กรุงเทพฯ--9 ธ.ค.--ล็อกซเล่ย์
ล็อกซเล่ย์ เสริมศักยภาพอาณาจักรธุรกิจ เล็งเห็นโอกาสในการเติบโต ด้วยการขยายเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารและบริการอย่างเต็มรูปแบบ โดยการเปิดแผนยุทธศาสตร์ธุรกิจอาหารและบริการ นำโดยนายศรัณย์ สมุทรโคจร นักบริหารผู้มีประสบการณ์ในวงการ ประเดิมงานแรกจับมือเจ้าของแบรนด์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น ลงนามในสัญญารับสิทธิ์ผูกขาดเป็นเจ้าของแฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
นายศรัณย์ สมุทรโคจร กรรมการบริหาร บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด ในเครือบริษัท ล็อกซเล่ย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ล็อกซเล่ย์เป็นองค์กรใหญ่ และมีศักยภาพในการขยายตัวอย่างมาก โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ประกอบธุรกิจในรูปแบบต่างๆ ที่หลากหลาย ทั้งในส่วนของธุรกิจเทคโนโลยี ธุรกิจการจัดจำหน่าย และธุรกิจการบริการ ด้วยศักยภาพรวมไปถึงเครือข่ายในการดำเนินธุรกิจที่ล็อกซเล่ย์มีอยู่ ทำให้บริษัทฯเล็งเห็นถึงโอกาสและช่องทางเติบโตเข้าสู่ธุรกิจใหม่ โดยเชื่อมั่นว่าธุรกิจอาหารและบริการนี้ นอกจากจะสร้างความความเติบโตให้กับองค์กรแล้ว จะเป็นการเสริมศักยภาพที่มีอยู่ของล็อกซเล่ย์ให้แข็งแรงและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ยุทธศาสตร์ภาพรวมของธุรกิจอาหารและบริการของล็อกซเล่ย์นั้น เป็นการวางโมเดลทางธุรกิจสำหรับร้านอาหารที่สามารถเติบโตในรูปแบบแฟรนไชส์ได้ในอนาคต สำหรับแผนการที่วางไว้จะเป็นการผสมผสานกันระหว่างการนำแบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศมาขยายตลาด โดยล็อกซเล่ย์เป็นผู้ถือสิทธิ์ผูกขาดแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย มีทั้งการลงทุนและการสร้างแบรนด์ของล็อกซเล่ย์เอง และการลงทุนร่วมกันกับพันธมิตรจากต่างประเทศ
นายศรัณย์ กล่าวเสริมว่า เป้าหมายแรกของธุรกิจอาหารในเครือของล็อกซเล่ย์นั้น จะเป็นการรุกเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น เนื่องจากอาหารญี่ปุ่นมีความหลากหลายและได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคชาวไทย ดังนั้นจึงเป็นตลาดที่มีโอกาสและศักยภาพในการเติบโตสูง โดยการเข้าสู่ตลาดอาหารญี่ปุ่นของล็อกซเล่ย์นั้น จะเป็นการนำเสนอความหลากหลายผ่านแบรนด์ต่างๆ ที่มีรูปแบบอาหารที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนในหลายประเภท และในวันนี้เป็นการลงนามในสัญญามาสเตอร์แฟรนไชส์และเปิดตัวแบรนด์ที่ล็อกซเล่ย์ได้สิทธิ์ผูกขาดในประเทศไทยจำนวน 2 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ โดทงโบริ ซึ่งเป็นร้านอาหารประเภทเทปปันยากิ และ โอโคโนมิยากิ ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศญี่ปุ่น ด้วยจำนวนสาขากว่า 300 สาขา รวมไปถึงแบรนด์เท็ทสึเมน ราเม็ง ซึ่งเป็นร้านราเมงต้นตำหรับจากกรุงโตเกียว ด้วยจำนวนสาขากว่า 20 สาขาในกรุงโตเกียว
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนจะใช้งบประมาณในการลงทุนเบื้องต้นประมาณ 100 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายสำคัญในการเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบด้วยร้านแฟลกชิพขนาดใหญ่ ที่รวมทุกแบรนด์ภายใต้ล็อกซเล่ย์ไว้ด้วยกันเป็นร้านอาหารรูปแบบใหม่ มีกำหนดการเปิดแฟลกชิพแรกที่โครงการ เดอะ ไนน์ บนถนนพระรามเก้าตัดใหม่ในเดือนพฤษภาคม และแฟลกชิพแห่งที่สอง ที่โครงการเทอร์มินัล 21 บนถนนสุขุมวิทในเดือนกันยายนปี 2554
สำหรับแผนการในอนาคต การเติบโตหลักจะมาจากการขยายธุรกิจในรูปแบบแฟรนไชส์ โดยจะเริ่มต้นในปี 2555 และมีแผนการเปิดสาขาโดยเฉลี่ยปีละ 18-20 สาขา ซึ่งได้ตั้งเป้าไว้ที่จำนวน 180 สาขาภายในปี 2563
นายศรัณย์ กล่าวเสริมด้วยว่า ล็อกซเล่ย์มีความมั่นใจอย่างสูงในการขยายเข้าสู่ธุรกิจอาหารและบริการ เพราะนอกจากจะเป็นการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนแล้ว ยังเป็นการต่อยอดความร่วมมือกันระหว่างกลุ่มธุรกิจต่างๆ ภายใต้การบริหารงานของล็อกซเล่ย์ ไม่ว่าจะเป็น บริษัท ล็อกซเล่ย์ พร้อพเพอร์ตี้ เดเวลอปเมนท์ จำกัด ซึ่งดูแลการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ บริษัท ล็อกซเล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด ซึ่งมีศักยภาพและช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้า กลุ่มวัสดุก่อสร้าง กลุ่มเคมีภัณฑ์ และกลุ่มบริการ ซึ่งมีทรัพยากรพร้อมในการจัดสรรสินค้า อุปกรณ์และบริการต่างๆ ให้กับธุรกิจอาหารได้ ซึ่งการผนึกความร่วมมือภายในเครือล็อกซเล่ย์ดังกล่าว ถือเป็นข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันที่สำคัญส่วนหนึ่ง
“แผนการข้างต้นเป็นเพียงหนึ่งในยุทศาสตร์ของธุรกิจอาหารของล็อกซเล่ย์เท่านั้น บริษัทฯยังคงเดินหน้าศึกษาหาโอกาสและช่องทางในการดำเนินการธุรกิจอาหารและบริการในรูปแบบอื่นๆ ด้วยความพร้อมและศักยภาพที่มีอยู่อย่างเต็มที่ของล็อกซเล่ย์ต่อไป” นายศรัณย์กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-348-8630 จรัสแสง วนเวียน