“DHC” เผยผลประกอบการ ปี 2549 พร้อมตั้งเป้าปีนี้ 500 ล้าน รุกตลาดเครื่องสำอางเต็มที่ ลั่นปีนี้ยังครองแชมป์อันดับ 1 Beauty Delivery’’

ข่าวทั่วไป Friday January 26, 2007 14:07 —ThaiPR.net

กรุงเทพฯ--26 ม.ค.--กนกรัตน์ แอนด์ เฟรนด์
บริษัท DHC (ประเทศไทย) จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่าย เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิว จากประเทศญี่ปุ่น จัดงานแถลงข่าว ผลประกอบการประจำปี 2549 และเปิดเผยนโยบายทางการตลาด ประจำปี 2550 โดยมีผู้บริหารระดับสูงของบริษัท DHC ที่เข้าร่วมการแถลงข่าวในครั้งนี้ คือ คุณทรรศนีย์ รัตนเรืองไร ประธานบริษัท DHC (ประเทศไทย) จำกัด, คุณวิศาล เมฆสมณะศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ และคุณอาภรณ์ ทรัพย์มนชัย หัวหน้าฝ่ายการตลาด
คุณทรรศนีย์ รัตนเรืองไร ประธานบริษัท DHC (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการเติบโตของธุรกิจเครื่องสำอางเป็นตลาดที่ใหญ่และมีการเติบโตสูง ซึ่งก็นำมาสู่การแข่งขันที่สูงตามไปด้วย ทั้งนี้เนื่องจากคนยุคใหม่ให้ความสำคัญในการดูแลตัวเองมากขึ้นเพราะจะส่งผลในด้านของภาพลักษณ์,บุคลิกซึ่งจะเป็นการเพิ่มความมั่นใจให้กับตัวเอง อย่างไรก็ตามเครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์ดูแลผิวของ DHC ซึ่งเป็นแบรนด์ที่นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่นตั้งแต่ปี 2547 ได้รับการตอบรับจากลูกค้าในประเทศไทยเป็นอย่างดี ทั้งนี้วัดได้จากอัตราการเติบโตของยอดขายซึ่งเพิ่มขึ้นทุกปี คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ่นประมาณปีละ 20 เปอร์เซ็นต์โดยเฉลี่ย ในปีที่ผ่านมาผลประกอบการโดยรวมมียอดขายรวมมูลค่า 450 ล้านบาท มีจำนวนสมาชิก 60,000 คน ซึ่งถือว่าบรรลุเป้าหมายทางการตลาดที่ตั้งไว้ จึงถือได้ว่า DHC เป็นบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วในตลาด Cosmetic & Skincare ความสำเร็จที่ผ่านมาคิดว่าเป็นผลจากการที่ได้นำผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ มอบให้กับผู้บริโภคคนไทย ประกอบกับการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างครบวงจรมาโดยตลอด สำหรับในปี2550นี้ เราตั้งเป้าของยอดขายไว้ที่ 500 ล้านบาท และด้านจำนวนสมาชิก ตั้งเป้าไว้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 75,000-80,000 คน คุณทรรศนีย์ กล่าวปิดท้าย
คุณวิศาล เมฆสมณะศักดิ์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ กล่าวถึง การพัฒนาระบบการจัดจำหน่ายว่าจากการที่ ทางบริษัท DHC ได้นำระบบการขายแบบ Beauty Delivery มาใช้เป็นช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าเป็นเจ้าแรก ในเมืองไทย ทำให้ผู้บริโภคได้รับประโยชน์จากการซื้อสินค้าที่มีคุณภาพสูงในราคาที่ไม่แพงเกินไป อีกทั้งระบบ Beauty Delivery ของ DHC นั้นเป็น
ระบบแบบ Express Service จะนำส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งเป็นการเพิ่มความสะดวกและช่วยประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในเรื่องการเดินทางและเหมาะกับวิถีการดำเนินชีวิตของคนไทยในยุคปัจจุบัน นอกจากนี้ ลูกค้าทั่วประเทศสามารถโทรขอคำปรึกษาเกี่ยวกับสินค้าและความงามผ่านทาง Call Center ซึ่งได้รับการฝึกอบรมจากผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงามจากญี่ปุ่นให้มีความชำนาญด้านความงามและการดูแลผิวด้วย
เจ้าหน้าที่ Call Center ของเราจะไม่ได้เป็นเพียงพนักงานรับสั่งสินค้า แต่เราเรียกว่า Beauty Consultant ที่ให้คำแนะนำผ่านทาง Call Center สำหรับลูกค้าทั่วประเทศซึ่งจะให้คำปรึกษาด้านความงาม, การให้คำปรึกษาด้านผิวพรรณ พร้อมทั้งแนะนำวิธีการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและเครื่องสำอาง DHC และได้มีการนำระบบ ไอที ที่มีประสิทธิภาพ มาใช้สนับสนุน เพื่อเสริมศักยภาพช่องทางการจัดจำหน่ายให้มากขึ้น ประกอบกับมีการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ Call Center โดยการพัฒนาให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในด้านการตอบคำถามเกี่ยวกับผิวพรรณรวมถึงการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวให้กับลูกค้าด้วยมารยาทที่ดี โดย DHC จะจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญด้านผิวพรรณและความงามจากญี่ปุ่นมาเป็น Trainer ให้กับเจ้าหน้าที่ Call Center อย่างต่อเนื่อง
จากการที่ DHC เป็นระบบการจัดจำหน่ายแบบ Call Center จึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญทางด้าน ไอทีและมีการลงทุนเพิ่มในด้านระบบ ซอฟแวร์ เป็นเงินทั้งสิ้น 40 ล้านบาท ,ฮาร์ดแวร์ 25 ล้านบาท เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจในการบริการให้ได้มาตรฐาน โดย DHC ถือเป็นข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าคู่แข่งอย่างชัดเจนในด้านระบบ คุณวิศาล กล่าวต่อไปว่าทาง DHC ได้มีการจัดทำ ระบบ Tracking ซึ่งเป็นระบบตรวจสอบว่าขณะนี้ขั้นตอนของการจัดส่งสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคอยู่ในขั้นตอนใด อีกทั้งก่อนจัดส่งสินค้า เจ้าหน้าที่ฝ่าย Logistic Center จะมีการโทรเช็คความสะดวกกับลูกค้า ทั้งที่อยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก่อนเสมอ นอกจากนี้ในช่วงกลางปี 2549 ที่ผ่านมา DHC ได้เพิ่มช่องทางจัดจำหน่ายทาง Web Site ( www.dhc.co.th ) เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าให้มากขึ้น และยังเป็นศูนย์ข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ให้ลูกค้าได้หาข้อมูลก่อนสั่งซื้ออีกด้วย
ปลายปีที่ผ่านมาเรายังมีเพิ่มช่องทางการขายโดยการขายผ่านร้านค้าปลอดภาษีของ King Power ทั้งที่สำนักงาน ถนนรางน้ำและท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งก็ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้บริโภค และการเปิดเคาน์เตอร์ในสถานที่ดังกล่าวเป็นการเสริมภาพลักษณ์ของ DHC ให้เกิด
ความเป็น International brand มากขึ้นอีกทั้งยังเป็นการเพิ่ม Sales Volume ส่วนช่องทางโมเดรินน์เทรด มีการจัดจำหน่ายสินค้าผ่าน Premium Supermarket ได้แก่ ฟูจิซุปเปอร์ 2 สาขา, อิเซตัน ท๊อปส์ฟู๊ดฮอล์, วิลล่า อย่างไรก็ตามสินค้าที่ขายใน Premium Supermarket เหล่านี้จะเป็น SKU ที่ต่างกับที่ขายในระบบ Delivery คือจะเป็น Convenience size หรือสินค้าขนาดพกพา เพื่อให้ลูกค้าที่สนใจสามารถซื้อมาทดลองใช้ได้สะดวกยิ่งขึ้น คุณวิศาล กล่าว
คุณอาภรณ์ ทรัพย์มนชัย หัวหน้าฝ่ายการตลาด บริษัท DHC (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า กลุ่มเป้าหมายหลักของ DHC เป็นกลุ่มผู้หญิงทำงาน อายุ 25-35 ปี และในปัจจุบันทาง DHC ได้ขยายตลาดไปสู่ กลุ่มลูกค้าผู้ชาย ที่สนใจและดูแลผิวพรรณ โดยมี ผลิตภัณฑ์ For Men ที่เหมาะกับผู้ชายวัยทำงาน ที่สะดวกในการโทรสั่งมากกว่าการออกไปซื้อด้วยตัวเอง ซึ่งทางบริษัทได้จัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดโดยเน้น Integrated Marketing Communication ทั้ง Above the Line/ Below the Line ด้วยวัตถุประสงค์ 4 ประการด้วยกันคือ
1. เน้นการสร้าง Brand ให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมาย
2. เน้นการสร้างความเชื่อมั่นใน Brand โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณภาพของสินค้าและบริการ
3. เน้นการสร้างความเชื่อมั่นของระบบการขายแบบ Beauty Delivery ซึ่งก็ยังถือว่าเป็นสิ่งที่ใหม่ สำหรับคนไทย
4. เน้นการ รักษาฐานลูกค้าเดิม และการขยายฐานลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ มากขึ้น
ในส่วนของการสร้าง Brand และผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่รู้จักนั้น เราได้ทำหนังโฆษณาชุดใหม่ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในตอนท้ายของหนังก็จะเน้น DHC Jingle เสมอเพื่อสร้างการจดจำต่อ DHC Call Center 02-3536-333
ในปีที่ผ่านมาเราได้ใช้กลยุทธ์ต่างๆ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่าและขยายกลุ่มลูกค้าใหม่โดยการจัดกิจกรรมพิเศษ อาทิ Movie Marketing ที่ได้จัด Exclusive Movie Preview ขึ้นสำหรับลูกค้าของ DHC โดยเฉพาะ ซึ่งได้รับการตอบรับจากลูกค้าของเราเป็นอย่างมาก
DHC ได้จัดทำ Olive Club Magazine ให้ผู้บริโภคได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และสามารถเลือกจับจ่ายสินค้าได้ด้วยตนเอง โดยไม่ถูกโน้มน้าวหรือมีแรงผลักดันจากพนักงานขาย นอกจากนี้Olive Club Magazine เป็นเหมือน Magazine มากกว่า Catalog สินค้า โดยการให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ลูกค้าในด้านต่าง ๆไม่ว่าจะเป็นความงาม สุขภาพ และเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆ
กลยุทธ์ในปี2550นี้ยังคงเป็น
การเน้นการสร้างการจดจำในแบรนด์ โดยการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ
การขยายฐานลูกค้าไปยังต่างจังหวัดโดยการจัด Road show มากขึ้น
การเสริมสร้าง Call Center Service ให้แข็งแกร่งมากขึ้น โดยให้เป็นมืออาชีพในด้านการให้คำปรึกษาความงามและสุขภาพมากขึ้น
การสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า โดยการจัดโปรแกรม CRM เพื่อรักษาฐานลูกค้าเดิม ในไตรมาสแรกนั้น การรักษาลูกค้าเดิมและการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นนั้นทางเราได้มีการใช้กลุยทธ์ด้านต่างๆ อาทิ การนำ Music Marketing มาใช้ โดยการเป็นผู้สนับสนุนคอนเสิร์ตแอน ธิติมา ใน 10 ปี แอน ธิติมา “Story Of Love” By DHC เพื่อตอบแทนลูกค้าของ DHC และช่วยสร้างการจดจำ ในแบรนด์ DHC ต่อกลุ่มลูกค้าแล้วยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีให้เพิ่มขึ้นต่อผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ DHC ในช่วงเทศกาลวาเลนไทน์ที่จะมาถึงนี้
นอกจากนี้ในปีนี้ทาง DHC มีแผนที่รุกตลาดให้ถึงตัวผู้บริโภคโดยการจัด Road Show ไปตาม Office Building และ Shopping Mall ต่างๆทั้งกรุงเทพและต่างจังหวัดเพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคในกลุ่มเป้าหมายได้มีประสบการณ์ร่วมกับ Brand และผลิตภัณฑ์อาทิเช่น ในเดือน มกราคม มีการจัดกิจกรรม Road Show ที่เซ็นทรัลปิ่นเกล้าและเซ็นทรัลพัทยา DHC ได้มีการจัดPromotion Campaign สำหรับผู้บริโภค ออกมาอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นช่วงเทศกาลพิเศษ อาทิเช่น เทศกาลปีใหม่,วาเลนไทน์ เป็นต้นและยังมี Promotionสำหรับการซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีการแจ้งทั้งใน Olive Club Magazineและการประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมาย
ปีนี้DHC จะมุ่งเน้นไปที่ภาพลักษณ์ของ ของความเป็น Healthy & Beauty ให้ชัดเจนขึ้น โดยจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารเสริม รวม 10-15 SKUs พร้อมทั้งเปิดตัวอาหารเพื่อสุขภาพเพิ่มมากขึ้นเป็น 8-10 SKUs หลังจากเมื่อปีที่แล้วที่เราได้รับผลสำเร็จจากการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีจากผลิตภัณฑ์ซึ่งเราได้นำมาทดลองตลาดคือ น้ำมันมะกอก DHC Oro de Genave และผงโรยข้าว Furikake
ส่วนผลิตภัณฑ์บำรุงผิวและเครื่องสำอางซึ่งคัดสรรเข้ามาจำหน่ายโดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่ใช้นวัตกรรมใหม่ๆจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมีอยู่ประมาณ 400 กว่า SKUs ในตลาดขณะนี้ ในปีนี้จะมีการ launch ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาโดยเน้นผลิตภัณฑ์ทางด้าน Anti-Aging และ Whitening
ปัจจุบันผู้บริโภคมีทัศนคติที่ดีมากๆ ต่อแบรนด์ ของ DHC ต่อการสั่งซื้อสินค้า ผ่าน ทาง Call Center เนื่องจากเรามีการฝึกอบรมนักงาน อย่างสม่ำเสมอ เน้นคุณภาพของพนักงาน มีการให้คำแนะนำและคำปรึกษา ปัญหาผิวพรรณ ต่อผู้ที่โทรเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นลูกค้าหรือไม่ พร้อมทั้งมีการส่งผลิตภัณฑ์ตัวอย่างที่เหมาะกับคุณ โดยการวิเคราะห์สภาพผิวผ่าน Call Center อีกด้วย และในปีนี้ทางบริษัทฯ ก็จะเน้นอย่างมากเพื่อให้ Call Center เป็น Professional ในด้านการปรึกษาทั้งความงามและในเรื่องของสุขภาพให้มากขึ้นโดยงบโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่จัดสรรไว้ในปีนี้ อยู่ที่ 200 ล้านบาท
คุณอาภรณ์ กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในประเทศไทยได้เพราะ 1. DHC เป็นแบรนด์ที่มีความชัดเจนในการวาง Positioning ของตัวเองในตลาด Cosmetic & Skincareได้เป็นอย่างดีโดยเฉพาะการคัดเลือกสินค้าที่มีคุณภาพและราคาที่เหมาะสมต่อผู้บริโภค 2. เน้นไปที่ Service ที่ดีของ Call Center ที่เป็น Beauty Consultant ที่ได้มาตรฐาน
3. ช่องทางการจัดจำหน่ายสามารถตอบสนองความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าในประเทศไทยภายใต้เศรษฐกิจยุคปัจจุบันได้อย่างแท้จริง
โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน ซึ่งผู้บริโภคต้องการความสะดวกสบายและลดค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แม้ว่าในช่วงแรกผู้บริโภคยังไม่คุ้นเคยกับช่องทางการจัดจำหน่ายแบบนี้ แต่เนื่องจากคุณภาพของสินค้าและการบริการอย่างครบวงจร ทำให้ DHC เป็นที่ตอบรับมากขึ้นมาโดยตลอด จากยอดขายในปีที่ผ่านมาซึ่งเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การที่ลูกค้ามีความรู้ความเข้าใจ รวมทั้งมีการศึกษาเรื่องสินค้ามาเป็นอย่างดี ลูกค้าจึงตระหนักดีว่าสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามเป็นสิ่งจำเป็น เราจึงมั่นใจว่าสินค้าและบริการ DHC Beauty and Health Delivery จะเป็นระบบการขายที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ อย่างลงตัว หัวหน้าฝ่ายการตลาด DHC กล่าวทิ้งท้าย
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่:
บริษัท กนกรัตน์ แอนด์ เฟรนด์ จำกัด
Tel: 0-2284-2662 ต่อ 401-404 Fax: 0-2284-2291-2
คุณสาโรจน์, E-mail: sarote@kanokratpr.com
คุณศิรินทร์ทิพย์, E-mail:sirintip@kanokratpr.com
คุณปัจจัยญา, E-mail: pajjaiya@ kanokratpr.com

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ