กรุงเทพฯ--30 พ.ย.--MMM Digital Asset
เดวิด เฮย์แมน และ เดวิด บาร์รอน (ผู้อำนวยการสร้าง) คำถามและคำตอบ
คำถาม: ทำไมคุณคิดว่ามีการพิจารณาอย่างหนักถึงเรื่องที่ เจ.เค.โรว์ลิ่ง จะทำการเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เพิ่มขึ้น?
เดวิด เฮย์แมน: ผมเข้าใจแบบนั้นเพราะผมก็เป็นคนหนึ่งที่อยากให้เธอเขียนหนังสือแฮร์รี่ พอตเตอร์เล่มอื่นอีก ไม่ใช่เพราะผมอยากสร้างภาพยนตร์เรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์อีก—ถึงแม้ว่าผมรักที่จะทำก็ตาม—แต่เพียงเพราะผมรักการอ่านอะไรก็ตามที่เธอเขียน แต่ผมว่ามันก็เป็นสัญลักษณ์ของผู้คนที่จะเกาะกระแสเธอ เพราะเธอไม่เคยบอกว่าเธอจะทำ แต่เธอแค่ไม่ปิดโอกาสและยังไม่เอ่ยปากบอกว่าจะเป็นหนังสืออะไร บางทีมันอาจจะเป็นนวนิยายหรืออาจจะเป็นบันทึกไดอารี่ หรือ Quidditch Through the Ages, Monster Book of Monsters หรืออาจเป็นการต่อยอดสำนวนของพอตเตอร์อ ย่างที่มันเป็นก็ได้
เดวิด บาร์รอน: จริงๆ แล้วเธอเขียน 2-3 อย่างที่เธอหลงลืมมันไป [หัวเราะ] พวกมันอยู่ในลิ้นชักที่วันหนึ่งเธอบังเอิญพบมันเข้า ก็เลยหยิบมันขึ้นมา
เดวิด เฮย์แมน: แต่เธอเป็นนักเขียนที่กำลังมีผลงานอยู่ และเรื่องราวเกี่ยวกับพอตเตอร์คือโลกที่เธอรู้จักอย่างลึกซึ้งและโชกโชนมาก สิ่งที่เราอ่านในหนังสือนั้นเป็นเพียงผิวเผิน สิ่งที่ทำให้หนังสือประสบความสำเร็จคือการรู้จักโลกใบนั้นอย่างลึกซึ้ง ซึ่งเราถามเธอได้เลยว่า อะไรคือการใช้เลือดมังกรอย่างที่ 5 หรือถามเธอเกี่ยวกับตระกูลแบล็กทั้ง 3 แล้วเธอจะให้คำตอบแก่เรา—ครึ่งชั่วโมงต่อมา—คน 4 ยุคสมัย, วันเกิด, วันตาย, ใครแต่งงานกับใคร, ชื่อเป็นร้อยๆ ชื่อ เธอเท่านั้นที่ทำแบบนั้นได้
เดวิด บาร์รอน: จริงๆ แล้วเธอสร้างโลกขึ้นมาก่อนที่ลงมือเขียนหนังสือ ฉะนั้นมันจึงไม่ใช่ข้อสงสัยเกี่ยวกับการสร้างมันขึ้นมาให้เหมาะเจาะกับเรื่องราวที่เธอดำเนินไป เธอรู้อย่างถ่องแท้ว่าโลกนั้นเป็นอย่างไร และแก่นแท้ที่สำคัญของมันคืออะไร
เดวิด เฮย์แมน: เธอมีการบันทึกข้อมูลเหล่านี้เต็มไปหมด
คำถาม: สิ่งหนึ่งที่ผู้คนพากันประหลาดใจจากจุดเริ่มต้น ในการมองการณ์ไกลถึงนักแสดงรุ่นเยาว์เหล่านี้มาแสดงในบทบาทที่สำคัญ โดยพวกเขาต้องเล่นต่อไปเรื่อยๆ แม้ว่าพวกเขาจะยังเด็กมากในตอนแรกเริ่ม
เดวิด เฮย์แมน: ไม่มีการมองการณ์ไกลอะไรหรอก หากเราเขียนประวัติย้อนหลังกลับไปเป็นเรื่องง่ายจะตาย เราไม่มีไอเดียอะไร พวกเขามีการทำสัญญาในทุก 2 ภาคและมันก็เป็น 2 ภาคแบบนั้นเสมอ
เดวิด บาร์รอน: มี 2 ทางเลือก
เดวิด เฮย์แมน: ใช่ 2 ทางเลือก มันมีเพียงครั้งเดียวที่เราสร้างภาคที่ 5 แล้วมันอยู่เหนือจากนั้น
เดวิด บาร์รอน: เวลาที่เรามองลูกๆ ของเราเจริญเติบโต เราไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาระหว่างช่วง 10 และ 20 ปี เราห้อมล้อมพวกเขาด้วยสิ่งแวดล้อมดีๆ เท่าที่จะเป็นไปได้ เรามีทั้งความหวัง ความกลัวที่แปลกๆ เหล่านี้ แต่ถึงอย่างไรเราไม่มีทางรู้หรอกว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร เด็กสองคนที่เติบโตร่วมเคียงกันมาสามารถเปลี่ยนเป็นคนที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงได้ ฉะนั้นสำหรับตัวละครของเรา ในศูนย์กลางแห่งกระแสความสนใจที่จะเจริญในที่สุด แล้วพวกเขาจะไม่เป็นมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ยังมีกระแสความสนใจอย่างไม่สิ้นสุด แต่การเป็นนักแสดงที่เก่งไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดว่าใครๆ จะทำนายไว้ล่วงหน้าได้ คริส [โคลัมบัส] เหมือนจะเห็นบางอย่าง แต่เขาไม่สามารถการันตีได้
เดวิด เฮย์แมน: ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ มันเป็นการมองการณ์ไกลที่ยอดเยี่ยมจริงๆ ต้องบอกว่าโชคดีอันยิ่งใหญ่ น่าจะเป็นประโยคที่เหมาะสมมากกว่า
คำถาม: แน่นอนว่าพวกเขาโตขึ้นในช่วงหลายปีนี้และมีความแตกต่างกันมาก เมื่อเทียบกับพวกเขาในภาพยนตร์ภาคแรก
เดวิด เฮย์แมน: ใน 2 ภาคแรกคริสบอกว่า ‘เชิดคางขึ้น ทำเหมือนกลัว เธอรู้สึกกลัว เธอรู้สึกกลัว เธอรู้สึกกลัว’ คริสต้องกำกับการแสดงพวกเขาทีละฉากเลย
เดวิด บาร์รอน: มีปริมาณ ADR มากมาย เพราะคริสได้พูดคุยกับนักแสดงผ่านมันในภาพยนตร์ 2 ภาคแรก เพราะพวกเขายังเป็นเด็ก ไม่ใช่นักแสดง พวกเขาคือเด็ก
เดวิด เฮย์แมน: แต่ในภาคที่ 3 แอลฟอนโซ [โครอน] ให้พวกเขาเขียนประวัติความเป็นมาของตัวเอง แดนเขียน 1 หน้า เอ็มม่าเขียนประมาณ 10-12 หน้า และรูเพิร์ทไม่เขียนอะไรเลย [หัวเราะ] ยอดเยี่ยมอะไรเช่นนี้ และผมว่าเมื่อภาพยนตร์ได้ล่วงเลยไปโดยที่พวกเขากลับมีส่วนคิดออกแบบในส่วนของพวกเขามากขึ้น ผมว่าเดวิด เยทส์ได้ร่วมงานอย่างใกล้ชิดกับพวกเขาและณ เวลานี้ของพวกเขามีความคุ้นเคยกันในภาคอื่นๆ มาแล้วมากมาย แต่ยังอยู่ห่างจากเราในชีวิตจริง—เพราะฉะนั้นเขาก็จะใช้สิ่งที่พวกเขาอยู่กันในชีวิตจริง มาช่วยในการแสดงได้
เดวิด บาร์รอน: ใช่ พวกเขากลับมาและสัมผัสได้ถึงความแตกต่าง ไม่ว่าพวกเขาทำอะไร ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์หรือผลงานทางทีวีเรื่องอื่นกับผู้กำกับคนอื่น ไม่ว่าเอ็มม่าจะกลับมาจากมหาวิทยาลัยหรือหายหน้าหายตาไป เธออยู่ที่อเมริกา เธอเข้ามหาวิทยาลัย เธอหายไปจากสิ่งเหล่านี้เป็นเวลาหนึ่งเทอม จากนั้นเธอก็กลับมา และเราเห็นความเปลี่ยนแปลง ซึ่งมันเกิดขึ้นอีกครั้งเหมือนเราเฝ้าดูการเจริญเติบโตของลูกๆ พวกเขากำลังเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่ตอนต้นที่ดี และช่วงเริ่มงานพวกเขาก็ยังเด็กมาก
เดวิด เฮย์แมน: เราภูมิใจมาก
เดวิด บาร์รอน: ใช่ครับ
คำถาม: อยากรู้จริงๆ ว่าเดวิด เยทส์ทานวิตามินแบบไหน [หัวเราะ]
เดวิด เฮย์แมน: ผมรู้ ผมเองก็เหมือนกัน หมายถึงผู้กำกับทุกคนถูกถามแบบนี้แหละ คริสถูกถามในภาคที่ 3 แอลฟอนโซถูกถามภาคที่ 4 ส่วนไมค์ [เนเวล] ก็ภาคที่ 5 พวกเขาก็ตอบแค่ ‘เดี๋ยวผมจะกลับมาทานอีกสักครู่’ แต่ผมต้องบอกว่า ผมคิดว่าเดวิด เยทส์ได้ผลักดันขี้ความสามารถของเขาอย่างสุดๆ ในครั้นี้ เพราะในท้ายที่สุดนี่คือแบบที่เขาเป็น
เดวิด บาร์รอน: เขาหมดแรงเลย
เดวิด เฮย์แมน: ผมว่าเป็นซอมบี้เลยแหละ [หัวเราะ]
คำถาม: พวกคุณคิดว่าคราวนี้พวกเขาจะวนเวียนอยู่รอบๆ มั้ย?
เดวิด เฮย์แมน: รู้อะไรมั้ย? อย่างหนึ่งเลยคือเขาค่อนข้างมีประสบการณ์ด้านการสร้างผลงานทางทีวีคร่ำเคร่งมาเป็นเวลานาน เราเลยคิดว่าเขาต้องมีความแข็งแกร่ง และผมว่าเมื่อเรามาถึงภาคที่ 6 เราก็ค่อนข้างอยากเห็นยันจุดจบละ
เดวิด บาร์รอน: และภาคที่ 6 ก็เป็นจุดเริ่มต้นของตอนจบ มันเกี่ยวกับเรื่องราวของฮอร์ครักซ์และการตายของดัมเบิลดอร์ รวมไปถึงแฮร์รี่สูญเสียผู้ให้คำปรึกษา ผมว่ามันคงเป็นเรื่องยากหากเราเดินหน้าถ่ายทำภาคที่ 6 แล้วไม่ถ่ายภาค 7
คำถาม: เดวิด, คุณได้ร่วมงานกับแอลฟอนโซ โครอนอีกครั้ง ในสถานการณ์ที่แตกต่างกันแบบนี้ มันเป็นอย่างไรบ้าง?
เดวิด เฮย์แมน: การทำงานร่วมกับแอลฟอนโซเป็นความยินดีที่สุด เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง เพราะเขาเป็นผู้กำกับที่ต้องการตัว เขาผลักดันทุกๆ สิ่งและทุกๆ คนไปถึงขีดสุด และเราจะเห็นในผลงานที่เขาสร้างสรรค์ มันน่าตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ และผมว่าตัวโปรเจ็กต์ก็น่าตื่นเต้นอย่างน่าประหลาด ผมคงสร้างมันขึ้นมาไม่ได้หากทำหนังเรื่องแฮร์รี่ พอตเตอร์ไม่เสร็จ ไม่ใช่เพราะเรื่องมิตรภาพร่วมกับแอลฟอนโซหรอกนะ แต่ยังเป็นเรื่องเทคโนโลยีด้วย เพราะโดยมากแล้วมันเป็นวิชวลเอ็ฟเฟ็กต์ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญตัวจริง และผมอดใจรอมันไม่ไหว หวังว่าต้นปีหน้าเราจะได้เริ่มถ่ายทำกัน
คำถาม: ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เหมือนมีการถ่ายทำนอกสถานที่หลายฉากมากกว่าภาพยนตร์ภาคก่อนหน้านี้เรื่องก่อนๆ และผมสงสัยว่าในส่วนของการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ คุณต้องมีการใช้สถานที่หลายแห่ง นั่นถือเป็นความท้าทายมั้ย?
เดวิด บาร์รอน: มันก็มีการช่วยเหลือจากหลายฝ่ายมาเกี่ยวข้อง เพราะสถานที่หลายแห่งจบลงตรงที่การเป็นแค่จุดเริ่มต้นของสถานที่ พวกเขาถ่ายที่ฉากหลัง หินต่างๆ ที่พวกเขาขว้างไปที่เต็นท์ เต็นท์ที่ตั้งอยู่บนโขดหินก่อนที่พวกเขาเดินทางไปยังบ้านโพรงกระต่าย โขดหินเป็นฉากหนึ่ง เป็นสถานที่จริง; มันเป็นแบบจำลองในสถานที่จริง และฉากที่มีความกว้างและขนาดใหญ่ล้วนเป็นสถานที่จริง
เดวิด เฮย์แมน: เชื่อมั้ยล่ะว่ากล้องจะหลอกเราได้
เดวิด บาร์รอน: เหมือนกับบ้านของเลิฟกู๊ด นั่นคือหลังโรงถ่ายภาพยนตร์ของ Leavesden Studio มันไม่สามารถทำแบบนี้ในภาพยนตร์ภาคแรกๆ ได้ และท้าทายพอกับที่ทีมงานต้องค้นหาสถานที่ถ่ายทำ—มันเหมือนทำให้มีชิวิตชีวาขึ้นมา แค่ออกไปที่ไหนเพื่อการเปลี่ยนแปลง—ระดับความมีอิสระและความยืดหยุ่นของเทคโนโลยีเอื้อโอกาสให้เรา โดยยอมให้เราออกไปถ่ายทำบ้านของเลิฟกู๊ดข้างนอก ท้องฟ้าโปร่งใส และมีฝนตกเบาบาง ซึ่งเราไม่อยากให้ฝนตก—แล้วเราก็มีพวกฉาก เราก็เดินหน้าถ่ายทำกับฉากและทำอย่างอื่นแทน แล้วค่อยกลับมาวันหลัง, อาทิตย์ถัดมา, เดือนถัดมา, เมื่อไหร่ก็ได้ที่สภาวะแวดล้อมเหมาะสม และมีนักแสดงที่เหมาะสมคู่กับเรา
เดวิด เฮย์แมน: เราไปสถานที่ต่างๆ จริงและเรามีความสุขกับอากาศมากๆ เช่นพวกสิ่งที่อยู่ในป่าไม้ต่างๆ
เดวิด บาร์รอน: จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ช่วงเวลาที่เราสูญเสียมันไป เราเสียเวลาไป 1 วันเพราะแดดจัดไป [หัวเราะ] จริงๆ แล้วสภาพอากาศที่อังกฤษแผดเผาไปเล็กน้อย
เดวิด เฮย์แมน: และรู้มั้ยโรงละครสัตว์พิคคาดิลลี่กับ Shaftsbury Avenue ปิดตัวลง มันเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นอย่างหนึ่ง
คำถาม: คุณต้องรักวันนั้นแน่ๆ เลย
เดวิด เฮย์แมน: มันตื่นเต้นมากจริงๆ
เดวิด บาร์รอน: จริงๆ แล้วผู้คนให้การช่วยเหลืออย่างมาก พวกเขาอ้าแขนรับมัน แม้แต่เจ้าหน้าที่ซึ่งมีมากมายและหลากหลายหน่วยงาน มันยิ่งใหญ่มาก เป็นงานใหญ่ของฝ่ายสถานที่ของเราเลย เมื่อหลายปีที่ผ่านมาผมอยู่ในห้องค้นหาสถานที่ถ่ายทำ ถ้ามีใครมาขอให้ผมทำแบบนั้น ผมจะบอกว่า ‘ลืมมันไปซะ’ แต่พวกเขาอ้าแขนรับมันอย่างจริงใจ พวกเขาทำได้ดีจริงๆ.
เดวิด เฮย์แมน: และฉากที่มีด๊อบบี้ นั่นมีการถ่ายทำที่เพมโบรกเชอร์ เราต้องแข่งขันเผชิญหน้ากับทะเลที่ซัดเข้ามา แดน รูเพิร์ทและเอ็มม่าต้องหนาวจนแข็ง
เดวิด บาร์รอน: จริงๆ แล้วเราอยู่ที่นั่นประมาณ 4-5 วัน เรามีทุกสภาพอากาศ ลมแรงแบบที่คิดเอาไว้, มีแสงแดด, มีเมฆครึ้ม, มีความเหน็บหนาว
เดวิด เฮย์แมน: และฉากที่สก็อตแลนด์ ที่มีฉากแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ ตอนที่รอนหนีไป; นั่นถ่ายทำในสก็อตแลนด์ ซึ่งนั่นก็ต้องเร่งเร้าพวกเขาอีกแล้ว พวกเขาบินไปถ่ายทำภายในวันเดียวแล้วก็กลับมา
คำถาม: คุณช่วยเล่าให้ฟังหน่อยว่า นักแสดงต่างๆ มีการพัฒนาบทบาทของพวกเขาอย่างเต็มขั้นอย่างไรบ้าง?
เดวิด เฮย์แมน: ครับ ผมว่าการแสดงของพวกเขาแตกต่างกันเล็กน้อยมาก และผมว่าพวกเขาเป็นอย่างที่พูดเอาไว้ว่า เขาสามารถนำความเป็นตัวเองเข้ามาในบทบาทได้ พวกเขาเป็นนักแสดงที่เก่งขึ้น พวกเขามีประสบการณ์ในฐานะนักแสดงเพิ่มขึ้น แต่ในฐานะตัวบุคคลแล้ว พวกเขาก็ยังเป็นตัวของตัวเอง เหมือนที่เดวิดเคยเปรียบไว้ก่อนหน้านี้ สำหรับละครสัตว์ต่างๆ ที่วนเวียนไปมา พวกเขาก็ยังคงถ่อมตน เอื้อเฟื้อและอบอุ่น
เดวิด บาร์รอน: ในภาพยนตร์โดยทั่วไป พวกเขาไม่ได้ถูกห้อมล้อมด้วย ไมเคิล แกมบอน, แม็กกี้ สมิธ, อลัน ริคแมน…
เดวิด เฮย์แมน: หรือฮอกวอตส์
เดวิด บาร์รอน: ชุมนุมฮอกวอตส์ที่โดยปกติพวกเขาจะอยู่ด้วยนั้น ซึ่งทำได้แต่ผมเลือกจับพวกเขาออกมาจากตรงนั้น เพราะ มีหลายคนให้จับจ้องนะ แต่ใครจะช่วยเขาได้ด้วย เพราะพวกเขาไม่ค่อยมีบทบาทสำคัญมากเท่าไหร่ พวกเขาเป็นใจกลางหลักของเรื่องราวเสมอ และเป็นคนที่นำพาภาพยนตร์ แต่ในภาคพิเศษนี้ ผมคิดเอาไว้เป็นครั้งแรก จริงๆ แล้วพวกเขาไม่มีการช่วยเหลือ และพวกเขาไร้เกาะกำบังมากขึ้น รวมไปถึงพวกเขาโตพอที่จะเผชิญหน้ากับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจริงๆ
เดวิด เฮย์แมน: ยอดไปเลย
คำถาม: สิ่งหนึ่งที่พวกคุณฝากผลงานเอาไว้ได้อย่างสวยงาม คือการนำเหล่านักแสดงชาวอังกฤษที่โดดเด่นเข้ามา แต่ผมสงสัยว่า หากนักแสดงชาวอังกฤษบางคนที่เก่งจริงๆ ไม่เข้ามาเป็นส่วนประกอบของพอตเตอร์ พวกคุณจะโกรธมั้ยที่ไม่ได้ตัวพวกเขามาอยู่ในภาพยนตร์?
เดวิด บาร์รอน: ก็ไม่เห็นมีใครขู่จะฆ่าให้ตายนะ [หัวเราะ]
เดวิด เฮย์แมน: ก็ไม่เห็นมีใครขู่จะฆ่าให้ตายนะ ผมหมายถึงบางคนพูดว่า ‘แล้วทำไมไม่ใช่นักแสดงอังกฤษทั้งหมดเลยล่ะ?’ ผมตอบว่า ‘ไม่แน่ๆ’ ความสามารถอันมั่งคั่งในที่นี้ไม่มีสิ้นสุด แต่น่าเสียดายที่โจ [โรว์ลิ่ง] เขียนเอาไว้หลายด้านเหลือเกิน
เดวิด บาร์รอน: และเธอเขียนพวกเขาเอาไว้อย่างชัดเจนและเป็นเชิงบวก เรามีไอเดียต่างๆ ที่ชัดเจนอยู่เสมอ เราอ่านในส่วนของบทบาทอย่างสคริมเจอร์ของบิลลี่ ไนฮี่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ เราอยากให้เขาแสดงบทบาทนั้นในภาคที่ 6 เพราะยิ่งเมื่อเราได้อ่านมันเท่าไหร่ มันจะเป็นใครอื่นใดไปไม่ได้เลย
คำถาม: ถ้างั้นทำไมถึงไม่มีส่วนนั้นอยู่ในภาคที่ 6?
เดวิด บาร์รอน: ไม่มีเวลาที่จะบอกเล่าเรื่องราวเฉพาะนั้น และมันไม่ใช่ประเด็นสำคัญสำหรับตอนที่ 6 ด้วย
เดวิด เฮย์แมน: ผมว่าของขวัญอย่างหนึ่งจากการบอกเล่าเรื่องราวของหนังสือเล่มที่ 7 นี้ไว้ในภาพยนตร์ 2 ตอนคือ เราะจะมีช่วงจังหวะที่ดี—ผมหมายถึงว่า เหตุผลที่ทำไมเราทำแบบนั้น เพราะทุกสิ่งเกี่ยวเนื่องกัน—แต่ก็หมายความถึงเราใช้เวลาไปกับคนอย่างสคริมเจอร์
เดวิด บาร์รอน: จริงๆ แล้วการตัดแบ่งเป็นภาพยนตร์ 2 ตอน เราก็ยังบีบอัดหลายๆ อย่างนะ เพราะภาพยนตร์น่าจะยาวอีกพอตัว ถ้าเราแสดงทุกๆ อย่างออกไปตามที่ปรากฏในหนังสือ
เดวิด เฮย์แมน: จริงๆ แล้วมันสนุกนะ; ตอนที่เราทำการเลือก มันเป็นความคิดที่ถูกอ้างขึ้นในเบื้องต้นโดยลิโอเนล วิแกรม เราต่อต้านมันสุดๆ เรายังไม่ได้ทำอะไรจนถึงบัดนี้ แล้วทำไมเราทำตอนนี้น่ะหรอ? ก็จากที่แตกรายละเอียดจากหนังสือมาสู่บทภาพยนตร์ มันกลับชัดเจนว่าเราไม่สามารถสร้างตอนเดียวได้ เพราะมันมีส่วนเกี่ยวเนื่องกันมากมาย และต้องมีการจัดเตรียมหลายอย่าง ซึ่งทุกอย่างเกี่ยวข้องกับแฮร์รี่ เราทำไม่ได้ เราเลยตัดสินใจสร้างเป็น 2 ตอนและ 2-3 อาทิตย์ถัดมา สตีฟ โคลฟส์ ส่งอีเมล์มาบอกว่า รู้อะไรมั้ย? ตอนนี้มันเกือบจะเป็น 3 ตอนแล้วล่ะ’ [หัวเราะ]
รูเพิร์ท กรินท์ (รอน วีสลีย์) คำถามและคำตอบ
คำถาม: ตั้งแต่ที่ส่วนใหญ่ของภาพยนตร์จับจ้องที่พวกคุณทั้งสาม มันเป็นการท้าทายมากขึ้นสำหรับพวกคุณมั้ย ที่ต้องยืนหยัดอยู่ด้วยกันโดยไม่มีนักแสดงคนอื่นอยู่รายล้อม?
รูเพิร์ท กรินท์: ใช่ มันรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง จริงๆ แล้วมันมีแค่เรา เหมือนกับโดดเดี่ยว ต้องอยู่ด้วยกันในเต็นท์เล็กๆ นี้ และผมรู้สึกว่าในส่วนของรอนดูก้าวร้าวขึ้นอย่างที่เราเห็น เพราะเขาค่อนข้างหึงเฮอร์ไมโอนี่กับแฮร์รี่ เขาหวาดระแวง กลัว หิว และทุกอย่างมันก็แสดงออกมา
คำถาม: คุณสนุกกับการแสดงภาพยนตร์ด้านนั้นมั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: [หัวเราะ] ใช่เลย มันเป็นเรื่องดีที่ได้เห็นอีกด้านที่ยากจะเข้าใจในตัวเขา ได้เห็นเขาถูกกระทบกระเทือน มันค่อนข้างดีนะ
คำถาม: คุณเข้าถึงบทบาทในฉากที่ต้องโกรธได้อย่างไร เพราะคุณเป็นที่รู้จักดีว่าเป็นคนที่ค่อนข้างสบายๆ ที่สุดเท่าที่เคยเจอ คุณเข้าถึงบทบาทนั้นได้อย่างไร?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ จริงๆ แล้วมันก็รู้สึกแตกต่างออกไปนะ เพราะมันเป็นแนวความคิดใหม่ของทั้งรอนและผมจริงๆ ผมไม่รู้ตัวว่าทำอะไรลงไป แต่มันก็สนุกดี มันดีนะที่มีอะไรสดใหม่และแตกต่างให้ทำ และรอนก็ดูหดหู่ด้วยในภาคนี้ เราจะเห็นลักษณะพิเศษหลายอย่างในตัวเขาเลย
คำถาม: ตอนที่คุณกับแดน [แรดคลิฟฟ์] ต่อสู้กันเป็นอย่างไรบ้าง? คุณคิดว่าการแตกหักในฉากนั้นเป็นเพราะคุณรู้จักกันเป็นอย่างดีหรือเปล่า?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ เราสนุกทั้งคู่นะ จริงๆ แล้วมันเหมือนกับการปลดปล่อย มันสนุกที่ได้เห็นแบบนั้น เราไม่เคยเห็นตัวละครเหล่านี้แสดงแบบนั้นมาก่อนเลยจริงๆ และเราไม่เคยเห็นการรุกรานกันขนาดนี้มาก่อนด้วย มันสนุกที่ได้ทำแบบนั้น
คำถาม: ภาพยนตร์เรื่องต่อไปที่คุณกำลังแสดงคือเรื่องอะไร?
รูเพิร์ท กรินท์: มีชื่อเรื่องว่า Eddie the Eagle เกี่ยวกับการกระโดดสกี
คำถาม: คุณเป็นเอ็ดดี้แน่ๆ เลยใช่มั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ ใช่เลย มันต้องเจ๋งแน่
คำถาม: คุณเคยซื้อสิ่งที่เจ๋งจริงๆ ในอดีตอย่างเช่นลานแข่งสเก็ตน้ำแข็งขนาดจิ๋วมาแล้ว?
รูเพิร์ท กรินท์: [หัวเราะ] โอ้ ใช่
คำถาม: ของพวกไหนที่คุณอาจซื้อมาแต่ว่าไม่ใช่ของที่ใช้ทุกวัน?
รูเพิร์ท กรินท์: ผมคิดว่าเป็นพวกของแปลกๆ นะ ของชิ้นล่าสุดคือเราได้ลาจิ๋วมา
คำถาม: ผมว่าคุณหมายถึงชิ้นส่วนโลหะ
รูเพิร์ท กรินท์: โอ้ ไม่ ไม่ ไม่ ลาจริงๆ มันก็เหมือน ลาธรรมดาแต่มีขนาดครึ่งเดียว
คำถาม: กี่ตัว?
รูเพิร์ท กรินท์: 2 ตัวเอง
คำถาม: มีชื่อมั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: เชคสเปียร์ กับ แพนโดร่า [หัวเราะ]
คำถาม: เพื่อเอาไปผสมพันธุ์หรือเอามาเลี้ยง?
รูเพิร์ท กรินท์: เอามาเลี้ยงไว้เฉยๆ ผมมีหมูจิ๋วด้วยนะ แล้วก็เม่นแคระด้วย
คำถาม: คุณมีสัตว์ที่แตกต่างกันกี่ชนิด? หมายถึงสมาชิกทั้งหมดเลยนะ?
รูเพิร์ท กรินท์: ถ้าชัดเจนก็มีสุนัข แมว นกแก้ว และพวกนกยูง
คำถาม: เปิดสวนสัตว์ได้เลยนะ
รูเพิร์ท กรินท์: ใช่ [หัวเราะ] เรามีสัตว์หลายตัวเลย
คำถาม: คุณมีพื้นที่เยอะขนาดไหนถึงมีเจ้าพวกนี้ทั้งหมดได้?
รูเพิร์ท กรินท์: ผมอยู่ที่ชานเมือง อยู่รอบนอกลอนดอน ก็มีพื้นที่ 2-3 เอเคอร์ พวกมันมีบริเวณที่ดี
คำถาม: การทำงานร่วมกับเอ็มม่า [วัตสัน] ในฐานะตัวละครที่ค่อยๆ พัฒนาด้านความสัมพันธ์กันเป็นอย่างไรบ้าง?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ มันเป็นสิ่งที่มีการพัฒนาไปจากภาพยนตร์ทั้งหมด และในภาคนี้เราเห็นรอนหึงหวง เขาต่อสู้กับการเห็นแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ใกล้ชิดกัน และผมว่าในภาคที่ 2 เราจะได้เห็นพวกเขาใกล้ชิดกันมากขึ้น ในท้ายที่สุดพวกเขาก็จะเป็นคู่กัน บางครั้งค่อนข้างประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ผมไม่เข้าใจว่าทำไมท้ายที่สุดเป็นอย่างนั้น แต่มันก็ยังดูดี มันแค่ดูแปลก จริงๆ แล้วการจูบก็แปลกๆ นิดหน่อยแล้ว
คำถาม: ช่วยพูดถึงฉากจูบกันให้ฟังหน่อย?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ ก็จริงๆ แล้วมันแค่เป็นฉากที่มีการรอคอยอย่างคาดหวัง พวกเราไม่มีใครเฝ้ารอมันหรอก เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าเราโตมาด้วยกัน และมันค่อนข้างรู้สึกแปลกๆ ที่จะจูบกัน แต่มันก็สนุกนะ ถ่ายแค่ 2-3 เทค
คำถาม: รูเพิร์ท, คุณรู้สึกมั้ยว่าปีที่ผ่านๆ มาคุณมีอิสระความเป็นส่วนตัวจากผู้กำกับมากขึ้น? คุณกำลังพัฒนาบทบาทด้วยตัวเองมากขึ้นหรือเปล่า มีการแนะนำให้เปลี่ยนบทพูดในส่วนของการทำงานร่วมกับคนอื่น?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ ผมว่าโดยธรรมชาติแล้วเราโตขึ้น และผมว่าเราโชคดีพอที่ได้ร่วมงานกับผู้กำกับเก่งๆ หลายคน เราเรียนรู้หลายอย่างและผมว่าเรามีความผ่อนคลายในฉากมากขึ้น และเห็นได้ชัดว่ามีประสบการณ์การเรียนรู้พอควรสำหรับผม มันยังค่อนข้างรู้สึกเหมือนเป็นโลกใบใหม่ แต่การทำงานร่วมกับเดวิดมันยอดมาก เรามีอิสระจริงๆ เราได้ทำสิ่งที่เราคิดเอาไว้และเดินหน้าไปตามสัญชาตญาณเรา ครับ เขาเจ๋งมากเลย
ผมรักเดวิดมากมาโดยตลอด มันเป็นเรื่องดีที่มีพลังที่สอดคล้องกันในภาพยนตร์ 4 ภาคหลัง เขาเข้าถึงได้ง่ายและเป็นคนที่น่ารัก เขารู้จักหนังสือพวกนี้; การที่เขารู้โครงเรื่องมันเป็นอะไรที่มหัศจรรย์ และเขาเป็นคนที่น่ารัก เรารู้สึกสบายๆ เวลาที่อยู่ในฉากกับเขา เขาไม่ค่อยขู่เข็ญเราตลอดเวลา เรารู้สึกว่าจะพูดแอะไรก็ได้ และมันยอดมากที่เป็นแบบนั้น
คำถาม: คุณช่วยพูดถึงการเคลื่อนไหวของรักสามเศร้าที่เก็บไว้ในหนังทั้ง 7 ภาคมาโดยตลอด ให้ฟังสักเล็กน้อยได้มั้ย สำหรับคุณแล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ ผมค่อนข้างสนุกกับมัน หมายถึงในที่ผ่านมามันอยู่เบื้องหลังตลอด ค่อนข้างเบาบางจริงๆ และผมว่าในภาคที่ 6 เราได้เห็นว่าพวกเขาใส่ใจกันมากกว่าเพื่อน แต่พวกเขาต่อสู้กับตัวเอง พวกเขาไม่รู้จริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น และในภาคนี้ เรามีการพัฒนาเป็นรักสามเศร้า เราเห็นแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ค่อนข้างใกล้ชิดกัน และทำให้รอนเจ็บปวด นั่นคือเหตุผลที่เขาระเบิดอารมณ์และไม่พอใจ มันยากที่เขาจะอยู่ในเต็นท์เล็กๆ ร่วมกัน ทุกอย่างเหมือนเลยเถิดและเขาก็ระเบิดออกมา มันสนุกนะที่ได้แสดงแบบนั้น
คำถาม: มีฉากพิเศษฉากไหนในภาพยนตร์ทั้งหมดที่คุณภาวนาว่าอยากเล่นบ้างมั้ย แม้จะเป็นตัวละครอื่นก็ตาม?
รูเพิร์ท กรินท์: ผมไม่รู้จริงๆ นะผมว่าในภาคที่ 6 ผมชอบฉากที่อยู่กับแฮร์รี่กับดัมเบิลดอร์ในเรือ มันยอดมาก แต่มันก็เป็นฉากยอดเยี่ยมเมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว
คำถาม: การทำงานร่วมกับนักแสดงที่แสดงแทนคุณ ตอนที่เหล่าตัวละครต้องปลอมตัวเข้าไปในกระทรวงเวทมนตร์เป็นอย่างไรบ้าง? มันเป็นอย่างไรบ้าง? แล้วคุณสังเกตเห็นตัวเองอย่างไรบ้างตอนที่เขาแสดงเป็นคุณ?
รูเพิร์ท กรินท์: [หัวเราะ] ครับ พวกเขาอยากให้เราคอยแนะแนวให้กับนักแสดงเหล่านี้ เหมือนสอนพวกเขาเกี่ยวกับท่าทางของเรา และบอกพวกเขาว่า ‘โอเค เดินแบบนั้นนะ’ มันรู้สึกแปลกเพราะผมไม่รู้ว่าผมเดินแบบไหนจริงๆ นะ เวลาที่ผมต้องแสดงมันและอธิบายให้คนอื่นฟัง แต่ก็ใช่ เราได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับตัวเอง แม้แต่แดนกับแฮร์รี่ในฉากแฮร์รี่ทั้งเจ็ด เขาต้องเลียนแบบพวกเรา และตอนที่เขาเลียนแบบการเดินของผม ผมสังเกตว่าผมเดินเหมือนกระดูกเชิงกรานแปลกๆ เหมือนผมแกว่งสะโพกตอนเดิน ผมไม่เคยสังเกตมันเลย และมันก็กลายเป็นการรู้สึกตัวได้ถึงสิ่งนั้น
คำถาม: คุณได้รับผลกระทบอย่างที่ผมคิดว่าพวกเราทุกคนได้รับ ในระหว่างฉากของเอ็มม่าที่เธอกำลังถูกทรมานและส่งเสียงกรีดร้องหรือเปล่า?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ เพราะจริงๆ แล้วตอนที่เราลงไปที่ห้องใต้ดิน เราเปิดเสียงกรี๊ด และมันเหมือนความน่ากลัวที่ได้ยินเสียงกรีดร้อง มันน่ากลัวจริงๆ
คำถาม: คุณมีความคิดว่าอาจจะกำกับหนังในสักวัน หรือจะทำอะไรในอีก 10 ปีต่อจากนี้มั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: อาจเป็นได้ ไม่รู้เหมือนกัน การกำกับหนังก็เป็นความคิดที่ดี แต่จริงๆ แล้วในฉากนั้นที่กระทรวง พร้อมกับพวกเขาที่ลอกเลียนแบบเรา เราก็เหมือนกับชิมลางการกำกับหนังนิดหน่อย เราต้องให้คำแนะนำพวกเขา ผมทำได้ไม่ดีทั้งหมดในส่วนนั้น [หัวเราะ] ผมไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรจริงๆ นะ มันค่อนข้างยากนะผมว่า ฉะนั้นผมก็ไม่รู้หรอก ในอีก 10 ปีผมยังไม่แน่ใจ โอ้ แน่นอนว่าผมอยากแสดงหนังต่อไป แต่แสดงในบทที่ต่างออกไป ผมเฝ้ารอมันอยู่
คำถาม: คุณมีบทบาทที่หลากหลายในช่วง 10 ปีนี้ ระหว่างหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์กับเรื่องอื่นที่คุณถ่ายทำเสร็จ
รูเพิร์ท กรินท์: ใช่ๆ ผมค่อนข้างช่างสังเกต ผมจะคิดถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์ตลอดไป แต่มันเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วสำหรับการก้าวต่อไป และผมพร้อมจะทำสิ่งอื่นๆ แล้ว
คำถาม: มีโปรเจ็กต์อื่นที่ต่อคิวรออยู่ในอนาคตอันใกล้นี้มั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ มี 2-3 อย่าง; ยังไม่มีอะไรแน่ชัด แต่สำหรับปีหน้าผมมีความกระตือรือร้นจะทำบางอย่าง แต่มันก็ดีนะที่จะเบรคตอนนี้ ในภาคสุดท้ายนี้ใช้พลังหมดเกลี้ยงเลยจริงๆ และผมไม่ได้ใช้วันหยุดใน 3 ปีนี้เลย มันเป็นเรื่องที่ดีที่จะทำเป็นครั้งสุดท้าย ใช่เลย
คำถาม: พวกเขากำลังพลิกโฉมสตูดิโอเป็นพิพิธภัณฑ์ คุณคิดเรื่องนั้นมาก่อนมั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ ผมรู้ พวกเขาบอกว่ากำลังจะจำลองห้องแต่งตัวของเราให้ผู้คนได้เห็น มันเป็นความคิดที่ค่อนข้างแปลก แต่มันก็ยอดเยี่ยม ผมหมายถึงมันเป็นบริเวณพิเศษของเรา เพราะผมใช้เวลามากกว่าที่บ้านของผมเองจริงๆ นะ และการที่รู้ว่ามันจะมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ มันยอดมากเลย
คำถาม: วันสุดท้ายในการถ่ายทำภาพยนตร์ นักแสดงและทีมงานทำอะไรที่เป็นพิเศษมั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ พวกเขาเล่นวีดีโอ เราทำสิ่งที่เรียกว่า Golden Board ผมได้ Golden Board โดยต้องมีแดนอธิบาย แต่โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นการนับถอยหลังอันยิ่งใหญ่ ภาพยนตร์นี้ใช้เวลา 260 วันหรืออะไรสักอย่าง ทุกวันเราจะมีบอร์ดนี้เหมือนกับ ‘วันที่ 1,’ ‘วันที่ 2’ แต่ละครั้งเราจะพูดหรือทำอะไรโง่ๆ พวกเขาจะตัดต่อทั้งหมดเข้าด้วยกัน และมันดีจริงๆ ที่ได้เห็นสิ่งนั้น จริงๆ แล้วมันเป็นความรู้สึกที่ค่อนข้างสะเทือนใจเหมือนกัน
คำถาม: วันเกิดของคุณอยู่ในช่วงที่ถ่ายภาพยนตร์หรอ?
รูเพิร์ท กรินท์: ใช่แล้ว
คำถาม: เล่าให้เราฟังหน่อย
รูเพิร์ท กรินท์: มันยอดมาก มันอยู่บน Golden Boardของผม พวกเขาจัดเกมปิดตาตีหม้อที่บรรจุขนมไว้ภายในบ้านวีสลีย์ และผมพยายามจะตีมัน และใช่ มันค่อนข้างดี
คำถาม: ในครอบครัวหนังแฮร์รี่ พอตเตอร์ คุณก็มีครอบครัววีสลีย์ พวกคุณรู้สึกมีสายสัมพันธ์บางอย่างต่อกันมั้ย ในด้านที่มันเป็นครอบครัวของคุณในจอ จะใกล้ชิดกันตลอดไปมั้ย?
รูเพิร์ท กรินท์: ครับ แน่นอน เรามีจูลี่ วัลเตอร์ส เพราะผมเคยร่วมงานกับเธอมาก่อนเรื่องพอตเตอร์ และโดยธรรมชาติแล้วเธอค่อนข้างมีความเป็นแม่ เธอเห็นการเจริญเติบโตของเราเป็นอย่างดี เธอใส่ใจพวกเราจริงๆ และมันยอดจริงๆ พวกฝาแฝดด้วย ผมเป็นเพื่อนที่ดีของพวกเขา ผมเจอพวกเขาค่อนข้างบ่อย ฉะนั้นเราจะได้เจอกันตลอดเวลา
ทอม เฟลตัน (เดรโก มัลฟอย) คำถามและคำตอบ
คำถาม: ตอนนี้เราเห็นคุณในสภาพไม่มีผมบลอนด์แล้ว โล่งใจมั้ยที่ไม่ต้องคอยฟอกสีผม?
ทอม เฟลตัน: ใช่ ไม่ต้องบอกเลย มันเป็นภาพลักษณ์ที่ต้องดูแลรักษามาก จริงๆ แล้วมันแปลกประหลาด; ฉันเดินไปหาคนแปลกหน้า โดยปกติแล้วเป็นผู้หญิงที่ไดร์ผมบลอนด์และพูดว่า ‘ฉันเข้าใจถึงความทรมานของคุณเลยที่รัก’ [หัวเราะ]
คำถาม: คุณพูดกับผู้หญิงไม่เลือกหน้าหรอ?
ทอม เฟลตัน: ไม่เลือกหน้าบนถนน ใช่ ฉันรู้สึกว่าเธออยู่ที่นั่น มันไม่ง่ายเลยนะที่จะบำรุงรักษา ไม่ง่ายเลยจริงๆ
คำถาม: คุณปลีกตัวหนีจากแฟนๆ มั้ย? หรือพวกเขาเข้ามาทักทายคุณในที่สาธารณะหรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: ไม่ มันเป็นสิ่งสวยงามที่มัลฟอยส์มีบุคลิกโดดเด่นอย่างผมสีขาวและผิวที่ขาวยิ่งกว่า ฉะนั้นยิ่งเร็วยิ่งตรงกันข้ามกัน มันเป็นเรื่องดีมาก ผมต้องทำให้พวกเขามั่นใจว่าผมเป็นผู้ชายที่แสดงเป็นเขา [หัวเราะ] ผมไปยังที่ต่างๆ พร้อมรูปภาพแล้วพูดว่า ‘ไม่ ไม่ ไม่ นี่ไง ดูสิ’ [หัวเราะ] จริงๆ แล้วมันค่อนข้างดีนะ ใช่เลย
คำถาม: เห็นได้ชัดว่า คุณมีบทสนทนาและทุกอย่าง แต่การแสดงของคุณโดยมากแล้วมาจากการแสดงออกทางแววตาและสีหน้า คุณรู้ตัวหรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: มันดีมากเพราะเดรโกเป็นตัวละครที่ถูกเขียนขึ้นมาอย่างดี พวกเขาเขียนตัวละครขึ้นมาได้งดงาม แต่เขาถูกระบุเอาไว้ชัดเจนมาก ผมไม่รู้สึกลังเลใจเวลาที่แสดงเป็นเขาเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก ผมมั่นใจว่าผมรู้จักเขาดีมาเป็นเวลา 10 ปี และแน่นอนว่าสำหรับผมแล้ว เขาเป็นตัวละครที่มีความชัดเจนโดยส่วนใหญ่มาก เราไม่ต้องมีคำบรรยายใดๆ เลย ผมโชคดีมาก เราต่างมีนักแสดงเก่งๆ รายล้อมผม จริงๆ แล้วมันต้องการความพยายามเล็กน้อยเท่านั้น ผมต้องพยายามไม่หัวเราะเวลาที่แดเนียลกับผมอยู่ห่างกัน 2 นิ้ว มันไกลจากความกังวลเพียงพอแล้ว เราสนุกดีที่ได้ทำอย่างนั้น
คำถาม: มีตัวละครไหนในภาพยนตร์เรื่องไหนที่คุณภาวนาไว้ว่าจะได้เล่นมั้ย?
ทอม เฟลตัน: ผมเป็นแฟนตัวยงของล็อคฮาร์ท กิลเดอรอย ล็อคฮาร์ดเป็นตัวละครโปรดของผมตลอดกาล หรือไม่ก็หนึ่งในนั้น ผมจึงรักที่จะได้อยู่ในฉากนั้น จริงๆ แล้วในตอนท้ายที่เขาสูญเสียความทรงจำและไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ผมว่ามันฮาดีนะ
คำถาม: ช่วยพูดถึงการทำงานร่วมกับผู้กำกับเดวิด เยทส์ให้ฟังหน่อยได้มั้ย?
ทอม เฟลตัน: แน่นอน ผมเป็นหนี้ทุกสิ่งต่อเดวิด ก่อนการร่วมงานกันในภาคที่ 6 จริงๆ แล้วผมไม่มั่นใจเลยว่าผมอยากแสดงเรื่องนี้หรือเปล่า จริงๆ แล้วถึงแม้จะเป็นอาชีพ และเขาฝังลึกในความหลงใหลการสร้างภาพยนตร์อย่างยิ่งใหญ่จริงๆ เขาเป็นผู้ชายที่มีความกระตือรือร้นที่สุดที่ผมเคยร่วมงานด้วย และยังสุภาพเข้าถึงตัวได้ง่ายมากด้วย ซึ่งป็นเรื่องที่ดีมากๆ และรู้มาว่าจริงๆ แล้วตอนนี้เขาทำงานต่อเนื่องทั้งปีไม่มีหยุด และเขายังตื่นเต้นตอนนี้ที่จะได้จัดการกับภาคต่อไป เขาเอาใจใส่มาก ซึ่งนั่นเป็นเรื่องดีที่จะมีอารมณ์แบบนั้นในฉาก
คำถาม: ฉากที่ยากที่สุดคือฉากไหน?
ทอม เฟลตัน: อาจเป็นฉากในคฤหาสน์มัลฟอย จริงๆ แล้วที่เราแสดงออกไปแบบนี้ และผมถูกห้อมล้อมไปด้วยตัวละครที่ชั่วร้ายแห่งโลกลึกลับ ซึ่งแน่นอนว่าในความเป็นจริงแล้วเป็นเหล่าฮีโร่ในโลกของการแสดง ฉะนั้นมันทำให้ใช้เวลา 2 วันในการพูดอะไรออกมา ผมอยู่แบบเงียบๆ 2 วันจากนั้นก็เริ่มพูดออกมาช้าๆ และนั่นมันยากมากหากมองในมุมที่ผมถูกสะกดจิตด้วยการแสดงของคนอื่น ผมเลยต้องหยิกตัวเองและพูดว่า ‘พยายามอยู่กับตัวละครและเดินหน้าเต็มที่กับงานไว้’
คำถาม: เราจะพบเดรโกได้ที่ไหนบ้างในภาพยนตร์เรื่องนี้?
ทอม เฟลตัน: จริงๆ แล้วมันต่อเนื่องจากที่เขาเป็นอยู่ในภาคก่อน เขาอยู่ในจุดที่เขามีโอกาสครอบงำตัวเองในอาราจักรแห่งความชั่วร้าย และเขาเข้าใจว่าเขาทำอะไรไม่ได้ ในภาพยนตร์ภาคนี้มันยิ่งแย่ลงสำหรับเด็กน้อยที่น่าสงสาร เพราะเขาถูกยึดบ้านโดยแขกผู้ชั่วร้ายของบ้านที่เราจะนึกขอได้ [หัวเราะ] เขาเป็นเด็กท่ามกลางพวกผู้ใหญ่ และเขาไม่ได้อยากอยู่ตรงนั้นเลยจริงๆ ผมว่าในภาคนี้จนไปถึงภาพยนตร์อีก 2 เรื่องต่อไป เราจะเห็นเขาโตขึ้นอย่างมีสติ และถึงแม้ความซื่อสัตย์ของเขายังคงอยู่กับครอบครัวของเขา และนอกเหนือจากนี้แน่นอนว่ามันต้องมีบางอย่างเกิดขึ้น เมื่อเขาเริ่มคิดถึงตัวเองสักครั้ง มากกว่าการเดินตามรอยเท้าของพ่อ แล้วมันจะดูดี
คำถาม: มันเป็นประสบการณ์ของคุณหรือเปล่าที่จะไม่ไปดูหนังจนกว่าจะถึงรอบปฐมทัศน์?
ทอม เฟลตัน: ผมชอบแบบนั้นนะ ผมชอบรอคอย มีบางอย่างที่งดงามมากเกี่ยวกับชีวิตชีวาในโรงหนัง และทุกคนกล่าวชมอย่างไรเวลาปรากฏขึ้นมา ดนตรีประกอบที่บรรเลงจะสร้างความน่าสะพรึงกลัวลงกระดูกและผมอยู่ที่นั่น เพียงแค่ผมคิดถึงมันตอนนี้ มันก็ดีแล้ว ดีจริงๆ ผมชอบไปดูพร้อมกับทุกคนมากกว่าแน่นอนโดยส่วนใหญ่
คำถาม: คุณรู้สึกอย่างไรในตอนท้ายของภาพยนตร์?
ทอม เฟลตัน: ผมรู้สึกโล่งอก มันอยู่ต่อหน้าผมและบอกผมว่ามันยาว 2 ชั่วโมงกว่า It flew by ยิ่งนานเท่าไหร่ยิ่งกังวล มันยาวนานราวชั่วโมงสำหรับผมเลย และมันมีการส่งผ่านที่งดงาม ผมว่ามันดูปรากฏเห็นได้ด้วยสายตา น่าประหลาดใจ; ฉากที่อยู่ในป่าดูสวยมาก และการแสดงก็ยอดเยี่ยมมากเลย โดยเฉพาะจากแดเนียล, รูเพิร์ทและเอ็มม่า ผมว่าจริงๆ แล้วโดยเฉพาะรูเพิร์ท ผมชอบเห็นรอนงี่เง่าในแบบนี้ [หัวเราะ] ดีกว่าเป็นคนอารมณ์ดีแบบไร้สาระ ฉะนั้นมันเป็นเรื่องที่ดีที่ได้เห็นการต่อสู้ของจริงระหว่างพวกเขาทั้งสาม และผมว่าพวกเขาทั้งสามโดดเด่นมาก
คำถาม: มีวันที่เป็นวันพิเศษในฉากมั้ย บางอย่างที่มันทำให้คุณสะเทือนใจว่านี่คือจุดจบแล้ว?
ทอม เฟลตัน: ผมหวังว่ามันจะเป็นงั้น แต่มันก็ไม่และยังไม่เป็น มันค่อนข้างแปลกมากนะ จริงๆ แล้ววันสุดท้ายผมทำเหมือนสิ่งที่ชาวอังกฤษทำกัน ผมไปจับมือทุกคนพร้อมก้มหัวลงพูดว่า ‘ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ ขอบคุณ’ แล้วก็เดินออกมาก่อนที่ผมจะเริ่มร้องไห้ฟูมฟายเหมือนผู้หญิง บอกตรงๆ เลยว่าไม่มีใครรู้ว่าจะพูดอะไรดี มันรู้สึกอึดอัด เราไม่รู้ว่าจะกล่าวคำลาอย่างไรดี และมันก็ยังไม่การลาเพราะเรายังมีทางที่ต้องเดินอีกไกล มีหลายสิ่งที่รออยู่ ฉะนั้นประเด็นหนึ่งมันเป็นเรื่องเศร้าจริงๆ ที่เราจะไม่ได้กลับไปยังฮอกวอตส์ แต่เราก็ตื่นเต้นมากๆ ในจุดจบที่ดี
คำถาม: ในด้านอาชีพการงานแล้วคุณเฝ้ารอสิ่งไหน? คุณจะทำอย่างไรในจุดนี้?
ทอม เฟลตัน: เดินหน้าแสดงหนังต่อไป ผมรู้สึกยินดีกับ 10 ปีที่ผ่านมา และมันจะเป็นเรื่องมหัศจรรย์มากถ้าทำต่อไป เห็นได้ชัดว่ามันค่อนข้างยากที่จะเดินหน้าต่อไปตอนเราเริ่มแสดงในแฮร์รี่ พอตเตอร์ ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องบอกเลยว่า มันจะเป็นโปรเจ็กต์ในรูปแบบที่ต่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นอะไรต่อไป ผมหวังว่าจะพบอะไรที่ผมหลงใหล และจะสามารถสร้างความสนใจอย่างจริงจังเข้าไปและเอาตัวเองเข้าไปใส่กับมันได้ เพราะฉะนั้นภาวนาว่ามาจะเป็นจริง
คำถาม: คุณคิดว่าจะมีภาพยนตร์หรือผลงานทางเวทีอื่นมั้ย?
ทอม เฟลตัน: ผมก็ยังไม่ได้ปิดโอกาสใดๆ สายตาผมยังคงเปิดกว้างสำหรับโอกาสทุกอย่างตอนนี้ที่ผมกำลังหาสิ่งที่น่าสนใจ ฉะนั้นผมหมายถึงในปี 2011 มันจะต้องตื่นเต้น เราจะได้เห็นกันว่าเกิดอะไรขึ้น
คำถาม: ดนตรียังเป็นสิ่งเข้ากันได้กับชีวิตคุณอยู่หรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: ใช่ ผมเพิ่งเริ่มอัดเสียงกับค่ายเพลงวงอินดี้เล็กๆ ที่มีชื่อว่า Six String Productions พร้อมกับเพื่อนอีก 2 คน
คำถาม: คุณเล่นเยอะหรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: ก็นิดหน่อย ผมอัด 2-3 เพลงและก็เล่นสนุกๆ มันเป็นโปรเจ็กต์ที่น่าหลงใหลสำหรับผม ผมรู้ว่าหากผมไม่ทำมัน ผมจะเสียดายไปตลอด คอยมองย้อนไปและคิดว่า ‘เราน่าจะทำแบบนั้น’ เราพยายามลองและช่วยเหลือนักร้อง-นักแต่งเพลงรุ่นเยาว์ให้เพลงของพวกเขาอยู่จุดนั้น แทนที่จะถูกปู้ยี้ปู้ยำโดยพวกเจ้าใหญ่ ฉะนั้นภาวนาว่าเรายังใหม่อยู่มาก แต่เราหวังว่าในปีหน้าจะทำผลงานได้ดี
คำถาม: มันคงเป็นปีที่ยิ่งใหญ่ หรือไม่จริง?
ทอม เฟลตัน: ภาวนาไว้แบบนั้น
คำถาม: คุณร้องเพลงหรือเล่นกีตาร์?
ทอม เฟลตัน: จริงๆ แล้วก็ทั้งสองอย่างนิดๆ หน่อยๆ ผมเล่นกีตาร์และร้องเพลง แย่ไปหน่อยแต่ก็ทำ
คำถาม: คุณเคยเห็นตัวเองร้องเพลงบนเวทีเหมือนที่แดน แรดคลิฟฟ์จะทำหรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: ใช่ ทำนองนั้นแหละ จริงๆ แล้วผมรู้ว่าแดนร้องและเต้น เขาทำได้ดีมาก ฉะนั้นภาวนาว่าวันหนึ่งผมจะทำได้ ผมรู้ว่าหากผมทำขึ้นมา ผมจะไปหาเขาเพื่อขอคำแนะนำบางอย่าง
คำถาม: คุณคิดอย่างไรกับฉากเต้นรำของเขากับเอ็มม่าในเต็นท์?
ทอม เฟลตัน: ค่อนข้างช็อคนะ หรือไม่จริง? [หัวเราะ] จริงๆ แล้วนั่นเป็นสิ่งหนึ่งที่งดงามที่สุดในภาพยนตร์ และเป็นอีกครั้งของตัวอย่างการแสดงของแดเนียลที่วิเศษ เพราะผมได้เห็นเขาเคลื่อนไหวและเขาเต้น Foxtrot รวมไปถึง Tango และทุกอย่างที่ผมไม่สามารถออกเสียงมาได้ ฉะนั้นต้องยกความดีความชอบให้เขาสำหรับการทำให้มันวุ่นวายมาก [หัวเราะ]
คำถาม: คุณถ่ายหนังที่อเมริกาเมื่อไม่นานนี้ ตอนนี้คุณกำลังถ่ายหนังเรื่องไหนอยู่หรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: ผมเพิ่งปิดกล้องการถ่ายทำหนังบางเรื่องที่นิวออลีนส์ และหนังอินดี้ที่มีชื่อว่า From the Rough
คำถาม: คุณช่วยพูดถึงความแตกต่างระหว่างการถ่ายทำหนังเรื่องนั้นกับการสร้างภาพยนตร์มหากาพย์อย่างแฮร์รี่ พอตเตอร์ให้ฟังได้มั้ย?
ทอม เฟลตัน: ผมบรรยายไม่ได้ว่ามันแตกต่างกันแค่ไหน มันต่างกันสุดขั้วเลย มันเป็นเรื่องของเวลาและเงินก็ซื้อเวลาเรา และความหรูหราที่วอร์เนอร์มีให้จุดนี้คือ 280 วันเกือบ 300 วันเพื่อทำภาพยนตร์สองเรื่อง ในทางตรงกันข้ามเรามี 21 คนเพื่อทำภาพยนตร์เรื่องเดียวคือ From the Rough ผมหมายถึงหลายอย่างมันก็ดี เพราะชีวิตชีวาของฉากอยู่ที่นั่น เราถ่ายทำที่นั่น เปิดกล้องให้เดินหน้าไปและเราก็แสดง ซึ่งเป็นอะไรที่ดีกว่าการรอเป็นชั่วโมงในระหว่างนั้น แต่โดยเท่ากันแล้วในพอตเตอร์ก็ดีมากที่เรามีการคำนึงถึงรายละเอียด และเอาใจใส่ว่ามันจะไม่ถูกต้อง แล้วพวกเขาก็จะกลับมาใหม่วันพรุ่งนี้เพ่อถ่ายทำอีกครั้ง ซึ่งมันตรงข้ามกับโลกแห่งความจริง มันแตกต่างกันมากเพราะภาพยนตร์ถูกเก็บในตารางเวลาที่น่าเหลือเชื่อ และพวกเขาต้องเดินหน้าต่อไปโดยไม่คำนึงถึงคุณภาพ ฉะนั้นมันต้องกังวลตลอดเวลา และมันเป็นบทเรียนแห่งการเรียนรู้จริงขอผงม ไม่มีการเทค 25 ครั้ง มีแค่ 2 ฉะนั้นต้องแสดงให้ถูก [หัวเราะ] และมันเหมือนกับเสียงปลุกให้เราตื่น
คำถาม: ช่วยเล่าให้ฟังถึง From the Rough ได้มั้ย?
ทอม เฟลตัน: มันสร้างขึ้นจากเรื่องจริงเกี่ยวกับโคชชาวอเมริกันที่มีชื่อเสียง และอยากนำความหลากหลายมาสู่โรงเรียน ดังนั้นเธอก็ได้มอบทุนการศึกษาสำหรับนักกีฬากอล์ฟให้กับคนนานาชาติ 5 คนซึ่งเป็นชาวเกาหลี, ออสเตรเลีย, อัลจีเรียฝรั่งเศส, อเมริกาและอังกฤษ ผมเล่นเป็นเกาหลีใต้ [หัวเราะ] ผมบอกเมื่อวานในโต๊ะที่ไม่มีปฏิกิริยา [หัวเราะ] ผมบอกว่า ‘แค่มายืนยันว่า ผมจะไม่เล่นเป็นคนเกาหลี ผมเป็นคนอังกฤษ’ มันสนุกมากที่ได้แสดง ผมใช้เวลาอย่างเพลิดเพลินที่นั่น
คำถาม: เป็นโรงเรียนเกี่ยวกับอะไร?
ทอม เฟลตัน: กอล์ฟ ขอโทษที่ไม่ได้กล่าวถึง ใช่กอล์ฟ ถ้ามันเกี่ยวกับบัลเล่ต์หรือเต้นแท็ป ผมคงไม่กระโดดก้าวเข้าไปหรอก
คำถาม: คุณเป็นนักกอล์ฟหรอ?
ทอม เฟลตัน: ค่อนข้างใช่ เป็นตัวยงด้วย จริงๆ แล้วน่าแปลกนะ ผมเริ่มก่อนที่ภาพยนตร์จะเริ่มประมาณ 3 เดือน มันเลยค่อนข้างดี
คำถาม: แล้วข้อด้อยของคุณล่ะ?
ทอม เฟลตัน: ตาของผม [หัวเราะ] แกว่งไปมา ขอโทษมันน่ากลัว เหมือนไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย สำหรับสิ่งนั้น [หัวเราะ] ฉะนั้นขอบคุณสำหรับความสงสาร
คำถาม: คุณมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องใหม่ Planet of the Apes หรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: มากเลยแหละ เป็นภาคกำเนิด Planet of the Apes ที่เรียกว่า Rise of the Apes มันเกี่ยวกับการอธิบายและเรื่องราวที่น่ามหัศจรรย์เกี่ยวกับลิงไร้หางมีอิทธิพลได้อย่างไร มันถูกบอกเล่าในรูปแบบของจินตนาการ แน่นอนว่าเป็นบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมเรื่องหนึ่งที่ผมเคยอ่านมาเลย
คำถาม: คุณแสดงเป็นมนุษย์หรอ?
ทอม เฟลตัน: ใช่ ผมแสดง ผมแสดงสิ นั่นเป็นคำถามแรกที่ถูกคนถามเลยนะ มันเป็นคำถามแรกที่เพื่อนถามและผมเองก็มีปฏิกิริยาว่าใช่ ผมเล่นเป็นมนุษย์ ‘โอ้’ พวกเขาอยากเห็นผมเป็นลิง แต่น่าเสียดายที่ไม่ใช่ ก็อย่างที่ผมบอกว่ามันเป็นเรื่องราวแห่งจินตนาการและมีคนแสดงในนั้น รับบทแสดงนำโดย เจมส์ แฟรนโก คู่รักของฟรีด้า พินโต ผมหมายถึงเรามี แอนดี้ เซอร์คิส ที่แสดงเป็นหัวหน้าวานรทั้งหมดพร้อมด้วยการตรวจจับการเคลื่อนไหว มันได้ข้ามเส้นพรมแดนของคอมพิวเตอร์กราฟฟคิของคอมพิวเตอร์กราฟฟิคสไตล์ของเรื่อง Avatar ฉะนั้นผมว่ามันต้องเป็นฉากจริงของเรื่องสมัยก่อนนะ
คำถาม: คุณแสดงเป็นอะไร?
ทอม เฟลตัน: โอ้ บทบาทเฉพาะของผม พ่อของผมมีฐานทดลองวานร ซึ่งเป็นการทดลองสายพันธุ์พวกเขา เราดูแลฝูงวานร แน่นอนว่าผมไม่ใช่พวกมีเมตตาต่อผู้อาศัย ผมชอบทรมานพวกเขาด้วยอาวุธหลากหลาย
คำถาม: งั้นคุณกำลังแสดงเป็นพวกตัวร้ายสิ?
ทอม เฟลตัน: ครับ เพื่อความเป็นธรรมพวกเขาจะแตกต่างกันมากไม่ได้ ผมหมายถึงตัวละครหนึ่งก็เป็นผู้ไร้ศีลธรรมที่ชั่วร้าย เป็นพ่อมดผมบลอนด์ และอีกตัวหนึ่งก็เป็นเด็กที่ต้องการความเอาใจใส่ เขาจึงหาสัตว์มารังแกเพื่อความสนุก แต่ถึงอย่างไรทั้งคู่ก็ไม่ได้พอใจนักหรอก
คำถาม: คุณมีผมสีบลอนด์ในนั้นหรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: ไม่ ขอบคุณพระเจ้า [หัวเราะ] จริงๆ แล้วรูเพิร์ทคือบุคคลที่ทำให้ผมโล่งใจ ยิ่งไปที่นั่นเร็วเท่าไหร่เขาก็จะพูดว่า ‘ไง นายรู้แล้วใช่มั้ยว่าเราต้องทำผมสีบลอนด์ในเรื่องนี้?’ [หัวเราะ] และเขาปล่อยให้ผมเอ๋ออยู่ 2 วันก่อนจะบอกว่าไม่ใช่ มันน่ากลัวมาก
คำถาม: คุณถ่ายทำที่ไหน?
ทอม เฟลตัน: ที่แวนคูเวอร์ ซึ่งเป็นสถานที่วิเศษมาก สนุกสนานกับมันมาก เป็นเมืองที่วิเศษและมีชีวิตชีวาในช่วงค่ำคืน มีหลายอย่างให้ทำและให้เห็น
คำถาม: แสดงเสร็จหรือยัง?
ทอม เฟลตัน: ใช่ครับ เดือนนึงแล้ว เราถ่ายทำประมาณ 2 เดือนที่แล้วล่ะ ผมชอบมันจัง
คำถาม: คุณนำสิ่งใดจากฉากพอตเตอร์กลับไปเป็นเรื่องที่น่าจดจำ?
ทอม เฟลตัน: ไม่มีอะไรนะ เอ่อ ผมจะพูดอะไรและไม่พูดอะไรดี? ผมเอา Nimbuses 2 อันใส่เข้าไปในขากางเกง และระหว่างออกจากสถานที่นี้จริงๆ แล้วพวกเขามีการเช็คความปลอดภัยอย่างเข้มงวดนะและเพื่อข้อดีต่างๆ สัญชาตญาณแรกของผมคือทุกสิ่งที่เป็นของเดรโก แต่ผมก็เข้าใจภายหลังว่าพวกเขาจะเอาไปไว้ในพิพิธภัณฑ์ และนำไปใช้งานดีกว่าปล่อยให้มันนอนจมอยู่ในกล่องห้องใต้หลังคาของผม แต่พวกเขาก็ให้แหวนของสลิธีรินที่เดรโกสวมให้ผมนะ เขาสวมแหวนซัลลาซาร์ สลิธีรินสีเงิน ผมเก็บมันเอาไว้บนหิ้งและรักษาเอาไว้อย่างดี
คำถาม: คุณไปออกทัวร์เล็กๆ ของงานจัดแสดงแฮร์รี่ พอตเตอร์ที่สตูดิโอวอร์เนอร์ บราเดอร์ส มันเป็นอย่างไรบ้าง?
ทอม เฟลตัน: มันน่ามหัศจรรย์มาก พวกเขาบอกผมว่าท่นั่นจะมีพิพิธภัณฑ์เล็กๆ หรือพวกสิ่งของให้เข้าไปเยี่ยมชม ผมก็ยังไม่คิดว่ามันจะมีขนาดนั้น จริงๆ แล้วพวกเขามีฉากที่ต่างกันไปถึงร้อยฉาก และมีบางอย่างที่เห็นแล้วสะเทือนอารมณ์มากๆ มันดีมาก มีรูปที่ผมวาดไว้ในภาคที่สามที่แฮร์รี่ถูกสายฟ้าฟาด ผมจำได้ว่าแผนกศิลป์ให้รูปวาดแฮร์รี่กับผม ผมพูดว่า ‘มันเอาไปใช้อะไรไม่ได้ เก็บไว้ที่นี่แหละ แล้วให้ผมวาดของผมเองแล้วกัน’ ผมใช้เวลาชั่วโมงหนึ่งกับขนนกที่ชำนาญการนี้ นี่เป็นผลงานศิลปะของผมของจริงและมันอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ตอนที่ผมไปดูผมก็จับมันนิดหน่อย มันดีมากที่ได้เห็น ผมเลยมีช่วงเวลาดีๆ ที่นั่น
คำถาม: ตอนนี้ภาพยนตร์ก็สิ้นสุดลงแล้ว คุณรู้สึกเสียดายมั้ย?
ทอม เฟลตัน: ผมเดาว่าอาจไม่ได้ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกไว้ ผมหวังว่าจะได้ถ่ายภาพของผมมากขึ้น และมีความทรงจำส่วนตัวมากขึ้นนะ ผมโชคดีมากเพราะผมมีสคริปต์ของ 4 ภาคหลัง ผมให้พวกเขาเซ็นชื่อไว้ข้างหน้าเพื่อเป็นสมบัติล้ำค่าของผม และผมมีจดหมายฉบับหนึ่งจาก โจ โรว์ลิ่ง ผมเอาไปใส่กรอบและมันเป็นสมบัติล้ำค่าของผม ผมทำให้มั่นใจว่าผมได้ดูแลพวกสิ่งของที่สร้างความซาบซึ้งใจให้กับผม
คำถาม: คุณเป็นพวกชอบดูภาพยนตร์ล่วงหน้าหรือเปล่า?
ทอม เฟลตัน: ไม่ [หัวเราะ] ตอบได้อย่างรวดเร็วเลยสำหรับคำถามนี้ ไม่อย่างแน่นอน เราภูมิใจกับมันมาก แต่มีหลายอย่างที่แตกต่างไปจากสิ่งที่พวกเขาเป็นตอนนี้ ผมว่ามันไม่ดีหรอกที่จะเห็นตัวเองที่ยังเด็กแต่มีเสียงสูง [หัวเราะ] ขอบคุณมาก
เดวิด เยทส์ (ผู้กำกับ) คำถามและคำตอบ
คำถาม: คุณเยทส์ อย่างแรกต้องบอกว่าคุณสร้างผลงานไว้ได้งดงามมาก ท่วงทำนองของภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างไปจากเรื่องก่อนๆ เล็กน้อย และเห็นได้ชัดว่ามันสะท้อนกลับไปยังท่วงทำนองของหนังสือ ความท้าทายอันยิ่งใหญ่ในเรื่องท่วงทำนองสำหรับคุณแล้วคืออะไร?
เดวิด เยทส์: ขอบคุณครับ คุณรู้มั้ยว่ามันเป็นสิ่งที่น่าตื่นเต้นมาก [สำหรับการดูหนัง] พร้อมกับผู้ชม เพราะผมได้ดูหนังด้วยตัวเอง หรือกับพวกผู้อำนวยการสร้างของผม และผู้ลำดับภาพหลายครั้งในช่วงหลายเดือน และเราจะมีมุมมองที่แคบหลังจากระยะหนึ่ง และมันมีบางอย่างเกี่ยวกับส่วนประกอบที่ผมชื่นชอบมาก — ความโศกเศร้าของมัน, ความเหงาของมัน, และความเป็นจริงที่ตัวละครที่โดดเด่นทั้งสามของผู้ชมเติบโตขึ้นมา ปรากฏขึ้นทันทีในป่ารกร้างแบบที่เห็นว่ามันปัดเป่าพวกเขา ผมพบว่าความนึกคิดทั้งหมดเคลื่อนที่ไปเร็วมาก มันเหมือนกับการเฝ้าดูเด็กๆ ของคุณออกไปเผชิญในโลกที่อันตรายมาก เป็นสถานที่ชั่วร้ายและเรารู้สึกได้ถึงพวกเขาอย่างลึกซึ้ง และผมมีความรู้สึกว่าผู้ชมค่อนข้างเพลิดเพลินกับสีสันของการเอาเป็นเอาตาย และความชั่วร้ายพวกนั้น และมันไม่ใช่เรื่องยากเลย โดยพื้นฐานแล้วทั้งหมดมันอยู่ในหนังสือ และผมอยากยึดมั่นในข้อเท็จจริงต่อหนังสืออันน่าอัศจรรย์ของโจเท่าที่จะเป็นไปได้
คำถาม: เหล่าตัวละครและเหล่านักแสดงตอนนี้ต่างมีอายุมากขึ้น คุณพบว่ามีความแตกต่างมากไปกว่าการทำงานในสมัยก่อนมั้ย?
เดวิด เยทส์: รู้มั้ย เพราะพวกเขาโตขึ้นและมีประสบการณ์ในชีวิตเพิ่มขึ้น; พวกเขามีประสบการณ์ในฉากภาพยนตร์มากขึ้น นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้แสดงตัวละครเหล่านี้ และในเรื่องส่วนประกอบบางด้านมีความแตกต่างกันน้อยมากกว่าที่มันเคยเป็นมา และเมื่อสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมาอยู่ร่วมกัน นั่นหมายถึงพวกเขาได้ก้าวกระโดดขึ้นไป และพวกเขาพร้อมสำหรับสิ่งนั้นจริงๆ แล้ว; พวกเขามีความกระตือรือร้นจริงๆ ผมจำได้ว่าตอนที่เรานั่งอ่านบทภาพยนตร์ผ่านๆ ในช่วงแรกเริ่ม ที่เรามักทำกันก่อนเริ่มการถ่ายทำ พวกเขาตื่นเต้นมากกับบางฉากที่พวกเขากำลังแสดงอยู่ รู้มั้ยฉากที่พวกเขาตกลงมาและต่อสู้หรือเต้นรำกันระหว่างแฮร์รี่กับเฮอร์ไมโอนี่ นั่นแหละคือตัวอย่างของความละเมียดละไมและความรุนแรงของมัน ซึ่งพวกเขามีการพัฒนาขึ้นทุกด้านจริงๆ พวกเขาตื่นเต้นกับมันมาก และเพราะพวกเขาเติบโตขึ้นเราเลยสามารถเสาะแสวงหาความลึกซึ้งบางอย่างได้ เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นมาในฐานะนักแสดง
คำถาม: คุณเข้ามาอยู่ในหนังซีรี่ย์นี้ในช่วงกลางเรื่องแล้ว คุณพบว่ากลุ่มฐานแฟนๆ มีขนาดใหญ่มหึมาตั้งแต่เมื่อไหร่ และคุณคิดอย่างไรกับเรื่องนั้น?
เดวิด เยทส์: มันค่อนข้างเป็นวงจรวัฏจักรเกี่ยวกับเวทีนี้ ตอนที่เราให้สัมภาษณ์และพบปะกับสื่อ และเดินขึ้นไปบนพรมแดง เห็นได้ชัดเลยว่าเราจะเห็นความจริงที่มันได้รับความนิยมไปทั่วโลก และเมื่อแฟนๆ ที่มาจากแม็กซิโกหรืออาร์เจนติน่าปักหลักรอกันตลอดทั้งคืน เราจะเข้าใจทันทีว่ามันมีความหมายกับพวกเขาอย่างไร มันเป็นภาระการรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่จริงๆ
และยังมีการคาดหวังอย่างยิ่งใหญ่ ในทางที่แปลกคือเราสร้างภาพยนตร์ออกมาดีที่สุด และผมภูมิใจกับภาพยนตร์เรื่องนี้มากๆ ผมภูมิใจกับภาพยนตร์ 2 ภาคก่อนนี้มาก แต่แฟนๆ เห็นภาพยนตร์เกือบทั้งหมด มันเป็นประสบการณ์สำหรับพวกเขา เป็นทุกอย่างที่แฟนๆ รักใคร่บูชาอย่างแท้จริง และผมรู้สึกตื้นตันมากที่พวกเขามีความเชื่อมั่น จงรักภักดีและมีใจจดจ่อกับหนัง พวกเขาอยู่ที่นั่นเพื่อพวกเรา เห็นได้ชัดในภาพยนตร์ซีรี่ย์ตั้งแต่ต้นจนจบ และพวกเขาใส่ใจเป็นพิเศษกับภาพยนตร์ก่อนหน้านี้
คำถาม: คุณช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยว่า คุณตัดสินใจเพิ่มเติมเนื้อหาสาระ ตอนที่คุณเลือกจะแบ่งภาพยนตร์มาเป็น 2 ตอนขนาดไหน?
เดวิด เยทส์: ครับ ผมพยายามเลี่ยงการแจกแจงรายละเอียดเท่าที่จะเป็นไปได้ ที่เราสร้างขึ้นธรรมดาพร้อมฉากต่างๆ ที่มีในหนังสือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งแรก ฉากเหมือนเราดึงมันออกไป เราพยายามเก็บเนื้อเรื่องให้มากเท่าที่จะทำได้ในเวลานั้น
แต่มันเป็นเรื่องดีที่รวมเข้ากันเสียมากกว่า เพราะแฟนๆ บางคนก็เศร้ามาก และโดยพื้นฐานแล้วผมรู้สึกว่าอยากตัดฉากตั้งแคมป์ใหญ่ๆ ในช่วงกลางออกไป เพราะมันค่อนข้างยาวนานกว่าที่เราสร้างขึ้นในภาพยนตร์ เราต้องตัดมันออก ลดหลั่นมันลงมา เพราะพวกเขาเดินทางเป็นเดือนๆ แต่เราเดินทางทำงานเพียง 2-3 วัน
คำถาม: เดวิด, คุณช่วยเล่าให้เราฟังหน่อยได้มั้ยเกี่ยวกับฉากแอนิเมชั่นอันน่าอัศจรรย์ คุณเรียกสไตล์นั้นว่าอย่างไร มีชื่อเรียกมั้ย?
เดวิด เยทส์: ครับ มันเริ่มจากการอ้างอิงถึงความมหัศจรรย์บางอย่างที่สจ๊วต เครกพบขึ้นมา เหมือนกับหุ่นกระบอกเงาในสมัยพระนางวิกตอเรีย เป็นสิ่งที่นิ่งสงบ และเรายังดูการเชิดหุ่นกระบอกเงาของจีนด้วย เรามีภาพเงาอันน่ามหัศจรรย์เหล่านี้ที่มีแสงสะท้อนด้านหลัง จากนั้นเราก็พบกับผู้ชายที่น่ามหัศจรรย์ซึ่งเรียกว่า เบ็น ไฮบอน ผู้สร้างแอนิเมชั่นที่มีพรสวรรค์มาก ผู้ที่ควบคุมฉากทั้งหมดโดยพื้นฐาน และเราพัฒนาสตอรี่บอร์ดขึ้นมาเพราะมันมีทางเลือกการนำเสนอเรื่องราวส่วนนั้นหลายทาง
เรารู้ดีว่าเราอยากทำให้มันรู้สึกว่าเป็นหุ่นกระบอกเงา เพราะมันมีบางอย่างไล่ล่าอยู่ข้างหลัง เราอยากให้มันดูสวยงามเป็นส่วนหนึ่งในหนังของเรา และผลงานของเบ็นในฐานะผู้สร้างแอนิเมชั่นก็น่าประหลาดใจมาก เราเลยยกให้เบ็น และเขาก็สร้างหุ่นกระบอกเงาในรูปแบบที่ทันสมัยออกมา
คำถาม: คุณได้ตัว นิค เคฟ เข้ามามีส่วนร่วมได้อย่างไร? เพราะเพลงนั้นก็น่ามหัศจรรย์เหมือนกัน
เดวิด เยทส์: ครับ ตอนที่ผมฟังหลายต่อหลายเพลงสำหรับฉากเต้นรำนั้น—จริงๆ แล้วเป็นร้อยเพลงนะ—เพราะผมอยากได้ส่วนของดนตรีที่ค่อนข้างเจ็บปวดและมีความอ่อนโยน แต่ก็ได้คัดเลือกอันที่เยี่ยมที่สุดถึงแม้จะดูแปลก ผมเลยข้ามไปยังเพลงของนิค และผมก็หลงรักมันทันที มันเหมือนมีพลังประหลาดที่ทำลายหัวใจเราได้ แต่เวลาเดียวกันก็ดึงคุณขึ้นมา มีบางอย่างเกี่ยวกับมันที่งดงามมาก ตอนที่เราโทรหานิค เคฟ เขาบอกว่าเขาทำได้
คำถาม: คุณเคยมีนิโคลัส ฮูเปอร์ในภาพยนตร์ 2 ภาคก่อน และตอนนี้คุณมีอเล็กซานเดร เดสแพล็ต เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงนี้คืออะไร?
เดวิด เยทส์: จริงๆ แล้วนิคอยากจะลงไปนอนกะพื้นหลังภาพยนตร์ 2 ภาคแรกแล้ว [หัวเราะ] เขาหมดแรงเลย เพราะผมเป็นคนจริงจังกับทุกรายละเอียด ตอนที่มันเข้าดนตรี ผมไม่ได้บอกว่า ‘เอาล่ะ หนังเรื่องนี้นะ ลงมือแต่งเพลงประกอบด้วยล่ะ’ ผมนั่งกับผู้ประพันธ์ และเราเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เราเคลื่อนย้ายหลายอย่างไปเรื่อย และให้เขาทำภาพร่างของบางอย่างขึ้นมากมาย เพราะผมรักการเข้าไปหมกมุ่นกับด้านนั้น; มันสนุกมากและเป็นส่วนสำคัญของการบอกเล่าเรื่องราว นิคเป็นเพื่อนสนิทของผม ผมอยากให้เขากลับมานะ แต่โชคร้ายที่เขาบอกไว้ว่า ‘รู้มั้ย ผมเหนื่อยมากเลย’ ผมเลยถอยหลังแล้วจากนั้นอเล็กซานเดรก็ก้าวเข้ามาในฉากตอนนั้น
คำถาม: เขาจะสร้างผลงานในภาค 2 มั้ย?
เดวิด เยทส์: เขาจะทำภาค 2 ด้วย ผมหวังว่าเราจะได้ตัวจอห์น วิลเลียมส์และจอห์น วิลเลียมส์ก็อยากทำมัน เพราะมีแนวเดียวที่จอห์น วิลเลียมส์ทำได้ดี เหมือนตอนที่เขาประพันธ์ดนตรีสำหรับหนังที่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะด้วยตารางเวลาของเขา ผมเลยต้องให้เขาประพันธ์ดนตรีสำหรับหนังที่ยังไม่สมบูรณ์ และผมอยากให้ภาพยนตร์อยู่ในรูปแบบที่ถูกต้องก่อนที่จะนำเสนอให้ใคร ผมเป็นแฟนตัวยงของจอห์น วิลเลียมส์ ผมโตขึ้นมาพร้อมจอห์น วิลเลียมส์ เขาเป็นเหมือนผู้วิเศษของผมเลย [หัวเราะ] ครับ แล้วการให้จอห์น วิลเลียมส์ประพันธ์ดนตรีสำหรับหนังที่ยังไม่สมบูรณ์ก็เหมือนกับ ‘โอ้ ผมทำไม่ได้’ มันเลยโชคร้ายที่ถึงแม้เขาอยากจะทำ และผมก็อยากให้เขาทำ แต่ตารางงานของเราไม่เอื้ออำนวย
คำถาม: คุณรักษาการกำกับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ที่ดังระเบิด 4 เรื่องต่อกันนี้ได้อย่างไร?
เดวิด เยทส์: รู้มั้ยมันเหมือนการวิ่งมาราธอน 4 รอบเลย ผมต้องบอกคุณเลยว่ามันยากนะ ผมหมายถึงขั้นตอนมันกระตุ้นถึงขอบเขตบางอย่าง และขั้นตอนการทำงานอันน่าเหน็ดเหนื่อยที่สุด ผมว่ามันคือการสนับสนุนจากด้านผมนี่แหละ บอกตรงๆ ว่ามันเป็นเรื่องน่ารักสำหรับผม เวลาผู้คนแสดงความเห็นของภาพยนตร์กลับมา ผมหมายถึงการพบปะผู้คนจากทั่วโลก เราก็ได้มุมมองการทำงานที่แตกต่างกันไป และมันมีประโยชน์เสมอ หนังจะสร้างกำลังใจผมขึ้นมา ส่วนด้านการโปรโมทภาพยนตร์ จริงๆ แล้วผมพบความยากลำบากมาเสมอ มันยากจริงๆ
คำถาม: ในวันสุดท้ายพร้อมกับนักแสดงหลักทั้งสาม ตอนที่พวกเขาอยู่ในฉากด้วยกันและต้องถ่ายทำฉากสุดท้าย ตอนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง?
เดวิด เยทส์: เราถ่ายทำฉากที่สะพานรถไฟ ภายนอกฮอกวอตส์ และมันสงบเงียบมาก มันเป็นวันที่มีแดดจ้า และก็มีแสงสะท้อนด้านหลัง มันเป็นฉากที่มีความอ่อนไหว เมื่อพวกเขาสะท้อนทุกอย่างที่เกิดขึ้นออกมา การต่อสู้ทั้งหมดและทุกอย่าง พวกเขาจับมือกันและกล้องนั้นก็ดิ่งลง เป็นฉากที่อ่อนไหวและน่ารักมาก ผมบอกพวกเขาว่า ‘ดูนะทุกคน นี่เป็นฉากสุดท้ายที่เราจะถ่ายทำพร้อมกับพวกเธอทั้ง 3 ตรงหน้ากล้อง ฉะนั้นมันไม่ใช่แค่ฉากสุดท้ายของเหล่าตัวละครทั้งสามในเรื่องนี้เท่านั้นนะ มันเป็นฉากสุดท้ายของพวกเธอในภาพยนตร์ซีรี่ย์นี้ด้วย วันนั้นเป็นแบบนั้นแหละ’ และมันใส่บางอย่างลงไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกที่มีการเร้าอารมณ์จริงๆ
คำถาม: บิล ไนฮี่มีบทบาทในภาพยนตร์ภาคนี้ เขาเป็นฝ่ายมาหาคุณหรือคุณเดินไปหาเขา? ท้ายที่สุดแล้วคุณก็ได้ตัวเขามาอยู่ในภาพยนตร์ตอนหนึ่งของคุณ
เดวิด เยทส์: ครับ แน่นอน ผมยืนกรานที่จะเอาตัวเขามา ผมรักบิล เขาก็ยินดี
คำถาม: พวกคุณมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันจริงๆ ใช่มั้ย?
เดวิด เยทส์: ครับ เขาเป็นคนที่น่ารักและเป็นเพื่อนที่ดีด้วย และผมดึงดันที่จะเอาตัวเขามา เราได้ตัวเขามาแค่ 2-3 วัน เขาเก่ง เมื่อเทียบกับเหล่านักแสดงที่ปรากฏตัว 4-5 วัน มาทำหน้าที่เขาแล้วก็ไป นั่นเป็นสิ่งที่น่าอัศจรรย์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ รู้มั้ยว่าเราโชคดีมาก
คำถาม: คุณเคยคุยกับ โจ โรว์ลิ่งเกี่ยวกับการดัดแปลงหนังสือพวกนี้ และตัวเลือกที่คุณสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะในส่วนความร่วมสมัยที่รู้สึกได้?
เดวิด เยทส์: เราไม่เคยมีการพูดคุยกันมากมายถึงเรื่องนั้น เพราะมันเห็นได้ชัดในหนังสืออยู่แล้ว เธออ่านบทภาพยนตร์และเธอพอใจอย่างเต็มที่กับวิธีที่เราจะดัดแปลงมัน โดยทั่วไปแล้วเธอให้ความสนใจกับบทภาพยนตร์แรกมาโดยตลอด และเธอให้ความช่วยเหลือจริงๆ เราคุยกันอย่างดีในช่วงอาทิตย์สุดท้าย เกี่ยวกับ 2 ฉากในภาคที่ 2 ซึ่งเป็น 2 ฉากที่ผมเฝ้าดูตอนที่รวมตัวกันอาทิตย์สุดท้าย ‘คุณคิดอะไรอยู่ตอนที่เขียนฉากนี้?’ แล้วเธอก็ช่วยเราได้มาก
คำถาม: โจเป็นผู้อำนวยการสร้างของภาพยนตร์เรื่องนี้ มันเป็นอย่างไรบ้าง? เธอมีบทบาทกว้างขึ้นอย่างไร?
เดวิด เยทส์: รู้มั้ยบอกตรงๆ ว่ามันไม่ได้ต่างจากหนังเรื่องอื่นเลย เธอเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ของเรามาโดยตลอด และอ่อนโยนสุภาพตลอดเวลา ผมว่าเป็นเพราะเธออยู่ที่นั่นตั้งแต่ต้นจนจบ มันเป็นช่วงเวลาที่ชื่อของเธอจะปรากฏขึ้นตรงนั้น เธออยากอยู่ตรงนั้นกับเรา; เรามีสิทธิพิเศษมาก
คำถาม: คุณจะลาพักร้อนเมื่อคุณเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้วใช่มั้ย?
เดวิด เยทส์: สัญญาไว้เลยว่าผมจะลาพักร้อน [หัวเราะ]
คำถาม: คุณมีอย่างอื่นต่อคิวรอหลังจากทั้งหมดนี้ใช่มั้ย?
เดวิด เยทส์: มีบทภาพยนตร์หลายเรื่องเข้ามานะ ผมยังบอกคุณไม่ได้ จริงๆ แล้วอาทิตย์ก่อนผมบอกพวกเขาให้หยุดส่งมาได้แล้ว [หัวเราะ] เพราะผมไม่อ่านพวกมันหรอก ทั้งหมดก็ได้แต่กองไว้ เพราะผมเป็นคนมีความทะเยอทะยาน ผมบอกคุณไม่ได้ มันมีสิ่งประหลาดเกี่ยวกับแฮร์รี่ พอตเตอร์ เพราะผมไม่รู้สึกถึงการเป็นเจ้าของมันเลย ผมไม่รู้สึกถึงอาณาเขตของมันเลย ซึ่งเกี่ยวกับที่ผมรู้สึกนิดๆ ว่าเป็นผู้ดูแลทรัพย์สมบัติของชาติ สำหรับทุกอย่างแล้วผมเข้าถึงได้นะ ผมพยายามและทำอย่างเต็มที่ และผมภูมิใจมากกับผมงานที่ผมสร้างไป และหลังจากพอตเตอร์ อาชีพการงานผมก็เริ่มต้นอีกครั้ง ผมไม่ได้รู้สึกว่าผมสร้างภาพยนตร์ยิ่งใหญ่ของโลกมาแล้ว 4 เรรื่อง ผมจะรู้สึกว่า ‘เอาล่ะ เท่านี้แหละ ผมทำพอตเตอร์เสร็จแล้ว’ แล้วผมก็จะมีบทภาพยนตร์ดีๆ พวกนี้ และผมก็จะเริ่มไปกับมัน นั่นแหละแผนของผม ผมกำลังจะทำทั้งงานใหญ่และงานเล็ก แต่ไม่มีพวกพ่อมดอยู่ในนั้นแล้ว
คำถาม: ไม่มีพ่อมดเลยใช่มั้ย? โอเค
เดวิด เยทส์: ไม่มีพ่อมด