาว โดยคาดว่าจะมีกำลังการผลิตรวม 120,000 ตันในปี 2554 ในทำนองเดียวกันกลุ่มน้ำตาลขอนแก่นก็ได้มีการขยายการลงทุนไปยังประเทศกัมพูชาเช่นกัน แนวการวิเคราะห์ดังกล่าวสอดคล้องกับกรมเศรษฐกิจการเกษตรที่เชื่อว่า เศรษฐกิจการเกษตรปี 2553 จะขยายตัวประมาณร้อยละ 2.2 - 3.2 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งชะลอตัวจากที่ได้คาดการณ์ไว้ในช่วงต้นปีว่าภาคเกษตรจะขยายตัวร้อยละ 3.1 ทั้งนี้เนื่องจากภาวะภัยแล้ง ฝนทิ้งช่วง และโรคแมลงศัตรูพืชระบาด ทาให้มีการเลื่อนการปลูกข้าวนาปีและปรับเปลี่ยนไปปลูกพืชอื่น ส่วนสถานการณ์ด้านราคา คาดว่าราคาสินค้าเกษตรจะยังอยู่ในเกณฑ์ดี ซึ่งเป็นผลจากปริมาณผลผลิตที่มีแนวโน้มลดลง สำหรับการส่งออกสินค้าเกษตรในปี 2553 มีแนวโน้มที่จะขยายตัวได้ จากเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น อย่างไรก็ตาม สินค้าบางชนิด เช่น ข้าว อาจจะได้รับผลกระทบจากความสามารถในการแข่งขันด้านราคา ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่จะทำให้การส่งออกชะลอตัว ดร. อนันต์ ดาโลดม นายกสมาคมพืชสวนแห่งประเทศไทย ชี้ว่า สถานการณ์ส่งออกผลิตภัณฑ์การเกษตรของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเฉพาะผักและผลไม้ไทยยังมีแนวโน้มที่สดใส เพราะประเทศไทยค่อนข้างได้เปรียบในเรื่องความหลากหลาย แต่สิ่งที่เกษตรกรและผู้ประกอบการต้องให้ความสำคั?ญคือ เรื่องมาตรฐานและคุณภาพสินค้า รวมไปถึงเรื่องการตัดราคา เพราะจะเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตรวมทั้งระบบ อย่างไรก็ดี ในภาพรวมภาคธุรกิจการเกษตรของไทยก็ยังต้องเผชิญกับความท้าทายทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้งที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรในหลายสาขา สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าร่วม 14,000 ล้านบาทในปี 2553 ด้วยเหตุนี้ทั้งภาครัฐแลภาคเอกชนก็ต้องหันมาให้ความสำคัญและจัดระบบการบริหารและจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ ตลอดจนสรรหาเทคโนโลยีด้านการชลประทานที่มีประสิทธิภาพเข้ามาใช้ ในส่วนของการเปิดตลาดการค้าเสรีอาเซียน แม้ว้าจะเป็นการเปิดโอกาสทางธุรกิจและการขยายตลาดให้กว้างขึ้น ด้วยจำนวนประชากรร่วม 600 ล้านคน แต่เกษตรกรและผู้ประกอบการไทยก็ต้องเร่งปรับตัวเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขัน เพื่อให้คุณภาพและราคาสินค้าสามารถแข่งขันได้ทั้งในระดับภูมิภาค หรือแม้แต่ระดับโลก การเข้าใจแนวโน้มของธุรกิจและทิศทางของเทคโนโลยีการเกษตรจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถปรับตัว เตรียมพร้อม และรับมือกับอุปสรรคและปัญหาต่างๆ ได้เป็นอย่างดี “การจัดงาน Thailand Agribusiness Conference 2011” จะเป็นอีกเวทีหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจการเกษตรทุกแขนงได้มาแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ และ รับทราบแนวโน้มการดำเนินธุรกิจในอนาคต เพื่อรับมือกับภาวะการแข่งขันระดับภูมิภาคและระดับโลก” ทั้งนี้จากการเปิดเผยของนายศิระพัฒน์ เกตุธาร กรรมการผู้จัดการบริษัท สป็อตมาร์ก จำกัด ท่านที่สนใจเกี่ยวกับงาน Thailand Agribusiness Conference 2011 สามารถติดต่อรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ บริษัท สป็อตมาร์ก จำกัด โทรศัพท์ 02 978 2519 โทรสาร 02 978 4548 หรือ อีเมลล์ [email protected]

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ