กรุงเทพฯ--15 พ.ค.--แม็กซิม่า คอลซัลแตนท์
มูลนิธิไทยคม นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร กรรมการและเลขานุการ สานต่อวัตถุประสงค์ของมูลนิธิที่มุ่งเน้นพัฒนาด้านการศึกษา และช่วยเหลือเยาวชนคนดีแต่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ด้วยการจัด โครงการ “ต่อทุนหนุนฝัน” จำนวน 400 ทุน รวมมูลค่าทั้งสิ้น 5 ล้านบาท ให้น้องๆ ชั้นมัธยมและอุดมศึกษาของรัฐ สมัครขอรับทุนได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 มิ.ย. ศกนี้ โดยได้มีทำพิธีมอบ 3 ทุนแรกที่ผ่านการพิจารณาแล้วให้แก่ น้องนาง - น.ส.ประภาศรี สัมโย,น้องเอส - นายศุภกิจ ตันแสนทวี และน้องเจ - ด.ช.ธีรภัทร์ ไชยทุ่งฉิน ณ อาคารชินวัตร 3 ถ.วิภาวดีรังสิต
เด็กสาวหัวใจแกร่งแห่งแดนอีสาน น้องนาง - น.ส.ประภาศรี สัมโย อายุ 19 ปี ขณะนี้กำลังศึกษาปี 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่วันนี้มารับทุนกับคุณแม่สำลี โดยน้องนางเล่าด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ทำนา คืออาชีพที่หนูเห็นพ่อกับแม่ทำมาตั้งแต่เกิด เราจึงอยู่กันอย่างช่วยเหลือ ปิดเทอมหนูกับพี่ชายและน้องสาวก็จะช่วยพ่อกับแม่ทำนา ทำเสร็จเร็ว พวกเราก็จะไปรับจ้างญาติเพื่อช่วยทำนา พอได้เงินมาบ้าง ช่วงเย็นหนูก็จะช่วยแม่เลี้ยงควายด้วย ควายให้รายได้ดี เราซื้อมา 8,000 บาท เลี้ยง 1 ปี สามารถขายได้ 15,000 บาท ดีกว่าเอาเงินไปฝากธนาคารเสียอีก ถ้าหมดหน้านา พ่อก็จะออกเร่รถตระเวนขายไม้กวาดไปทั่ว ตั้งแต่หนูอายุ 10 ขวบ อาศัยเอาวัดเป็นที่ซุกหัวนอน เพื่อหารายได้มาจุนเจือครอบครัวอีกทาง แต่พอเปิดเทอมที ต้องใช้เงินมาก บางทีพ่อแม่ไม่มีสตางค์ ไม่พอก็ต้องหายืมข้างบ้านเอา” การเรียนมหาวิทยาลัย แม้จะเป็นความดีใจสูงสุดของนาง แต่นั่นทำให้พ่อแม่ต้องทำงานหนักมากขึ้น “ยิ่งเรียนสูงก็ยิ่งใช้เงินมาก ทางบ้านจึงลำบากและเหนื่อยกว่าเก่า แม่เคยขอให้เรียนทางไปรษณีย์แทน แต่หนูฝันที่จะเรียนมหาวิทยาลัย พ่อแม่จึงต้องเหนื่อยวิ่งตามความฝันกับเรา แต่หนูก็พยายามหางานพิเศษทำ ทุกวันนี้ก็ช่วยอาจารย์ทำงานที่มหาวิทยาลัย พอได้ค่าขนม ไม่ต้องไปกวนพ่อแม่มาก เห็นพ่อแม่ลำบากเพื่อหนูจะได้เรียน ทำให้หนูยิ่งต้องตั้งใจมากยิ่งขึ้น ถ้าไม่เรียนหนังสือชีวิตก็จบ หนูเชื่อว่าการศึกษาจะช่วยยกระดับเราได้ จะมีจะจนแค่ไหนก็ต้องเรียนให้จบ ไม่มีสตางค์ซื้อหนังสือก็ต้องถ่ายเอกสารเอา”
ทุกปีนางมักจะได้รับทุนการศึกษามาตลอด ซึ่งทุนในโครงการ “ต่อทุนหนุนฝัน” จากมูลนิธิไทยคม ที่เธอสมัครขอรับทุนจากคำแนะนำของพ่อซึ่งอ่านมาจากหนังสือพิมพ์ตามร้านกาแฟ เธอมั่นใจว่าจะช่วยสานฝันยิ่งใหญ่ของเธอให้ชัดเจนเป็นจริงได้ “ทนายความ คืออาชีพที่ใฝ่ฝัน หนูเห็นคนแถวบ้านบางคนมีหนี้ ถูกโกง ทั้งๆ ที่เขาไม่ผิด มีเรื่องกับคนมีเงิน ก็ต้องยอมเขา หนูอยากจะช่วยเขา อยากสู้แทนเขา รู้สึกว่าอาชีพทนายเป็นอาชีพที่มีเกียรติ แม้แม่จะเป็นห่วง แต่หนูก็อยากลองเดินตามความฝัน เราตั้งใจมาจากใจจริงๆ เราต้องทำได้ หนูเชื่ออย่างนั้น ถ้าเราทำดีเราจะต้องได้สิ่งดีๆ ตอบแทน หนูก็ทำดีมาตลอด จะไม่มีเลยเหรอที่คนดีๆ จะช่วยเหลือหนู” นางพูดพร้อมน้ำใสๆ เปื้อน 2 แก้ม ก่อนจะเล่าถึงอนาคตกับการจัดการทุนที่ได้รับว่า “จะแบ่งเป็น 2 ก้อน นำไปซื้อควายก้อนหนึ่ง และแบ่งฝากธนาคารเผื่อไว้ก้อนหนึ่ง รวมกับที่มีอยู่อีกก้อนหนึ่ง ปีนี้เราก็รอดตายแล้ว เหมือนถูกหวยชีวิต แม่ไม่ต้องตื่นขึ้นมาแอบกินข้าวเหนียวเปล่าดึกๆ เพื่อให้พวกลูกๆ กินข้าวอิ่มก่อนแล้ว”
ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนาง ถ้าวันหนึ่งเธอสามารถช่วยเหลือชีวิตตนเองได้ เธอก็อยากแบ่งปันคนอื่นบ้าง “สัญญาว่าจะใช้ความรู้ด้านกฎหมายที่เรียนมา ตอบแทนสังคม ช่วยคนที่ลำบากกว่าเท่าที่ความสามารถจะช่วยเหลือได้ เพราะครั้งนี้เราก็เป็นผู้รับ ถ้ามีโอกาสเราก็อยากจะเป็นผู้ให้บ้าง คนกำลังจะตายเหมือนต้นไม้เล็กๆ จะแห้งตายแล้วมีคนเอาน้ำฝนมาหยดใส่ มันต่อชีวิตและต่อความฝันได้จริงๆ เรียกว่าพระมาโปรดก็ใช่ ทำดีก็ต้องได้ดี แม้เห็นผลช้า แต่ว่ามันมหาศาล เช่นที่ในหลวงท่านทรงสอนเรื่องการศึกษาว่า การลงทุนกับการศึกษาไม่ต้องคิดถึงผลกำไร เพราะผลกำไรมันอยู่ในตัว กลับมาก็จะมหาศาล”
หนุ่มรักเรียน ผู้ไม่เคยท้อต่ออุปสรรคในชีวิต น้องเอส - นายศุภกิจ ตันแสนทวี วัย 18 ปี ขณะนี้กำลังศึกษาปี 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ เอกภาควิชาระบบควบคุมสาขาแมคคาทรอนิกส์ จากสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง กับความฝันที่จะเป็นนักบินอวกาศ เล่าเรื่องราวของครอบครัวว่า “การเรียนมหาวิทยาลัย ทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง ทั้งอุปกรณ์การเรียน หนังสือ และค่าที่พัก ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่ควบคุมไม่ได้ แต่ผมก็พยายามจะประหยัดในเรื่องค่าอาหารการกิน เพื่อจะได้ช่วยเหลือครอบครัวที่มีรายได้เพียงน้อยนิดในแต่ละเดือน แต่ก่อนเคยได้รับทุนจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลบนดิน เป็นระยะเวลา 2 ปี แต่ตอนนี้ทุนนี้ได้ถูกยกเลิกไปแล้ว รู้สึกครอบครัวลำบากมากขึ้น พ่อแม่ต้องทำงานเยอะกว่าเก่า ผมในฐานะลูกจึงอยากทำวิถีทางเพื่อช่วยเหลือพ่อแม่ เพราะพ่อผมพิการทางขาจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้ขาทั้ง 2 ข้างเดินไม่ได้ จึงช่วยเหลือตัวเองไม่ได้มากนัก แต่พ่อไม่เคยย่อท้อต่อชีวิต พ่อยังหาเลี้ยงพวกเรา 3 คนพี่น้องด้วยการรับสลากกินแบ่งรัฐบาลมาขาย โดยในทุกๆ วันพ่อกับแม่จะผลัดกันไปขาย และผมยังจำได้ตลอดว่าทุกๆ ครั้งที่เปิดเรียน พ่อต้องหาเงินมาจ่ายค่าเทอมให้กับลูกทั้ง 3 คน บางครั้งต้องไปกู้ยืมเงินจากกองทุนกู้ยืมเงินเพื่อการศึกษา (กยศ.) สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พ่อต้องทำเพื่อพวกลูกทุกๆ ปี”
การที่น้องเอสได้รับทุกจากมูลนิธิไทยคมนั้น เพราะได้ทราบข่าวจากทางหนังสือพิมพ์เมื่อปีก่อน ว่าจะมีโครงการ “ต่อทุนหนุนฝัน” เขาจึงไม่รอช้าที่จะหาเงินมาช่วยแบ่งเบาภาระให้พ่อ ความมุ่งมั่น และความกตัญญู จึงทำให้เขาได้เป็นหนึ่งในผู้ได้รับทุนในปี 2550 นี้ “ทุนนี้จะช่วยต่อยอดการศึกษาให้ผม เมื่อเรียนจบอยากเข้าทำงานที่สถาบันวิจัยและพัฒนาเน็คเท็ค ผมสนใจระบบกลไก และเทคนิคการประดิษฐ์หุ่นยนต์ เป็นพิเศษ และฝันมาตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นนักบินอวกาศ” โดยเด็กหนุ่มยังไม่ลืมนึกถึงสังคมด้วย “ถ้ามีโอกาสผมจะตอบแทนแผ่นดินเกิดด้วยการนำความรู้ที่ได้รับทั้งจากการศึกษาและดำรงชีวิต มาถ่ายทอดให้น้องๆ รุ่นต่อๆ ไป แต่ที่สำคัญที่สุดตอนนี้ในชีวิต คือผมต้องตั้งใจเรียนให้จบ หางานทำ เพื่อต่อไปผมจะได้รับผิดชอบครอบครัวได้อย่างดียิ่งที่สุด เพื่อตอบแทนพระคุณพ่อแม่ ผมอยากให้พ่อแม่ได้พักผ่อน ไม่อยากเห็นท่านต้องลำบากเพราะผมอีกแล้ว พ่อกับแม่เหนื่อยเพื่อลูกมามากแล้ว เหนื่อยมาทั้งชีวิตแล้ว” เอสยังกล่าวทิ้งท้ายอีกว่า “ทุนครั้งนี้ ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะได้รับ แต่โอกาสมันจะไม่วิ่งมาหาเราหรอก เราต้องเป็นผู้คว้ามันด้วยตัวเอง”
สุดท้าย เด็กน้อยที่จะเติบโตเป็นอนาคตของชาติ น้องเจ - ด.ช.ธีรภัทร์ ไชยทุ่งฉิน วัย 12 ขวบ ขณะนี้กำลังศึกษา ม.1 โรงเรียนวัดบวรนิเวศ ผู้ที่รู้แล้วว่าจะช่วยเหลือครอบครัวอย่างไร “ปัจจุบันพ่อและแม่มีอาชีพตัดเย็บเสื้อผ้า เป็นร้านเล็กๆ มีรายได้เดือนหนึ่งไม่มากนัก แม้จะลำบากแค่ไหน แต่ถ้ามีเวลาว่างหลังจากการทำการบ้าน และทบทวนบทเรียน ผมจะช่วยแม่กวาดถูบ้าน ล้างจานเสมอ และเพราะผมเป็นลูกคนสุดท้อง จึงได้รับรู้ปัญหาด้านการเงินและค่าใช้จ่ายต่างๆ ของครอบครัวมาโดยตลอด ปีนี้พ่อต้องใช้เงินเยอะขึ้น เพราะพี่อีก 2 คน กำลังเรียนมหาวิทยาลัย ทุนที่เคยได้รับจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเมื่อในปีก่อนก็ไม่ได้รับแล้ว ผมจึงต้องหาทุนจากที่อื่นมาแบ่งเบาภาระพ่อกับแม่”
โชคดีที่น้องเจทราบข่าวโครงการ “ต่อทุนหนุนฝัน” จากทางโทรทัศน์ เขาจึงไม่รอช้าที่จะส่งประวัติตัวเองเข้ามาเพื่อจะเป็นหนึ่งโอกาสของชีวิตการศึกษา “วันนี้ความฝันของผมเป็นจริง เงินจำนวนนี้ผมจะนำมาเป็นค่าเทอม ตอนนี้ผมยังไม่รู้ว่าอนาคตจะเดินไปทางไหน แต่ที่ผมอยากทำให้ดีที่สุด คือ ตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เป็นเด็กดีของพ่อแม่ และเป็นคนดีของสังคม” เจนิ่งและกล่าวต่อว่า “พ่อสอนผมเสมอว่าหน้าที่หลักของผม คือ การตั้งใจเรียน เพราะพ่อกับแม่ไม่มีสมบัติอะไรจะให้ลูกได้ดีไปกว่าวิชาความรู้” นอกจากนั้น เด็กน้อยยังเชื้อเชิญเพื่อนๆ ที่อยากเรียนหนังสือแต่ครอบครัวมีฐานะไม่ค่อยดีว่า “โอกาสทางการศึกษายังรออยู่ เพียงแต่กล้าที่จะตามฝันตัวเองให้เจอ ส่งประวัติของตนเข้ามา บอกเล่าเรื่องราวของชีวิต การเรียน และครอบครัว ผมคิดว่าโอกาสคงไม่เพียงมีแต่ผมคนเดียวที่ได้รับ คนอื่นๆ ก็น่าจะได้รับสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน“
น้องๆ ที่สนใจขอรับทุนจากโครงการ “ต่อทุนหนุนฝัน” สามารถยื่นความประสงค์ขอรับทุนมาได้ที่ มูลนิธิไทยคม 237/8 ถ.ราชวิถี แขวงสวนจิตรลดา เขตดุสิต กทม. 10300 โทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่ 0-2668-1719-23 ต่อ 6315 หรือคลิก www. thaicomfoundation.org แล้วฝันที่หวังไว้จะกลายเป็นจริง ดังเช่นน้องๆ 3 คน แรกที่ได้รับทุนจากโครงการนี้!!
หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
บริษัทแม็กซิม่า คอลซัลแตนท์ จำกัด โทร 0-2434-8300
คุณสุจินดา, คุณแสงนภา, คุณปิติยา
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net