อียูปรับปรุงระเบียบ RoHS

ข่าวทั่วไป Wednesday December 15, 2010 14:37 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--15 ธ.ค.--คต. นายสุรศักดิ์ เรียงเครือ รองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๙ เป็นต้นมา อียูได้บังคับใช้ระเบียบ (RoHs) หรือระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารอันตรายบางชนิดในสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสารอันตรายดังกล่าว ได้แก่ ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม โครเมียมเฮกซาวาเลนซ์ (Cr-VI) โพลิโบรมิเนทเต็ด ไบฟินิล (polybrominated biphynyles : PBB) และโพลีโบรนิเนทเต็ด ไดฟินิลอีเทอร์ (polybrominated diphymylethers : PBDE) ต่อมาได้มีการปรับปรุงระเบียบดังกล่าว และเมื่อวันที่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ รัฐสภายุโรป ลงมติผ่านร่างระเบียบว่าด้วยการจำกัดการใช้สารอันตรายบางประเภทในผลิตภัณฑ์ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (RoHS) ฉบับปรับปรุงใหม่ เพื่อให้มีการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สำหรับระเบียบฉบับเก่า จะยังมีผลบังคับใช้อยู่ต่อไปจนกว่าจะครบกำหนด ๑๘ เดือน (ประมาณกลางปี ๒๕๕๕) ฉบับใหม่จึงจะถูกนำมาใช้แทน สรุปสาระสำคัญได้ ดังนี้ ๑. ทบทวนหรือปรับปรุงรายการสารเคมีต้องห้าม รวมทั้งข้อยกเว้นต่าง ๆ จะพิจารณาบนพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ลดภาระของผู้ผลิตในการประเมินความสอดคล้อง รวมถึงปรับปรุงกฎระเบียบให้สอดคล้องกับกฎหมายภายในของ EU เช่น ระเบียบ REACH หรือ CE Mark ๒. ขยายขอบเขตให้ครอบคลุมสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าฯ ทุกชนิด รวมทั้งกลุ่มสินค้าที่เคยได้รับการยกเว้นในระเบียบฉบับเดิม เช่น เครื่องมือควบคุมและเครื่องมือทางการแพทย์ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการกลุ่มสินค้าที่เคยได้รับยกเว้นยังไม่ต้องปฏิบัติตามระเบียบ RoHs ฉบับใหม่ โดยจะมีเวลาปรับตัว ๘ ปี ๓. กำหนดหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องตลอดห่วงโซ่การผลิต โดยจะมีกลไกในการตรวจสอบซึ่งกันและกัน เช่น ผู้ผลิตมีหน้าที่จัดระบบการผลิตภายใน มีการตรวจประเมินระบบ หลังจากนั้นจะต้องออกเอกสารแสดงความสอดคล้อง (Self Certify) พร้อมติดเครื่องหมาย CE Mark บนสินค้าสำเร็จรูป นั้น ๆ เป็นต้น ๔. กำหนดคำนิยามให้มีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อสร้างความมั่นใจว่ามีการนำระเบียบมาใช้อย่างถูกต้องตรงกันทั่วสหภาพฯ ระเบียบฉบับปรับปรุงดังกล่าว ต้องได้รับความเห็นชอบอย่างเป็นทางการจากคณะมนตรียุโรปก่อน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ ๒๐ วัน หลังจากตีพิมพ์ใน Official Journal ของสหภาพยุโรป โดยประเทศสมาชิกมีเวลา ๑๘ เดือนในการนำไปกำหนดเป็นกฎหมายเพื่อบังคับใช้ภายในประเทศตน นายสุรศักดิ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ไทยส่งออกเครื่องใช้ไฟฟ้า และ อิเล็กทรอนิกส์ไป EU โดยเฉลี่ย (๒๕๕๐ — ๒๕๕๒) มูลค่ารวม ๒๕๓,๒๒๕ ล้านบาท และในปี ๒๕๕๓ (ม.ค. — ต.ค.) ส่งออกมูลค่า รวม ๒๐๔,๒๐๖ ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ ๑๖.๒๘ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี ๒๕๕๒ ผู้สนใจสามารถค้นหารายละเอียดเพิ่มเติมได้จากเว็บไซต์ ที่มา : สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงบรัสเซลส์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ