กรุงเทพฯ--3 ธ.ค.--Walt Disney
TRON : Legacy “ทรอน ล่าข้ามโลกอนาคต” คือผลงานภาพยนตร์ แอ็คชั่น-ไซไฟ เรื่องล่าสุดของ “เจฟฟ์ บริดเจส” กับการกลับมารับบท เควิน ฟลินน์ และ คลู ( โปรแกรมตัวร้ายในเดอะกริด ) หนึ่งในนักแสดงที่ประสบความสำเร็จสูงสุดของฮอลลีวู้ด เขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์ 5 สมัย และก็คว้ารางวัลตัวแรกมาครองได้สำเร็จในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมา
ผลงานหลากหลายแนว ทั้งภาพยนตร์ที่ทำรายได้ถล่มทลายในบ็อกซ์ออฟฟิศ และภาพยนตร์ที่ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมมากมาย จาก Iron Man, The Fisher King, The Fabulous Baker Boys, The Jagged Edge, Tucker: The Man and His Dream, Blown Away, Fearless และ American Heart
“เมื่อ 28 ปีที่แล้ว หนังภาคแรกเป็นอะไรที่ใหม่สุดๆ แน่นอนครับว่าเมื่อมองย้อนกลับไป มันดูเหมือน ซีรีส์ขาวดำเก่าๆ ในตอนที่เราถ่ายทำมันยังไม่มีอินเทอร์ เน็ตเลย เราถ่ายทำหนังด้วยฟิล์มขาวดำ 70 ม.ม.
ก่อนที่มันจะถูกส่งไปที่เกาหลีเพื่อให้ช่างเทคนิคลงสีแต่ละเฟรม เพื่อทำให้ชุดของตัวละครเรืองแสงออกมา และมาใน TRON: Legacy ทรอน ล่าข้ามโลกอนาคต มันนำเสนอเทคโนโลยีล่าสุดเท่าที่โลกคิดค้นได้เหมือนกัน เราใช้การถ่ายทำ 3D รุ่นใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ชุดของเราเรืองแสงได้จริงๆ และแสงพวกนั้นก็ส่องกระทบนักแสดงคนอื่นๆด้วย ผมคิดว่าหนึ่งในสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่โจ (ผกก.)
เข้ามาสู่หนังเรื่องนี้คือ ความสามารถในการผสมผสาน ฉากจริงๆเข้ากับฉาก CGI ได้อย่างกลมกลืน และสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีคือมันรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเราไม่ได้พัฒนากฎเกณฑ์ใดๆมาใช้ควบคู่กับมัน และเราก็ไม่อาจล่วงรู้เลยว่าเทคโนโลยีจะแตกกิ่งก้านสาขาออก ไปมากขนาดไหน และนั่นก็คือธีมของ TRON : Legacy ครับ ยิ่งครั้งนี้เทคโนโลยีของหนังเรื่องนี้ทำให้ผมสามารถแสดงประกบตัวผมเองสมัยยังหนุ่มได้ โดยใช้ระบบดิจิตอลเต็มรูปแบบในการสร้างส่วนศีรษะและลำตัวโดยอิงจากนักแสดงที่มีอยู่ สร้างตัวละครในเวอร์ชั่นที่หนุ่มขึ้นของผมในบท เควิน ฟลินน์ ด้วยการใช้เทคโนโลยี อีโมชั่น แคปเจอร์ ที่ทันสมัยที่สุด ซึ่งพัฒนาโดย ดิจิตอล โดเมน มันเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการได้เป็นส่วนหนึ่งของเทคโนโลยีล้ำสมัยแบบนี้น่ะครับ” เจฟฟ์ บริดเจส กล่าว
“ทรอน ล่าข้ามโลอนาคต” คือ ภาพยนตร์แอ็คชั่น-ไซไฟ ที่ใช้เทคโนโลยีในการถ่ายทำที่ทันสมัยที่สุด ณ ปัจุบันนี้ และมันได้ทำให้ เจฟฟ์ บริดเจส กลายเป็นนักแสดงคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้ปะทะบทบาทกับตัวเองในเวอร์ชั่นหนุ่ม และ 28 ปี น่าจะเป็นระยะเวลาที่นานที่สุดสำหรับนักแสดงคนหนึ่งที่จะกลับไปเล่นบทเดิมที่เคยเล่นเอาไว้อีกด้วย