กรุงเทพฯ--17 ธ.ค.--วี-คูล คอร์ปอเรชั่น
วี-คูล คอร์ปอเรชั่น เดินหน้าพัฒนาตลาดฟิล์มกรองแสงรถยนต์
- พร้อมสร้างอาณาจักรใหม่ หลังแยกกันทำตลาด
- ตั้งเป้าเติบโต 30% ในปีหน้า
บริษัท วี-คูล คอร์ปอเรชั่น จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในสองผู้แทนจำหน่ายฟิล์มกรองแสงรถยนต์ วี-คูล อย่างเป็นทางการในประเทศไทย พร้อมพัฒนาตลาดฟิล์มกรองแสงรถยนต์ ภายหลังจากการแบ่งพื้นที่ให้บริการที่ชัดเจน โดยตั้งเป้าอัตราเติบโตของยอดขาย 30% เมื่อเปรียบเทียบกับยอดขายในปีนี้
นายกนต์ธร จตุรภัทรพนิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี-คูล คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่าขณะนี้ตนได้ตั้งบริษัทฯ ด้วยทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท เพื่อรับผิดชอบด้านการขาย การตลาดและการบริการหลังการขายในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคใต้ และกรุงเทพมหานคร โดยมีดีลเลอร์สังกัดทั้งสิ้น 32 แห่ง แบ่งเป็นดีลเลอร์ภาคเหนือ 10 แห่ง ภาคใต้ 9 แห่งและ 13 แห่งในกรุงเทพมหานคร
นายกนต์ธรกล่าวว่าการแยกการดำเนินธุรกิจครั้งนี้ จะสร้างความชัดเจนในหลายเรื่องได้แก่การดูแลและสนับสนุนดีเลอร์อย่างใกล้ชิด การสร้างสรรค์นโยบายใหม่ ๆ เช่นนโยบายส่งเสริมการขาย นโยบายส่งเสริมการตลาด นโยบายการเปิดตัวการบริการใหม่ ๆแก่ผู้บริโภค เป็นต้น
“การแยกพื้นที่กันอย่างชัดเจนครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อผลิตภัณฑ์วี-คูลในประเทศไทยโดยตรง เพราะการแยกกันครั้งนี้ เท่ากับวี-คูลจะเพิ่มทีมขายอีกเท่าตัวจากแต่ละบริษัทที่แยกตัวออกมา” นายกนตธรกล่าว
นายกนต์ธรกล่าวว่าเพื่อเป็นการสนับสนุนดีลเลอร์ วี-คูล คอร์ปอเรชั่น กำลังดำเนินการก่อสร้างศูนย์บริการและศูนย์ฝึกอบรมบนพื้นที่1ไร่ บนถนนบางนา-ตราด โดยใช้งบลงทุนทั้งสิ้น 5 ล้านบาท พร้อมเปิดให้บริการภายในต้นปี 2554 ซึ่งศูนย์บริการและศูนย์ฝึกอบรมดังกล่าวจะเน้นการให้ความรู้และเทคนิคการให้บริการแก่ดีลเลอร์ อีกทั้งจะเป็นศูนย์บริการต้นแบบให้แก่ดีลเลอร์นำไปเป็นต้นแบบในการปรับปรุงศูนย์บริการของตนเอง โดยที่ศูนย์บริการและศูนย์ฝึกอบรมดังกล่าวจะไม่เน้นการขายตรงไปยังผู้บริโภค แต่จะเน้นให้บริการรถยนต์จากค่ายรถยนต์โดยตรงหรือตลาด OEM
นอกจากนั้น บริษัทฯ ยังพร้อมสนับสนุนดีลเลอร์ในสังกัดทั้งในส่วนของการสนับสนุนด้านตลาด การส่งเสริมการขาย การบริการหลัง การขายและอื่น ๆ เพื่อให้ดีลเลอร์ทั้งในภาคเหนือ ภาคใต้และกรุงเทพมหานคร สามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่ร่วมกำหนดกับบริษัท วี เค เอส ทินท์ จำกัดไม่ต่ำกว่า 30% เมื่อเปรียบเทียบกับปีนี้
“การแยกการดำเนินการครั้งนี้ นอกจากจะส่งผลดีต่อภาพรวมของวี-คูลแล้ว ยังจะทำให้เราสามารถบริการและประสานงานกับดีลเลอร์แต่ละรายได้อย่างใกล้ชิดขึ้น อีกทั้งยังทำให้เราสามารถสื่อสารให้เข้าใจและเข้าถึงความต้องการของดีลเลอร์ของเราอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน เราเองก็มีความคล่องตัวที่จะรุกการให้บริการความรู้ในด้านเทคโนโลยีของผลิตภัณฑ์และสนับสนุนในด้านการตลาดให้กับพันธมิตรของเราเช่นโชว์รูมรถยนต์ เป็นต้น” นายกนต์ธรกล่าว
“ผมได้เดินสายชี้แจงการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้กับดีลเลอร์ในสังกัดของเราทั่วประเทศในงานประชุมดีลเลอร์เมื่อเดือนที่แล้ว อีกทั้งยังนำผู้แทนจาก วี-คูล อินเตอร์เนชั่นแนลไปเยี่ยมดีลเลอร์ของเราเมื่อเร็ว ๆ นี้เพื่อเป็นการยืนยันว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ บริษัทแม่ที่เมืองนอกรับรู้และเห็นด้วย” นายกนต์ธรกล่าว
นายกนต์ธรกล่าวในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท วี เค เอส ทินท์ จำกัด ว่าฟิล์มกรองแสงรถยนต์วี-คูล เปิดตัวครั้งแรกในตลาดประเทศไทยเมื่อปี 1994 โดยมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตรา 10 — 15% ต่อปี อย่างไรก็ตามในปีนี้ตลาดรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ระดับราคาแพง มีอัตราเติบโตสูง จึงทำให้ยอดขาย วี-คูล ในประเทศไทยปีนี้ มีอัตราเติบโตประมาณ 50% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่แล้ว
สำหรับตลาดฟิล์มกรองแสงในประเทศไทยนั้น นายกนต์ธรกล่าวว่าจะยังคงมีอัตราเติบโตในระดับสูงต่อไปในระยะ 1 — 2 ปีข้างหน้า จึงทำให้ วี-คูล อินเตอร์เนชั่นแนล ให้การสนับสนุนการแยกการดำเนินงานออกเป็น 2 บริษัทย่อยเพื่อช่วยกันผลักดันยอดขายให้เติบโตได้อย่างรวดเร็ว
“ปัจจุบัน วี-คูล มีส่วนแบ่งการตลาดในตลาดฟิล์มกรองแสงรถยนต์อยู่ประมาณ 5% ของขนาดตลาดรวม หรือประมาณ 30% ของมูลค่าตลาดรวม” นายกนต์ธรกล่าว
นายกนต์ธรกล่าวว่าเพื่อตอบสนองนโยบายบริษัท วี เค เอส ทินท์ จำกัด ในการขยายตลาดในประเทศไทยบริษัท วี-คูล คอร์ปอเรชั่น จำกัด พร้อมจะพัฒนาและยกระดับดีลเลอร์ทั่วประเทศให้เติบโตไปพร้อม ๆ กับบริษัทฯ อีกทั้งยังพร้อมที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ในประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์วี-คูลที่จำหน่ายในประเทศไทยมีเพียง 7 ผลิตภัณฑ์เท่านั้น ในขณะที่ผลิตภัณฑ์ฟิล์มกรองแสงรถยนต์ของวี-คูลทั่วโลกมีมากถึง 70 ผลิตภัณฑ์