กรุงเทพฯ--23 พ.ย.--ฟิทช์ เรทติ้งส์
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาว (National Long-term Rating) ที่ ‘A-(tha)’ แก่หุ้นกู้ประเภทด้อยสิทธิและไม่มีหลักประกันของธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) หรือ TISCOB มูลค่าไม่เกิน 1 พันล้านบาท ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2563 ทั้งนี้เงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ครั้งนี้จะนำไปใช้เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับเงินกองทุนของธนาคาร
อันดับเครดิตของหุ้นกู้ประเภทด้อยสิทธิอยู่ต่ำกว่าอันดับเครดิตภายในประเทศระยะยาวของ TISCOB ที่ ‘A(tha)’ อยู่ 1 อันดับ ซึ่งเป็นไปตามหลักปฏิบัติของฟิทช์ในการจัดอับดับเครดิตตราสารหนี้ประเภทดังกล่าวที่ไม่มีคุณลักษณะของการรองรับผลขาดทุนของธนาคาร อันดับเครดิตของธนาคารสะท้อนถึงความสามารถในการทำกำไรและคุณภาพสินทรัพย์ที่แข็งแกร่ง รวมทั้งการคาดหมายว่าธนาคารจะสามารถรักษาระดับเงินกองทุนปัจจุบันไว้ได้ต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตามธนาคารยังคงมีความแข็งแกร่งในการระดมเงินและสภาพคล่องที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารขนาดใหญ่
สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 TISCOB มีกำไรสุทธิเติบโตเพิ่มขึ้น 50% เป็น 1.1 พันล้านบาท ทั้งนี้ส่วนใหญ่เป็นผลเนื่องจากการเติบโตของสินเชื่อในระดับสูง (13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน) และต้นทุนทางการเงินที่ลดลง ส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 5% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 จาก 4.5% ในปี 2552 และอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อสินทรัพย์และอัตราส่วนกำไรสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นปรับตัวเพิ่มเป็น 1.6% และ 18.1% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 ตามลำดับ ฟิทช์คาดว่าผลการดำเนินงานของ TISCOB ในปี 2553 จะยังคงแข็งแกร่งและใกล้เคียงกับทิศทางของผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2553 และอาจจะยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งต่อเนื่องในปี 2554 เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจภายในประเทศโดยรวมที่ปรับตัวดีขึ้น
สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของ TISCOB ยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น 2.3 พันล้านบาท หรือ 1.9% ของสินเชื่อรวม ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 เทียบกับ 2.5 พันล้านบาท หรือ 2.3% ณ สิ้นปี 2552 สำรองหนี้สงสัยจะสูญของธนาคารปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2.8 พันล้านบาท หรือ 122.3% ของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 จาก 2.1 พันล้านบาท หรือ 84.8% ของสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ณ สิ้นปี 2552 เนื่องจากธนาคารยังคงมีการตั้งค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญในระดับที่สูง เพื่อรองรับความเสี่ยงจากการที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้อาจปรับตัวเพิ่มขึ้นความสามารถในการระดมเงินและสภาพคล่องของ TISCOB ยังคงมีเสถียรภาพ แต่ยังคงอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากของธนาคารอยู่ในระดับสูงมากที่ 185% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 อย่างไรก็ตามอัตราส่วนดังกล่าวจะลดลงมาอยู่ในระดับที่ประมาณ 109% หากรวมตั๋วแลกเงิน (B/E) ซึ่งโดยทั่วไปถือเป็นผลิตภัณฑ์เงินฝากประเภทหนึ่งสำหรับผู้ฝากเงิน
อัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมของธนาคารได้ปรับตัวลดลงอย่างมากตั้งแต่ปี 2548 มาอยู่ที่ 8.9% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 เทียบกับ 18% ณ สิ้นปี 2548 เนื่องจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของสินเชื่อและการจ่ายเงินปันผลในระดับสูง แต่อย่างไรก็ตามเงินกองทุนชั้นที่ 1 และเงินกองทุนรวมของธนาคารยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งที่ 13.5% และ 16.6% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2553 ทั้งนี้การลดลงอย่างมีนัยสำคัญของอัตราส่วนส่วนของผู้ถือหุ้นต่อสินทรัพย์รวมอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่ออันดับเครดิตของธนาคาร
TISCOB ก่อตั้งในปี 2512 โดยมีฐานะเป็นบริษัทเงินทุน และได้เปลี่ยนสถานะเป็นธนาคารพาณิชย์ในเดือนกรกฎาคม 2548 หลังจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของกลุ่มในเดือนธันวาคม 2551 ส่งผลให้ TISCOB เปลี่ยนสถานะเป็นบริษัทลูกของ บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCOFG และ TISCOB เป็นหนึ่งในผู้ประกอบการหลักในธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในประเทศไทย
การเปิดเผยข้อมูล: บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ทิสโก้ จำกัด ซึ่งถูกถือหุ้น 100% โดย บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นจำนวน 10% ของบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ไม่มีผู้ถือหุ้นใดนอกเหนือจากบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ จำกัดแห่งประเทศอังกฤษที่มีส่วนในการดำเนินงานและการจัดอันดับเครดิตที่จัดโดยบริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด