ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ชุดใหม่ “บ. ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่ระดับ “A/Stable”

ข่าวเศรษฐกิจ Wednesday December 8, 2010 14:21 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--8 ธ.ค.--ทริสเรทติ้ง บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศผลการจัดอันดับเครดิตให้แก่หุ้นกู้ไม่มีประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาทของ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “A” พร้อมทั้งคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกันชุดปัจจุบันของบริษัทที่ระดับ “A” เช่นกัน โดยแนวโน้มอันดับเครดิตยังคง “Stable” หรือ “คงที่” อันดับเครดิตสะท้อนถึงความหลากหลายของธุรกิจที่มีแบรนด์สินค้าและบริการเป็นที่ยอมรับซึ่งช่วยเสริมให้บริษัทมีสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาหารบริการด่วน และธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิตสินค้า นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการมีคณะผู้บริหารที่มีความสามารถ การเติบโตของธุรกิจโรงแรมและการบริหารโรงแรมในต่างประเทศ และโอกาสในการขยายธุรกิจอาหารบริการด่วนผ่านแฟรนไชส์ทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งดังกล่าวถูกลดทอนบางส่วนจากสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อธุรกิจอันเนื่องมาจากความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองภายในประเทศ รวมทั้งจากลักษณะของธุรกิจโรงแรมที่ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและถูกกระทบจากปัจจัยภายนอกได้ง่าย ตลอดจนลักษณะการแข่งขันที่รุนแรงและอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจจัดจำหน่าย บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการจำหน่ายหุ้นกู้ชุดใหม่ไปใช้ไถ่ถอนหุ้นกู้ชุดเดิมจำนวน 1,000 ล้านบาทที่จะครบกำหนดในวันที่ 8 ธันวาคม 2553 และส่วนที่เหลือจะนำไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนพื้นฐานการคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถรักษาความแข็งแกร่งของกระแสเงินสดจากการดำเนินงานเอาไว้ได้ ภายใต้สถานการณ์ความไม่แน่นอนในการดำเนินธุรกิจ ทริสเรทติ้งคาดหวังว่าบริษัทจะดำรงสภาพคล่องให้เพียงพอต่อการดำเนินงานและลงทุนในโครงการปัจจุบันด้วยกระแสเงินสดบางส่วน การที่บริษัทมีนโยบายในการเติบโตทั้งตามภาวะปกติของธุรกิจและโดยการซื้อกิจการจะเป็นปัจจัยกำหนดระดับภาระหนี้ของบริษัท ทั้งนี้ หากภาระหนี้สินของบริษัทเพิ่มอย่างต่อเนื่องและคงอยู่ในระดับที่สูงก็อาจส่งผลกระทบต่อสถานะเครดิตโดยรวมของบริษัทมากขึ้น ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนลก่อตั้งโดย Mr. William Ellwood Heinecke ในปี 2521 เพื่อดำเนินธุรกิจโรงแรมในประเทศไทย ตระกูล Heinecke เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทในสัดส่วน 33% ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริษัทมีการขยายกิจการโรงแรมอย่างต่อเนื่องจนถือได้ว่าเป็นผู้ประกอบการที่มีโรงแรมกระจายตัวมากที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย โดยมีโรงแรมในกลุ่มทั้งหมดจำนวน 32 แห่งด้วยจำนวนห้องพักรวมทั้งสิ้น 3,655 ห้องซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ และสถานที่ท่องเที่ยวชั้นนำทั้งในประเทศไทย อินโดนีเซีย มัลดีฟส์ ศรีลังกา แทนซาเนีย เคนยา สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเวียดนาม โรงแรมเหล่านี้บริหารและดำเนินงานภายใต้เครือโรงแรมที่เป็นที่รู้จักทั่วโลก เช่น Mariott และ Four Seasons และภายใต้เครือโรงแรมของบริษัทเองคือ Anantara, Elewana และ Naladhu ธุรกิจอาหารบริการด่วนของกลุ่มไมเนอร์ดำเนินการภายใต้การบริหารงานของบริษัทในเครือคือ บริษัท เดอะ ไมเนอร์ ฟู้ด กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (MFG) ซึ่งก่อตั้งในปี 2523 และเป็นผู้ให้บริการธุรกิจอาหารบริการด่วนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย MFG เป็นเจ้าของและผู้ประกอบการอาหารบริการด่วนแบบแฟรนไชส์ของต่างประเทศมากถึง 4 แบรนด์ ได้แก่ “สเวนเซ่นส์” “ซิซซ์เล่อร์” “แดรี่ ควีน” และ “เบอร์เกอร์ คิง” รวมทั้งยังบริหาร “เดอะ พิซซ่า คอมปะนี” “เดอะค็อฟฟีคลับ” และ “ไทยเอ็กเพรส” ซึ่งเป็นแบรนด์สินค้าของบริษัทเองด้วย โดย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 MFG มีร้านอาหารเปิดให้บริการรวม 690 แห่ง ตลอดจนร้านแฟรนไชส์และแฟรนไชส์ย่อยอีกประมาณ 443 แห่งทั้งในประเทศและต่างประเทศ ในช่วงกลางปี 2552 บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจและรวมกิจการของ บริษัท ไมเนอร์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (MINOR) ซึ่งประกอบด้วย แฟชั่น เครื่องสำอาง และโรงงานรับจ้างผลิตสินค้าเข้ามาอยู่ภายใต้เครือของบริษัท โดยมีแบรนด์สินค้าที่สำคัญ อาทิ Gap, Esprit, Bossini, Red Earth และ Bloom ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 บริษัทมีรายได้ (ไม่รวมเงินปันผลและรายได้อื่น ๆ) 13,116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการวมรายได้ของ MINOR เข้ามาทั้งไตรมาส ส่วนธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหารบริการด่วนมีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ 3% และ 4% ตามลำดับ โดยรายได้หลักมาจากธุรกิจอาหารบริการด่วนซึ่งคิดเป็น 56% รองลงมาเป็นธุรกิจโรงแรม 26% และธุรกิจจัดจำหน่ายและรับจ้างผลิต 15% อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ของบริษัทอยู่ที่ 14.9% ลดลงจาก 17.42% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลมาจากอัตรากำไรที่ต่ำของธุรกิจของ MINOR และอัตรากำไรที่ลดลงของธุรกิจโรงแรม โดยกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของธุรกิจโรงแรมอยู่ที่ 28% ลดลงจาก 30% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้รับผลกระทบอย่างมากจากความไม่สงบทางการเมืองในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 ซึ่งมีผลทำให้นักท่องเที่ยวต่างชาติและนักท่องเที่ยวในประเทศลดลง ส่งผลให้อุปสงค์ของการท่องเที่ยวลดลงโดยเฉพาะในกลุ่มของนักท่องเที่ยวระดับบน ในบรรดาโรงแรมของบริษัททั้งหมด โรงแรมภายใต้แบรนด์ Four Seasons ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยสาขาที่อยู่ในกรุงเทพฯ ต้องหยุดดำเนินการชั่วคราวเกือบ 1 เดือน อัตราการเข้าพักของโรงแรมภายใต้แบรนด์ Four Seasons ลดลงมาอยู่ที่ 15% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2553 เทียบกับ 35.7% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวที่ดีของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาสที่ 1 และ 3 ส่งผลทำให้อัตราการเข้าพักรวมของโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 อยู่ที่ 55% เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืนลดลงจากปีก่อนเล็กน้อยที่ 2% มาอยู่ที่ 4,716 บาทจากการแข่งขันด้านราคาที่รุนแรง ส่งผลทำให้รายได้ต่อห้องพักไม่เปลี่ยนแปลงมากนัก โดยอยู่ที่ 2,590 บาทต่อคืน ในส่วนของธุรกิจอาหารบริการด่วนและธุรกิจจัดจำหน่ายนั้น อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานก่อนค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่ที่ 15% และ 5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ตามลำดับ ทั้งนี้ คาดว่าผลการดำเนินงานรวมของบริษัทจะปรับตัวดีขึ้นในไตรมาส 4 ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลสูงสุดสำหรับทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 ภาระหนี้หลังปรับปรุง (ซึ่งรวมถึงสัญญาเช่าดำเนินงานและภาระผูกพันที่มีต่อบริษัทที่เกี่ยวข้อง) ของบริษัทอยู่ที่ 15,315 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,174 ล้านบาทจาก ณ สิ้นปี 2552 โดยภาระหนี้ที่สูงขึ้นนั้นส่วนหนึ่งเพื่อใช้ในการก่อสร้างโรงแรมและการลงทุน โดยบริษัทใช้เงินทุนไปแล้วทั้งสิ้น 3,784 ล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2553 ค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นการก่อสร้างโรงแรมเซ็นต์รีจีสในกรุงเทพฯ และโรงแรมอนันตรา คีฮาวาที่มัลดีฟส์ บริษัทคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้น 6,000 ล้านบาทในปี 2553 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนหลังการปรับปรุง ณ สิ้นเดือนกันยายน 2553 อยู่ที่ 54.12% เพิ่มขึ้นจาก 52.16% ณ สิ้นเดือนธันวาคม 2552 อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายลดลงเล็กน้อยแต่ยังอยู่ในระดับที่รับได้ที่ 6.89 เท่า ทริสเรทติ้งกล่าว บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) (MINT) อันดับเครดิตองค์กร: คงเดิมที่ Aอันดับเครดิตตราสารหนี้: MINT11OA: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2554 คงเดิมที่ AMINT129A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 1,840 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2555 คงเดิมที่ AMINT137A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,000 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2556 คงเดิมที่ AMINT149A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,060 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2557 คงเดิมที่ AMINT155A: หุ้นกู้ไม่มีประกัน 2,500 ล้านบาท ไถ่ถอนปี 2558 คงเดิมที่ Aหุ้นกู้ไม่มีประกันในวงเงินไม่เกิน 1,500 ล้านบาท ไถ่ถอนภายในปี 2560 A แนวโน้มอันดับเครดิต: Stable (คงที่)

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ