กรุงเทพฯ--22 ธ.ค.--กระทรวงพลังงาน
ร้อยตรี ดร.ประพาส ลิมปะพันธุ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เป็นประธานพิธีมอบหลอดผอมเบอร์ 5 ให้กับจังหวัดพิจิตรโดยมีนายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เป็นผู้รับมอบ
เมื่อวันที่ 22 ธ.ค. 53 ร้อยตรี ดร. ประพาส ลิมปะพันธุ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยภายหลังเป็นประธานในพิธีมอบหลอดผอมเบอร์ 5 ให้กับจังหวัดพิจิตรว่า “กระทรวงพลังงานปรับเปลี่ยนหลอดไฟของศาลากลางจังหวัดพิจิตรเป็นหลอดผอมเบอร์ 5 จำนวน 3,000 หลอด ซึ่งจะช่วยลดงบประมาณในการจ่ายค่าไฟฟ้าได้ถึง 380,000 บาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 62 ตันต่อปี อันจะเป็นตัวอย่างอาคารภาครัฐที่มีการส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน และลดภาวะโลกร้อน โอกาสนี้ จึงขอความร่วมมือร่วมใจจากข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของศาลากลางจังหวัดพิจิตรทุกท่าน ได้ดำเนินการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่อาคารอื่นๆ และประชาชนทั่วไปด้วย”
นายสุวิทย์ วัชโรทยางกูร ผู้ว่าราชการจังหวัดพิจิตร เปิดเผยว่า “ปัจจุบันการใช้พลังงานในอาคารศาลากลางจังหวัดฯ ส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก โดยในปี 2552 มีการใช้พลังงานไฟฟ้าประมาณ 720,000 หน่วยต่อปี คิดเป็นค่าใช้จ่ายประมาณ 2,600,000 บาทต่อปี ซึ่งหากแบ่งตามสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าตามระบบต่างๆ พบว่าใช้ในระบบปรับอากาศร้อยละ 60 ระบบแสงสว่างร้อยละ 20 และระบบอื่นๆ เช่น อุปกรณ์สำนักงาน ลิฟต์ ปั๊มน้ำ ฯลฯ ร้อยละ 20 การดำเนินการเรื่องการประหยัดพลังงานที่ผ่านมา จังหวัดฯ ได้รับความช่วยเหลือจากหน่วยงานของกระทรวงพลังงาน ได้แก่ กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน (พพ.) และสำนักงานพลังงานจังหวัดพิจิตร ในการเผยแพร่ความรู้ในหลายๆ เรื่อง เช่น การใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด การจัดทำแผนพลังงานชุมชน เป็นต้น และยังได้รับความอนุเคราะห์จากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) เข้ามาปรับเปลี่ยนหลอดผอมแบบเดิมเป็นหลอดผอมเบอร์ 5 ซึ่งช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตการทำงานของข้าราชการ และประชาชนผู้มาติดต่อใช้บริการให้ดียิ่งขึ้น”
กระทรวงพลังงานจะปรับเปลี่ยนอุปกรณ์หลอดฟลูออเรสเซนต์เดิม เป็นหลอดผอมเบอร์ 5 ในอาคารภาครัฐ รวม 680 แห่ง นอกจากนี้ ยังจัดทำ “โครงการส่งเสริมและกำกับดูแลอาคารควบคุมภาครัฐ” เพื่อให้สนับสนุนและช่วยเหลืออาคารควบคุมที่เป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานอิสระ รวมประมาณ 800 แห่ง ให้สามารถดำเนินการอนุรักษ์พลังงานได้ถูกต้องและครบถ้วนตามกฎหมาย โดยคาดว่า หลังจากเสร็จสิ้นโครงการดังกล่าวแล้ว ในปี 2554 จะสามารถประหยัดพลังงานได้เทียบเท่าน้ำมันดิบประมาณ 25,000 ตัน คิดเป็นมูลค่า 620 ล้านบาทต่อปี และลดการปลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 147,000 ตันต่อปี