PRIN มั่นใจหุ้น RO ขายเกลี้ยง ราคาล่อใจแค่หุ้นละ 1.50 บาท เปิดจองซื้อ 20 และ 23-26 เมษายน 2550

ข่าวทั่วไป Thursday April 19, 2007 17:24 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--19 เม.ย.--ปริญสิริ
ผู้บริหาร บมจ.ปริญสิริ มั่นใจหุ้นเพิ่มทุน 335 ล้านหุ้น ที่เปิดขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมในสัดส่วน 2 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 1.50 บาท ระหว่างวันที่ 20 ,23-26 เมษายน 50 ได้รับความสนใจคับคั่งแน่ เหตุราคาจูงใจเพียงหุ้นละ 1.50 บาท อีกทั้งมีเป้าหมายชัดเจนระดมทุนเพื่อขยายธุรกิจและเพิ่มมาร์เก็ตแชร์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับนักลงทุนในอนาคต ประเมินหลังขยายงานตามแผนจะผลักดันรายได้เติบโตก้าวกระโดดทะลุ 5,000 ลบ.ในปี 2551 จาก 2,900 พันลบ.ในปีที่ผ่านมา
นายนำชัย วนาภานุเบศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท ปริญสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ PRIN เปิดเผยถึงการเปิดจองหุ้นเพิ่มทุน จำนวนจำนวน335,000,000 หุ้น ที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัทฯ ซึ่งเปิดจองระหว่างวันที่ 20 และ 23-26 เมษายน 2550 ในสัดส่วนการจองซื้อ 2 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หุ้นสามัญใหม่ ในราคาขายหุ้นละ 1.50 บาทว่า เชื่อว่าหุ้นเพิ่มทุนจำนวนดังกล่าวของบริษัทฯ จะได้รับความสนใจจากผู้ถือหุ้นเดิมเป็นอย่างดีเนื่องจากราคาหุ้นเพิ่มทุนที่บริษัทฯกำหนดขายในราคาหุ้นละ 1.50 บาท ถือเป็นราคาที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับราคาหุ้นบนกระดานที่เคลื่อนไหวอยู่ใกล้เคียง 3 บาท ซึ่งการกำหนดราคาหุ้นเพิ่มทุนค่อนข้างต่ำในครั้งนี้เป็นเพราะบริษัทต้องการจูงใจให้ผู้ถือหุ้นเดิมใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนเพื่อลงทุนกับบริษัทฯต่อไปในระยะยาวต่อไป
ประกอบกับการเพิ่มทุนครั้งนี้ บริษัทฯต้องการระดมทุนเพื่อไปขยายธุรกิจ และเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งผลจากการลงทุนดังกล่าว จะสะท้อนไปยังผลประกอบการที่มีอัตราการเติบโตชัดเจนในอนาคต และเรื่องเหล่านี้เป็นผลดีกับผู้ถือหุ้นในระยะยาว
"เราขายหุ้นเพิ่มทุนครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อไปก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมจำนวน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท คือ โครงการThe Complete นราธิวาส โครงการ The Complete ราชปรารภ และโครงการ The Pulse พหลโยธิน หลังจากที่เริ่มเปิดโครงการแรกที่ลาดพร้าว และได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดี จนคอนโดฯขายหมดในเวลารวดเร็ว จึงทำให้เราตัดสินใจหันมาเปิดโครงการใหม่พร้อมกันทั้ง 3 โครงการดังกล่าว และจากโครงการที่มีมูลค่าการลงทุนค่อนข้างสูง หากบริษัทใช้วิธีการกู้เงินจากสถาบันการเงินแทนการเพิ่มทุนก็อาจจะทำให้อัตราหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับสูงจนเกินไป ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงดังกล่าว บริษัทจึงหันมาใช้วิธีการระดมทุนด้วยการเพิ่มทุนแทน และการเพิ่มทุนครั้งนี้ก็เพื่อขยายธุรกิจอย่างแท้จริง จึงมั่นใจได้ว่าการเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทจะได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่ชัดเจนในระยะยาว"
เขากล่าวอีกว่า ในปี 2550 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ที่ 4,000 ล้านบาทจากรายได้ 2,960 ล้านบาท ในปี 2549 โดยรายได้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด มาจากโครงการแนวราบ ที่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมาและเป็นโครงการใหม่ที่เปิดในปีนี้ ขณะที่ในปี 2551 จะเป็นปีที่บริษัทฯ รับรู้รายได้จากโครงการคอนโดมิเนียมทั้ง 3 โครงการ เป็นครั้งแรกซึ่งคาดว่าในปีดังกล่าวจะทำให้รายได้เติบโตทะลุ 5,000 ล้านบาทได้สำเร็จ
"ปัจจุบันถึงแม้ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ในช่วงชะลอตัว แต่ในทางกลับกันธุรกิจคอนโดมิเนียมกลับได้รับความนิยมจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยหลักมาจากประชาชนไม่ต้องการเดินทางในช่วงที่น้ำมันมีราคาค่อนข้างแพงจึงหันมาใช้ซื้อคอนโดฯ ที่อยู่บริเวณใจกลางเมืองแทนการขับรถกลับบ้านแถบชานเมือง ประกอบกับปัจจุบันคอนโดมิเนียมบริเวณใจกลางเมืองมีการคมนาคมเชื่อมโยงค่อนข้างสะดวกจากโครงการรถไฟฟ้า จึงทำให้อสังหาฯ ในรูปแบบคอนโดฯได้รับความนิยมจากประชาชนเป็นอย่างดี และการเข้ามาตอบรับกระแสความนิยมอย่างทันท่วงที ก็มั่นใจว่าจะทำให้บริษัทจะมีการเติบโตได้แต่ว่าเศรษฐกิจของประเทศจะอยู่ในช่วงชะลอตัวดังกล่าว"นำชัย กล่าว
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
ณัฐพงษ์ ใจแกล้ว 081-4010226 / 02-5549396

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ