กรุงเทพฯ--3 ธ.ค.--สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์
อวาย่า ดาต้า โซลูชั่นส์ เปิดตัวกลยุทธ์ Virtualization ใหม่ล่าสุดชูสถาปัตยกรรมที่ช่วยให้การบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์และระบบเครือข่ายเชื่อมโยงระหว่างอาคารเป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
อวาย่า ผู้นำระดับโลกด้านระบบสื่อสารองค์กร ซอฟต์แวร์ และบริการ เปิดตัวใหม่สถาปัตยกรรมเวอร์ชวลไลเซชั่น (virtualization) ใหม่ล่าสุดสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างมิติใหม่ในการบริหารจัดการดาต้าเซ็นเตอร์ 3 ด้านหลัก ได้แก่
- เพิ่มประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ และเสถียรภาพในเครือข่ายของดาต้าเซ็นเตอร์ (หรือมีสถานะการออนไลน์แบบ Always On)
- ลดเวลาที่ใช้ในการบำรุงรักษา (ขจัดความซับซ้อนของฮาร์ดแวร์ในดาต้าเซ็นเตอร์) และ
- ขีดความสามารถด้านการรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการขยายระบบ (scalability) พร้อมประสิทธิภาพการทำงานที่จัดในแนวหน้าในตลาด ด้วย Virtual Services Platform (VSP9000) เวอร์ชั่นใหม่ที่มาพร้อมความเร็วในการประมวลผลสูงสุดถึง 27 เทอราบิตต่อวินาที (Tbps)
Avaya Enterprise Virtual Network Architecture (Avaya VENA) ใช้สถาปัตยกรรมแบบ enterprise-wide ใหม่ล่าสุดที่ออกแบบมาเพื่อช่วยผู้บริหารและฝ่ายไอทีตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นในส่วนของเนื้อหาใหม่และแอพพลิเคชั่นที่รองรับการทำงานร่วมกันในงานธุรกิจ และทั้งยังสามารถขยายเพื่อรองรับเทคโนโลยี 40/100G ที่กำลังได้รับความนิยม ทั้งนี้อีเทอร์เน็ตสวิตช์รุ่น 8600, 8800 และ VSP 9000 ของ Avaya จะถูกอัพเกรดด้วยคุณสมบัติของ VENA ซึ่งฟังก์ชั่นการทำงานหลักๆ ของ VENA จะสร้างความแตกต่างให้กับเทคโนโลยีดาต้าเซ็นเตอร์ของอวาย่า โดยเฉพาะขีดความสามารถในการขยายเพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอนาคต ความพร้อมใช้งาน และความยืดหยุ่นของระบบ
สถาปัตยกรรม Avaya VENA ช่วยให้องค์กรสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในงานธุรกิจได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น รวมถึงการติดตั้ง ทดสอบ และใช้งานจริงของเซอร์วิสต่างๆ ภายในและระหว่างดาต้าเซ็นเตอร์ อาคาร หรือวิทยาเขต สำหรับผู้จัดการแผนกไอทีและผู้บริหาร คุณสมบัตินี้ช่วยลดความล้มเหลวของเครือข่ายที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ โดยการลดความซับซ้อนของการกำหนดค่าการจัดเตรียมและนโยบายไอที ลดความจำเป็นที่จะต้องออกแบบระบบเครือข่ายใหม่ และเป็นแหล่งรวมเครื่องมืออันทันสมัยสำหรับใช้ในการจัดการเครือข่าย
"ผลการวิจัยของแยงกี้กรุ๊ป (Yankee Group) ระบุว่า ความผิดพลาดของมนุษย์มีสัดส่วนร้อยละ 37 ของระยะเวลาDowntimeของเครือข่ายทั้งหมด ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดที่ขัดขวางการทำงานของเครือข่าย Virtual Enterprise Network Architecture ของอวาย่า ช่วยลดค่าใช้จ่ายและเวลาในการบำรุงรักษา โดยนำเสนอวิธีการจัดการการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้และข้อมูลของพวกเขาอย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น" ซีอุส เคอร์ราวาลา รองประธานอาวุโสและนักวิจัยชื่อดังของแยงกี้กรุ๊ป กล่าว "Avaya VENA อำนวยความสะดวกในการเชื่อมต่อแบบ end-to-end จากเดสก์ทอปตรงไปยังดาต้าเซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญต่อความสำเร็จของระบบเวอร์ช่วลคอมพิวติ้ง (virtual computing) สถาปัตยกรรมใหม่นี้ยังช่วยลดความเสี่ยงสำหรับซีไอโอโดยนำเสนอเครื่องมือใหม่ๆ ในการจัดการเครือข่าย ช่วยเพิ่มความคล่องตัวและช่วยลดความซับซ้อนของการกำหนดค่าการจัดเตรียมและนโยบายของระบบไอที"
"สถาปัตยกรรมนี้พัฒนาขึ้นโดยยึดผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง" อุจาล บาจาจ หัวหน้าฝ่ายดาต้า โซลูชั่นส์ อวาย่าเอเชียแปซิฟิค กล่าว "เป็นนวัตกรรมที่ลดความซับซ้อนของการจัดการเครือข่ายและช่วยให้ผู้บริหารและผู้จัดการฝ่ายไอทีมีความคล่องตัวมากขึ้นในการตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขทางธุรกิจ Avaya VENA เสริมขีดความสามารถให้ผู้บริหารรองรับกับคุณสมบัติของแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ บนเครือข่าย ช่วยให้ธุรกิจเกิดความคล่องตัวและประกันความพึงพอใจของผู้ใช้"
นอกจากนี้ สถาปัตยกรรมใหม่ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายและลดเวลาในการบำรุงรักษาอย่างมีนัยสำคัญ โดยเพิ่มประสิทธิภาพการเชื่อมต่อเครือข่ายระหว่างแอพพลิเคชั่นเซิร์ฟเวอร์และผู้ใช้งาน ช่วยให้องค์กรเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ของ virtualization วิธีที่ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น ผ่านการใช้งานเครือข่ายเสมือนจริงดังกล่าวในรูปแบบ Shortest Path Bridging (SPBm), Virtualised Route Forwarding (VRF) และโดยการให้มุมมองของเครือข่ายในภาพรวมแบบบูรณาการ
"ปัจจุบันองค์กรต่างๆ ไม่เพียงต้องการทางเลือก เมื่อมองหาโซลูชั่นสำหรับระบบเครือข่าย พวกเขาต้องการโซลูชั่นที่ช่วยให้ระบบไอทีตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงความต้องการทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว ปรับปรุงเวลาในการบำรุงรักษา ในขณะเดียวกันก็ช่วยลดความซับซ้อนของเครือข่ายและลดต้นทุน" มาร์ค แฟบบี้ รองประธานและนักวิเคราะห์ชื่อดังจากการ์ทเนอร์ (Gartner) กล่าว "การสร้างองค์กรที่มีความคล่องตัวต้องอาศัยวิธีการใหม่ในการเข้าถึงสถาปัตยกรรมเครือข่าย โดยต้องมีการผสานอย่างแนบแน่นยิ่งขึ้นระหว่างการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ของแอพพลิเคชั่นต่างๆ สภาพแวดล้อมแบบเสมือนของดาต้าเซ็นเตอร์ และเครือข่ายที่เปิดใช้งานและมีความสำคัญ"
"ไม่มีโซลูชั่นไหนสามารถนำเสนอความสะดวกง่ายดายในการจัดการ virtualization และการทำงานร่วมกันในระดับนี้ได้" บาจาจ กล่าว "Avaya VENA เป็นนิยามใหม่ของวิธีการที่ธุรกิจใช้สื่อสารกับดาต้าเซ็นเตอร์แบบเสมือน ผู้เล่นรายใหญ่ในอุตสาหกรรมต่างสนับสนุนแนวคิดของอวาย่าด้วยการทดสอบการทำงานประสานกัน (interoperability test) และโดยการสนับสนุนการเชื่อมต่อแบบ active-active ระหว่างดาต้าเซ็นเตอร์ Avaya VENA ช่วยเพิ่มระดับความยืดหยุ่นที่บริษัทต่างๆ ต้องการในสภาพแวดล้อมที่แต่ละช่วงเวลาของการเกิดDowntimeหมายถึงรายได้หลายล้านดอลลาร์ต้องสูญเสียไป" เขากล่าวเสริม
Avaya VENA พัฒนาบนมาตรฐานสถาปัตยกรรมแบบเปิด และอวาย่ามุ่งมั่นสร้างระบบที่เปิดกว้างยิ่งขึ้นสำหรับผู้ทำงานร่วมกันทางเทคโนโลยีเพื่อรองรับสถาปัตยกรรมดังกล่าว นอกจากการอัพเกรดทั่วไปสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว Avaya VENA สามารถนำไปติดตั้งและใช้งานบนระบบดาต้าเซ็นเตอร์แบบแยกส่วน (modular) และแบบติดตั้งกับที่ (fixed) ได้ด้วย และยังมีเครื่องมือที่ครอบคลุมสำหรับการจัดการที่มีประสิทธิภาพในสภาพแวดล้อมเสมือน โดยเทคโนโลยีใหม่เหล่านี้ใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานเครือข่ายข้อมูลที่มีอยู่ และสามารถขยายรองรับการเติบโตในอนาคตได้อีก”
อวาย่าร่วมมือกับหลายบริษัทอย่างต่อเนื่องเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่สนับสนุนการทำงานของ Avaya VENA อาทิ VMware ผู้นำด้านโครงสร้างพื้นฐานสำหรับ virtualization และระบบCloud Computing; QLogic, ผู้นำด้าน converged networking; Coraid, ผู้พัฒนานวัตกรรมด้าน converged Ethernet SAN storage; และ Silver Peak Systems ซึ่งเป็นผู้นำด้านการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบ WAN ในดาต้าเซ็นเตอร์ นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทร่วมโครงการ Avaya DevConnect Partner ของอวาย่า ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการพัฒนา ทำตลาด และขายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของพันธมิตรธุรกิจที่ทำงานประสานกับเทคโนโลยีของอวาย่า
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมด้านข่าวประชาสัมพันธ์ หรือรูปภาพ กรุณาติดต่อศันสนีย์ / ชนิดาภา
บริษัท สปาร์ค คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด
โทร. 02 653-2717-9
อีเมล์ tle@spark.co.th / june@spark.co.th