กรุงเทพฯ--13 ธ.ค.--ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทร
“วันเพ็ญ เดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง...” เป็นเพลงรำวงที่ชาวไทยคุ้นหูมานานจากรุ่นสู่รุ่น และปัจจุบันยังคงเป็นเอกลักษณ์ถึงความสนุกสนาน ความสวยงามของกระทง และการแต่งกายแบบไทยๆ เมื่อใดก็ตามที่เข้าสู่เทศกาลนี้ ทุกคนต่างพร้อมใจไปลอยกระทงเพื่อขอขมาพระแม่คงคา แต่ยุคสมัยก็เริ่มเปลี่ยนไป คนรุ่นหลังอาจจะไม่ได้สัมผัสวิถีชีวิตวัฒนธรรมสมัยก่อน ดังนั้น ในปีนี้ ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทร ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จึงฉลองโอกาสครบ 30 ปี ด้วยการเนรมิตรบรรยากาศเทศกาลฤดูหนาวสมัยปี 2500 ให้ได้สัมผัส โดยมีกิจกรรมความบันเทิงต่างๆ ให้ทุกคนได้ร่วมสนุกตลอดคืนวันเพ็ญ ภายใต้แนวคิด “กระทง สายน้ำ กับความรักในวันวาน”
ผู้เที่ยวงานต่างมารอชื่นชมความงดงามของกระทงพระราชทานจาก พระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวฯ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ ซึ่งเป็นแบบฉบับกระทงไทยในพระราชสำนักที่หาชมได้ค่อนข้างยาก โดยมี พลอากาศเอกรังสันต์ ดิษฐบรรจง ผู้แทนพระองค์ เป็นประธานเปิดงาน “ลอยกระทงตามประทีป ศูนย์ศิลปาชีพ บางไทรฯ ประจำปี 2553” ณ ศาลาท่าชัยยุทธ มี นายณรงค์ อ่อนสอาด รองผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายธานินทร์ กรัยวิเชียร องคมนตรี และรองประธานกรรมการมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ คณะกรรมการจัดงานฯ และประชาชนอย่างล้นหลามให้การต้อนรับด้วยความปิติยินดี
อีกสิ่งหนึ่งที่ทุกคนต่างสนอกสนใจและชื่นชมในความงดงามตระการตาไม่แพ้กัน คือ การประกวดกระทงชิงถ้วยพระราชทานฯ ที่ใช้ภูมิปัญญาแบบไทยในการประดิษฐ์จากวัสดุธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม จนคณะกรรมการต่างหนักใจในการให้คะแนน ในที่สุดกระทงของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานพระนครศรีอยุธยา ก็ได้รับรางวัลชนะเลิศไปครอง ในชื่อผลงานว่า “ธารสิรินาครา” ถัดมา “ศิลปาชีพประทีปวิถีไทย”จากมหาวิทยาลัยราชภัฎวไลยอลงกรณ์ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และ“กระทงพุ่มข้าวบิณฑ์” จากกระทรวงพาณิชย์ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ถึงแม้ว่ากระทงอื่นๆจะไม่ได้รับรางวัล แต่ก็ทำให้ผู้มาเที่ยวงานประทับใจพร้อมถ่ายภาพเก็บไปเป็นที่ระลึกอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
เมื่อได้ชมความงดงามจากกระทงประกวดแล้ว ทำให้หลายคนรู้สึกอยากลอยกระทงขอขมาพระแม่ คงคาบ้าง ต่างก็พากันไปเป็นคู่จนถึงเป็นครอบครัวไปที่แนวตลิ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งศูนย์ศิลปาชีพ บางไทรฯ มี แท่นประทีปอธิษฐาน ให้ได้เปล่งวาจาบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และขอขมาพระแม่คงคา โดยบรรยากาศเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ความสนุกสนานและความโรแมนติกปนไปตามๆกัน
ก่อนจะไปย้อนวิถีชีวิตวันวานสมัยคุณพ่อคุณแม่ยังสาว ต้องผ่านโซนกิจกรรม Sacict Crafts Street ที่จัดโดยศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (ศศป.) ที่หลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ได้สินค้า ผลิตภัณฑ์ไทยๆงดงาม คุณภาพระดับส่งออก แถมยังได้ร่วมสนุกลุ้นของรางวัลอีกด้วย ทั้งกันนี้ยังมีช่วงเวลานาทีทอง 21.30 น. ลดราคาสินค้าถึง 50% นับได้ว่าได้ของดีราคาถูกกันไปหลายต่อหลายคนกันเลยทีเดียว
ความเก่าที่ยังคงคลาสสิก วิถีชีวิตวันวานสมัยก่อน ถูกเนรมิตมาอยู่ที่ “โซนบางไทรสโมสร” ตั้งแต่ ประตูบ้าน ประตูร้านค้า ห้องภาพยุคเก่า ห้องเสื้อ ธนาคาร เป็นบรรยากาศสบายๆให้ผู้มาท่องเที่ยวได้ตื่นตา ตื่นใจกับบรรยากาศ ถ่ายภาพเป็นที่ระลึก และยังทำให้เด็กรุ่นหลังได้เรียนรู้วัฒนธรรม วิถีชีวิตในสมัยนั้นได้อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องใช้ต่างๆ ขนมยุคเก่า โดยทั้งหมดสร้างความสนุกให้แก่ผู้มาเที่ยวงานซึมซับบรรยากาศดีๆ เพลิดเพลินไปกับวงดนตรีเล็กๆ เหมือนกับได้ย้อนยุคมาในสมัยปี 2500 เลยทีเดียว
ไม่เพียงแต่จำลองสถานที่เอาใจคุณพ่อคุณแม่ยังสาวในปี 2500 ให้ได้เดินเที่ยวชมเท่านั้น ยังมีเพลงดังเมื่อวันวานให้ได้เพลิดเพลินใจกับ เวทีการแสดงดนตรีจากสุนทราภรณ์วงใหญ่ โดยมี รอง เค้ามูลคดี และ วีณา เตวัฒตานนท์ มาดำเนินรายการ ทั้งยังได้อิ่มอร่อย กับอาหารรสเลิศ ท่ามกลางบรรยากาศโรแมนติก ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา สมกับการย้อนวันวานของคุณพ่อคุณแม่ยังสาวเสียจริง
ส่วนทางด้านเวทีหลักไม่น้อยหน้า มีกิจกรรมบันเทิงต่างๆมากมาย เริ่มตั้งแต่ การประกวดหนูน้อยนพมาศ โดยมี บ๊วย-เชษฐวุฒิ วัชรคุณ และ เล็ก-ฝันเด่น จรรยาธนากร เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ด้วยความน่ารัก ไร้เรียงสาของเด็กๆ สามารถสร้างรอยยิ้มให้แก่พิธีกร คณะกรรมการและผู้มาเที่ยวงานได้อย่างมาก ตั้งแต่การเดินโชว์ตัว การตอบคำถามของน้องๆ 3 คนสุดท้าย โดยก่อนที่จะประกาศผล พิธีกรได้ถามหนูนพมาศเล่นๆว่า “โตขึ้นหนูอยากจะเป็นอะไร” หนูน้อยหมายเลข 8 จึงตอบไปว่า “อยากเป็นผู้ใหญ่ค่ะ” ทำให้พิธีกรอึ้ง รวมทั้งคณะกรรมการและผู้ชมที่คอยให้กำลังใจต่างหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และแล้วในความน่ารักเป็นธรรมชาติมีความมั่นใจเป็นตัวของตัวเอง ทำให้หนูน้อย อมีเลีย พาริส กู๊ดเฟโลว์ ชนะใจกรรมการ ได้รับรางวัลชนะเลิศไปครองถ้วยเกียรติยศจากศูนย์ศิลปาชีพ บางไทรฯ และเงินรางวัลทั้งสิ้น 25,000 บาท ถัดมาคือหมายเลข 4 ด.ญ.นันนภัส แก้วงาม ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 เงินรางวัลทั้งสิ้น 15,000 บาท และหมายเลข 10 ด.ญ.ปวีรา เอเชีย เจริญภูมิ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 เงินรางวัลทั้งสิ้น 10,000 บาท หลังจากได้ชมความน่ารัก ความสดใสของหนูน้อยนพมาศไปแล้ว ตอนนี้ก็เป็นคิวของวัยรุ่นให้ได้สนุกต่อกับหนุ่มๆ วง C-Quint ก่อนที่จะไปชมความสวยงามจากการประกวดนางนพมาศ
ช่วงการประกวดนางนพมาศเป็นช่วงที่หลายคนอยากจะชมความสวยงาม และลุ้นว่าใครจะได้เป็นนางนพมาศประจำปีนี้ โดย ทิน โชคกมลกิจ และ เปิ้ล-จริยดี ธรรมวิทย์ เป็นพิธีกรดำเนินรายการ ด้วยความสง่างามสมค่า “นางในแห่งราชสำนักอโยธยา” ทำให้คณะกรรมการหนักใจในการตัดสินเพราะแต่ละคนสวยไม่น้อยหน้ากันเลยทีเดียว จนถึง 3 คนสุดท้าย ตัดสินจากการตอบคำถาม ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ความมั่นใจ และความสง่าทำให้ หมายเลข 19 น.ส. ศุภัสรา ชมพูศรี ได้ตำแหน่งรางวัลชนะเลิศ รับรางวัลพระราชทานในสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และเงินรางวัลทั้งสิ้น 100,000 บาท ถัดมาหมายเลข 20 น.ส. ปรางรวี บุญหิรัญ ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 และเงินรางวัลทั้งสิ้น 30,000 บาท และ หมายเลข 12 น.ส. ศศิวิมล สุดสวาท ได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 และเงินรางวัลทั้งสิ้น 20,000 บาท
หลังจากนั้น ขนมจีน โปงลางสะออน ไมค์ ภิรมย์พร และอาภาพร นครสวรรค์ ก็มามอบความสนุกให้แก่ผู้เที่ยวงานจนถึงตี 2 ของวันใหม่ สร้างความประทับใจ สนุกสนาน ทั้งยังซึบซับบรรยากาศเก่าๆ เก๋ๆ ที่หาดูได้ยาก ซึ่งรับรองได้ว่าปีหน้าจะมีกิจกรรมดีๆให้นักท่องเที่ยวได้มาสนุกสนานกันอีกแน่นอน