กรุงเทพฯ--17 พ.ย.--แบรนด์คอม คอนซัลแทนส์
บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ประกาศผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาส 3 ปี 2553 สรุปได้ดังนี้
กำไรสุทธิไตรมาส 3 และ กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2553ในไตรมาส 3 ปี 2553 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 386.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 412 จากไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.040 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 398 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
สำหรับงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกของปี 2553 บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิทั้งสิ้น 877.8 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 108 จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2552 การเพิ่มขึ้นของกำไรสุทธิจากการดำเนินงานในงวดระยะเวลา 9 เดือนแรกมาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม การเพิ่มขึ้นของรายได้จากสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรมและการเพิ่มขึ้นจากการขายโรงงานสำเร็จรูปและจากการขายโครงการที่พักอาศัยรวมไปถึงกำไรจากการลงทุนในบริษัทร่วมเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา กำไรสุทธิต่อหุ้นเท่ากับ 0.090 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 102 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา
นายเดวิด นาร์โดน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ว่า
“ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2553 ของบริษัทเหมราชฯ ได้แสดงให้เห็นถึงการกลับมาของการลงทุนในตลาดเกิดใหม่ (emerging markets) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยจากการเติบโตของตลาด จากการแข่งขันและจากการรวมตัว ดังที่สะท้อนให้เห็นในฐานรายได้ของบริษัทฯ ด้วยรายได้ 2,809.4 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 63 มีกำไรสุทธิจำนวน 877.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 108 จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาโดยได้รวมถึงกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน
ยอดขายที่ดินอุตสาหกรรม 9 เดือนแรกยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยจำนวนยอดขาย(ส่วนใหญ่) และยอดการเช่าเป็นจำนวนรวม 721 ไร่ ( 288 เอเคอร์) ถึงแม้จะมีผลกระทบจากอุตสาหกรรมเคมีด้วยสาเหตุหลายประการที่รวมไปถึงเรื่องของใบอนุญาตประกอบการ แต่ความต้องการที่ดินของอุตสาหกรรมยานยนต์ยังคงแข็งแกร่ง รวมไปถึงศูนย์กลางการผลิตรถยนต์แห่งใหม่ของบริษัทฟอร์ดมอเตอร์จำกัดบนพื้นที่ 468 ไร่(187 เอเคอร์) ในนิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด “ดีทรอย์ตะวันออก” ในปีนี้
ภาพรวมของภาคอุตสาหกรรมที่เหลือยังคงแข็งแกร่งโดยมีบางส่วนสะท้อนให้เห็นจากอัตราการเติบโตของการผลิตยานยนต์ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตถึงร้อยละ 65 ด้วยสถิติ 1,650,000 คัน (เป็นอันดับที่ 13 ของโลก) ในปี 2553 นี้บริษัทยังยืนยันเป้าหมายในยอดขายที่ดินอุตสาหกรรมที่ 1,000 ไร่ (400 เอเคอร์) จากจำนวนของโรงงานใหม่และผลิตภัณฑ์ใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น
บริษัทฯ ดำเนินแผนธุรกิจภายใต้การลงทุนที่สำคัญและโอกาสทางธุรกิจ ในขณะเดียวกันก็ได้เพิ่มสภาพคล่องของบริษัทฯ โดยรวมไปถึงการลงทุนในธุรกิจพลังงานที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 35 ในโครงการเก็คโค่-วันที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้างเช่นเดียวกับการลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภคอื่น
นอกจากนี้แล้วบริษัทฯ ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือร้อยละ 75 ในบริษัท เอส ไอ แอล ที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด(เอส ไอ แอล) และบริษัท ระยองที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด (อาร์ ไอ แอล) ที่เป็นไปตามข้อตกลงกับบริษัทย่อยของบริษัทในเครือบมจ.ปูนซีเมนต์ไทย
บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ไม่มีหลักประกันด้วยอัตราดอกเบี้ยตายตัว (โดยมีบางส่วนเป็นอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นเป็นขั้นบันได) เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 6 พันล้านบาทมีอายุ 3 ถึง 9 ปี โดยหุ้นกู้ที่ออกครั้งล่าสุดเมื่อเดือนตุลาคม 2553 มีจำนวน 638 ล้านบาท ซึ่งหุ้นกู้นี้จะทำให้บริษัทมีสภาพคล่องและมีค่าใช้จ่ายทางการเงินที่ประมาณการณ์ได้เพื่อใช้สำหรับลงทุนในโครงการในอนาคต ด้วยอัตราหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ 0.70/1
บริษัทฯ ใช้กลยุทธการขยายฐานรายได้ด้วยการดูแลจัดการกับความเสี่ยงของบริษัทฯ ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญในการเลือกโอกาสในการลงทุนที่แข่งขันได้เพื่อที่จะเพิ่มโอกาสในการสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
รายได้รวมและผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรก ปี 2553
สำหรับงวด 9 เดือนแรกปี 2553 บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 2,809.4 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาจำนวน 1,723.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 โดยมีรายได้จากการประกอบธุรกิจหลักจำนวน 2,792.3 ล้านบาทหรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 67 เปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา รายได้การขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมของงวด 9 เดือนแรกปี 2553 ซึ่งรวมกำไรจากนิคมอุตสาหกรรมร่วมทุนจำนวน 1,075.5 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 91 โดยมีรายได้จากการขายพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมที่รอการรับรู้อีกเป็นจำนวน 815 ล้านบาทจากวิธีการรับรู้รายได้ตามการแล้วเสร็จของการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมเฟสใหม่อีก 3 เฟสที่จะรอการรับรู้ในช่วง 3-18 เดือนข้างหน้า
รายได้จากระบบสาธารณูปโภครวมถึงค่าบริการระบบสาธารณูปโภคในนิคมอุตสาหกรรม กำไรและเงินปันผลจากบริษัทร่วมด้านพลังงานและสาธารณูปโภค และค่าบริการระบบสาธารณูปโภคและบริการอื่นๆ ที่เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 752.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 โดยรายได้จากระบบสาธารณูปโภคเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 เป็น 694 ล้านบาทจากความต้องการน้ำที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามมีการลดลงของรายได้จาก capacity charge ของธุรกิจเคมีที่สะท้อนให้เห็นในรายได้จากสาธารณูปโภคอื่นๆและค่าบริการที่ลดลงร้อยละ 81
รายได้จากเช่าที่รวมถึงการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าออฟฟิสสำนักงานและอื่นๆ รวมแล้วลดลงเป็นจำนวน 349.4 ล้านบาทหรือลงลงร้อยละ 11 โดยที่รายได้จากการเช่าโรงงานสำเร็จรูป การให้เช่าฐานวางท่อ และการให้เช่าออฟฟิสสำนักงานนั้นเพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากความต้องการในการเช่าที่เพิ่มมากขึ้นแต่ลดลงในรายได้จากการจัดการการก่อสร้างไปร้อยละ 67
รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่รวมถึงการขายโรงงานสำเร็จรูปการขายโครงการที่พักอาศัย เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 614.9 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 2450
บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้นจำนวน 1,133.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 45 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) จำนวน 823.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 74 ด้วยอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) และอัตรากำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA Margin) ที่ 42% และ 29% ตามลำดับ
เหตุการณ์สำคัญในงวด 9 เดือนปีแรก ปี 2553
? บริษัทฯ มียอดขายที่ดินอุตสาหกรรมทั้งสิ้น จำนวน 721 ไร่ จากจำนวนสัญญาทั้งสิ้น 28 สัญญาโดยในจำนวนนี้เป็นลูกค้าใหม่จำนวน 14 รายและจากการขยายกิจการของลูกค้ารายเดิมจำนวน 14 ราย รวมจำนวนลูกค้าจนถึงปัจจุบันทั้งสิ้น 421 ราย จาก 630 สัญญา เป็นลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์จำนวน 145 ราย
? เมื่อวันที่ วันที่ 8 กันยายน 2553 บริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลประกอบการตั้งแต่ 1 มกราคม 2553 ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2553 จำนวน 0.025 บาทต่อหุ้น
? เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2553 บริษัทเหมราชพัฒนาที่ดิน (มหาชน) ได้เข้าซื้อหุ้นส่วนที่เหลือร้อยละ 75 ในบริษัท เอส ไอ แอล ที่ดินอุตสาหกรรม จำกัด(เอส ไอ แอล) จากบริษัท ซีเมนต์ไทย โฮลดิ้ง จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบมจ.ปูนซีเมนต์ไทย เป็นมูลค่าโดยประมาณ 763.7 ล้านบาท รวมกับเงินให้กู้ยืมของบริษัทกับ เอส ไอ แอล จำนวนเงิน 380 ล้านบาท
งบดุลรวมสิ้นสุด วันที่ 30 กันยายน 2553
ณ วันที่ 30 กันยายน 2553 บริษัทฯ ได้แสดงสินทรัพย์รวม จำนวน 18,215 ล้านบาท หนี้สินรวมจำนวน 9,393 ล้านบาท และส่วนของผู้ถือหุ้น จำนวน 8,822 ล้านบาท สำหรับสัดส่วนของหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ อยู่ในระดับที่ 0.70 ต่อ 1 โดยมีเงินสดและเงินฝากเป็นจำนวน 3,248 ล้านบาท
รายละเอียดเพิ่มเติมของบริษัทเหมราช สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.hemaraj.com หรือ www.theparkresidence.co.th หรือติดต่อทางอีเมล์ที่ invest@hemaraj.com
นาย เผ่าพิทยา สมุทรกลิน
ผู้อำนวยการ — นักลงทุนสัมพันธ์ และวางแผน
บมจ. เหมราชพัฒนาที่ดิน
ชั้น 18 อาคาร ยู เอ็ม เลขที่ 9 ถนน รามคำแหง
สวนหลวง กรุงเทพฯ 10250 ประเทศไทย
โทรศัพท์: 662 - 719 - 9555 - 9
โทรสาร: 662 - 719 - 9546 - 7
สำหรับข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ
บริษัท แบรนด์คอม คอนซัลแทนส์ จำกัด
คุณเสาวรินทร์ ทองทัศน์ / คุณบุษกร นันทวิจิตร
โทร. 0-2642-9620 (12 สาย) โทรสาร 0-2642-9688
www.hemaraj.com