กรุงเทพฯ--7 ธ.ค.--PRdd
นางสาวฐิภา นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน แอนด์ ฟิวเจอร์ส จำกัด เปิดเผยว่า การรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ประจำเดือน พ.ย.ที่ออกมาเพียง 39,000 ตำแหน่ง ถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่เหนือความคาดหมายของตลาดอย่างมาก จากเดิมที่คาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะเพิ่มขึ้นถึง 140,000 ตำแหน่ง ได้สร้างความผิดหวังแก่ผู้กำหนดนโยบายของเฟดตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างมาก ซึ่งตัวเลขที่ออกมาดังกล่าวได้ผลักดันให้ราคาทองคำทะยานขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา จากที่นักลงทุนคาดการณ์มากขึ้นว่าเฟดจะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเกี่ยวกับการอัดฉีดเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ โดย เบน เบอร์นันเก้ ประธานเฟดได้ให้มุมมองว่าการใช้มาตรการ QE2 อาจมีมูลค่าสูงกว่า 6 แสนล้านดอลลาร์ พร้อมทั้งให้มุมมองที่เป็นลบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ ยิ่งกระตุ้นให้ทองคำเดินหน้าทำสถิติสูงสุดใหม่อีกครั้ง
นอกจากประเด็นดังกล่าวที่หนุนให้ราคาทองคำปรับตัวอย่างแข็งแกร่งแล้ว ราคาทองคำยังคงได้รับปัจจัยหนุนเดิมจากปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรปที่ยังไม่คลี่คลาย ในขณะที่ล่าสุด มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ได้ประกาศปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฮังการีลงสองขั้นสู่ระดับ Baa3 จาก Baa1 พร้อมทั้งให้แนวโน้มอันดับเครดิตเป็นลบและปัญหาความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีที่ยังคงเปราะบางต่อสถานการณ์ที่ไม่คาดหวังอยู่ตลอดเวลา ซึ่งทั้งสองประเด็นดังกล่าวถือได้ว่าเป็นปัจจัยหนุนของราคาทองคำที่แข็งแกร่งเช่นกัน ทำให้ทางวายแอลจีมองว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานที่ยังคงหนุนราคาทองคำอยู่เช่นนี้จะส่งผลให้การอ่อนตัวลงของราคาทองคำเป็นไปอย่างจำกัดและหากสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้นโอกาสที่ราคาทองคำจะไต่ระดับสูงกว่านี้ก็มีไม่น้อยเช่นกัน
นางสาวฐิภา กล่าวว่า สำหรับมุมมองในสัปดาห์นี้ทางวายแอลจีมีมุมมองเชิงบวกต่อการขยับขึ้นของราคาทองคำอีกครั้ง ภายหลังข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐข้างต้นได้สร้างความผิดหวังต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจแก่นักลงทุนทั่วทุกมุมโลก โดยทางวายแอลจีได้ปรับเปลี่ยนมุมมองสู่การไต่ระดับเป้าหมายเป็น 1,435 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (20,250 บาท) และ 1,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (20,480บาท) ในสัปดาห์นี้ ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงต่อการปรับขึ้นของราคาทองคำที่นักลงทุนควรจับตาอย่างใกล้ชิดซึ่งอาจทำให้ราคาไม่สามารถขยับขึ้นไปสู่เป้าหมายดังกล่าวได้ก็คือมาตรการควบคุมเงินเฟ้อและสภาวะฟองสบู่ของจีนซึ่งล่าสุดเริ่มมีกระแสข่าวว่าทางการจีนอาจมีการปรับดอกเบี้ยในช่วงสุดสัปดาห์นี้ ถึงแม้ว่าตอนนี้ยังไม่มีความชัดเจนต่อประเด็นดังกล่าวแต่นักลงทุนควรติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งหากทางการจีนมีการปรับดอกเบี้ยขึ้นจริงอาจส่งผลให้ราคาทองคำอ่อนค่าลงได้ นอกจากประเด็นของจีนแล้วนักลงทุนยังต้องระวังแรงขายทำกำไรของนักลงทุนกลุ่มเฮดจ์ฟันด์ที่มักจะมีการเทขายทำกำไรออกมาช่วงปิดไตรมาสหรือช่วงสิ้นปีเพื่อนำผลกำไรนั้นไปสร้างแรงจูงใจให้กับนักลงทุนในปีต่อไป
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำให้รอซื้อเมื่อราคาย่อตัวมาบริเวณแนวรับ 1,410 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (19,900 บาท) หรือ 1,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์(19,500บาท) ทั้งนี้หากราคาหลุดแนวรับ 1,380 ดออลาร์ต่อออนซ์แนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อทันทีสำหรับนักลงทุนที่ยังถือครองทองคำอยู่แนะนำรอขายบริเวณเป้าหมายข้างต้น