กรุงเทพฯ--10 ม.ค.--สหมงคลฟิล์ม
บทสัมภาษณ์ “มะเดี่ยว — ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล”
สร้างความหฤหรรษ์สั่นสะเทือนขากรรไกร ในโปรเจ็คต์ “หลุดสี่หลุด”
เรื่อง “ฮูอากง”
จุดเริ่มต้น - ที่มาที่ไปของโปรเจ็คต์นี้
เรื่องของเรื่องเนี่ย ไอเดียหลุดสี่หลุดจะมาจากพี่เอกสิทธิ์ (เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์-ผู้เขียนบทโปรเจ็คต์นี้) ก็คงไปคุยกับพี่ปรัช (ปรัชญา ปิ่นแก้ว-โปรดิวเซอร์เรื่องนี้) อยู่พักนึง คือพี่เอกแกอยากจะทำซีรี่ย์การ์ตูนของแกให้เป็นหนังอยู่แล้ว แล้วก็เลยไปเล่าเรื่องต่างๆ ให้พี่ปรัชฟัง พี่ปรัชแกก็อยากทำเหมือนกัน เพราะพี่สองคนนี้เค้าร่วมงานกันมาหลายเรื่องแล้ว แล้วทีแรกเราเองก็ยังไม่ได้จอยโปรเจ็คต์นี้ด้วยเท่าไหร่ เพราะตอนนั้นยังยุ่งกับงานหลายๆ อย่างอยู่ แต่พี่เอกแกก็อยากให้เรากำกับ เราก็อยากทำอยู่แล้ว แต่ว่ากลัวเวลามันจะไม่มีพออะไรอย่างนี้ แต่สุดท้ายก็มีโอกาสมาร่วมทำงานกับพี่เอกด้วยกันอีกครั้ง ก็เลยโอเคทำหนังให้พี่เอกสักเรื่องแล้วกัน ก็เลยตอบตกลงว่าน่าสนุก เพราะเอาเรื่องพี่เอกมาทำเลย
การคิดธีมเรื่อง การเขียนบททั้งสี่ตอน มีส่วนร่วมกับพี่เอกสิทธิ์มากน้อยแค่ไหน
ตอนแรกก็คิดเยอะเหมือนกันว่าสี่เรื่องที่เอามาทำต้องเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ เพราะมันเป็น 4 เรื่อง มันก็ต้องทำให้อารมณ์คนดูนั้นแตกต่าง ทีแรกจะทำเรื่องเกี่ยวกับผู้หญิง แต่ไปๆ มาๆ เราอยากทำอะไรที่มันตลกๆ มากกว่า สนุกๆ และก็หลอนๆ น่ากลัวด้วย ก็เลยเอาไอเดียที่เคยดูข่าว คือมีคุณลุงเขาเสีย แล้วก็ให้ลูกหลานมานอนเฝ้าศพที่อยุธยา สุดท้ายก็เหลือแต่โครงกระดูก แต่ลูกหลานต้องมานอนเฝ้าทุกคืน มันก็เกิดเป็นแรงบันดาลใจ เพราะมันน่าจะมีอะไรให้เล่นสนุกๆ มากกว่า
คือในเรื่องของตัวเองเนี่ยจะเป็นคนคิดเรื่องแล้วให้พี่เอกเค้าไปขยายเป็นบท จริงๆ คุยกันทุกกระบวนการนะอย่างเรื่องอื่นๆ ก็จะเป็นคนคอยดูแลสคริปต์ จะคอยเกลาว่าพี่นี่มันการ์ตูนไปนะ จะคอยบอกคนนั้นคนนี้ก่อน คล้ายๆ เป็นตัวกลางระหว่างผู้กำกับกับคนเขียนบท ก็คือจะให้คำแนะนำพี่เอกมากกว่า ว่าเรื่องนี้มันควรจะจบแบบนี้ เรื่องนั้นมันควรจะจบแบบนั้น เพื่อให้อารมณ์คนดูเขาต่อเนื่องกันไป แต่ในส่วนเรื่องของตัวเองเนี่ยจะเกลาบทเอง
ในฐานะเป็นผู้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับบทเรื่องนี้ด้วย ให้พูดถึงแต่ละตอนว่าเป็นยังไงบ้าง
“เกรียนล้างโลก” นี่ไอเดียเพียวๆ ของพี่เอกแกเลย เป็นเรื่องเกี่ยวกับกลุ่มวัยรุ่นที่คุยกันเล่นๆ ว่าถ้าเราจะทำลายโลกนี้ เราจะทำลายด้วยอะไร ก็คือมีคนมานั่งคุยกันขำๆ แต่ว่ามันดันเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น อันนี้จะต้องไปติดตามดูเอาเอง แล้วก็ต้องคุยกับพี่เอกเผื่อแกมีอะไรเพิ่มเติม
ธีมของเรื่อง “ร้านของขวัญเพื่อคนที่คุณเกลียด” ของพี่โขม (ก้องเกียรติ โขมศิริ) ก็จะเป็นแนวตลกร้าย คือเล่นกับความกวนตีนของสิ่งที่เราไม่คิดว่ามันจะมี อย่างปกติเรามีของขวัญที่เราจะให้กับคนที่เรารัก แต่ของขวัญสำหรับคนที่เราเกลียดเนี่ยเราจะซื้ออะไรให้ ถ้าเกิดเราคิดไม่ออกว่าจะซื้ออะไรให้ใคร หรือว่ายังไม่อยากจะซื้อให้ใคร แล้วเราแน่ใจได้หรือเปล่าว่าจะมีหรือไม่มีคนที่อยากจะซื้อของพวกนี้ให้เรา พี่เอกเค้าเล่นไอเดียเก่ง เรื่องของความสำคัญของคนในที่ทำงาน ของคนที่แบบไว้ใจกันไม่ได้
“คืนจิตหลุด” ของพี่ใหม่ (ภวัต พนังคศิริ) นี่ใช้เวลาเขียนค่อนข้างนานมากเลย เพราะว่าพยายามจับทางพี่ใหม่อยู่ว่าพี่ใหม่จะชอบอะไร คือพี่ใหม่แกก็เป็นผู้กำกับที่มีฝีมือคนหนึ่ง แต่ว่าเราจับทางแกไม่ค่อยจะถูก เพราะหนังแต่ละเรื่องของแกเนี่ย นอกจากพระอย่าง “อรหันต์ซัมเมอร์” นั่นมันแนวนึง “นาคปรก” ก็อีกแนวนึง แล้วพอมาทำตรงนี้ก็ใช้เวลาค่อนข้างนานว่าคนเขียนบทหลุดขนาดนี้ พี่ใหม่จะหลุดได้ขนาดไหน แต่ว่าก็มาถึงจุดที่ลงตัวพอใจกันทุกฝ่าย แล้วก็ดูสนุก ก็เป็นเรื่องเกี่ยวกับวัยรุ่นที่คะนอง อยากจะทำอะไรที่สนองความสนุกของตัวเอง แต่เราลืมนึกไปว่าอาจจะเป็นความทุกข์ของคนอื่น แล้วคนบางคนเนี่ยอาจจะเรียกว่าพอหลงไปกับความสุขตรงนั้นแล้วเนี่ยมันกู่ไม่กลับ แต่ความแรงมันอยู่ที่ว่า ไอ้คนประเภทนี้เนี่ยโดนเอาคืนบ้าง คือต้องไปเจอกับอะไรบางอย่างที่ไม่คาดคิดแล้วจะเป็นยังไง
นอกจากมะเดี่ยวแล้วทำไมถึงเลือกอีกสามผู้กำกับมาร่วมในโปรเจ็คต์นี้ด้วย
อันนี้ต้องถามพี่เอกนะ เพราะพี่เอกแกเป็นคนเลือก ก็มีส่วนแนะนำว่า เออแนวๆ แบบนี้น่าจะเป็นพี่ๆ เหล่านี้ ทีแรกก็อยากให้เป็นผู้กำกับใหม่อะไรอย่างนี้ด้วย แต่มาคิดอีกทีก็ว่าอย่าเลย เพราะว่าบทหนังของพี่เอกมันดีเกินกว่าที่เราจะมาลองผิดลองถูกแล้ว คนที่ไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจเลย คือเราต้องการคนที่แบบว่าเข้าใจจริงๆ มาทำมากกว่า
มาถึงตอนของมะเดี่ยวบ้าง อธิบายชื่อเรื่องก่อน
ทีแรกจะทำเรื่อง “ผีอากง” แต่ว่าพี่เอกเค้าอยากให้ชื่อนี้ คงต้องไปถามแกว่าทำไมถึงต้องชื่อนี้ คือเราก็แบบแล้วแต่ตามใจพี่แล้วกัน คือเราก็ให้เกียรติเจ้าของบทประพันธ์ คือเราทำงานกับพี่เอกมาเยอะมากจนคล้ายๆ แบบว่าเป็นบัดดี้ที่รู้ทางกันมาหมดแล้ว เออ...ยิ่งอยู่ด้วยกัน ยิ่งทำด้วยกัน ยิ่งโอเคนะ เราก็เชื่อว่าการตั้งชื่อแบบนี้เค้าคงคิดอะไรมาแล้วล่ะ แต่มันก็มีบอกในหนังนะว่าทำไม ต้องไปดู “ฮูอากง” อากงนี่ก็คือ คุณปู่เรานี่แหละ
“ฮูอากง” เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับอะไร
“ฮูอากง” ก็เป็นเรื่องราวของคนจีนตระกูลนึงที่มีอากงเป็นเจ้าของกงสี เป็นบ้านกงสีใหญ่ๆ แล้วแบบมีกิจการอะไรเยอะแยะ แล้วพอก่อนที่อากงเค้าเสีย เค้าก็ได้สั่งลูกหลานเอาไว้ว่าแบบว่าให้เก็บศพเอาไว้แล้วรอจนกว่าจะ... แล้วก็ตายไปเลยอะไรอย่างนี้ แล้วลูกหลานก็งงว่าอ้าวแล้วเก็บไว้ทำไม แต่ก็ไม่มีใครเอาไปฝังหรือเอาไปเผา ก็เก็บไว้ในบ้านแต่ที่อัศจรรย์ก็คือศพก็ไม่เน่า แล้วก็แห้งไปเหมือนศพพระเกจิต่างๆ ที่เราเคยเห็นตามวัดอะไรอย่างนี้ แล้วก็ให้คนงานมาดูแลแต่ทุกคนก็มีอันกระเจิงกันไป ก็เลยต้องให้ซินแสมาดูว่าทำไมอากงต้องทำอะไรแบบนี้ เค้าก็บอกว่าเนี่ยอากงจะบอกที่ซ่อนสมบัติให้กับหลานคนที่เค้ารักมากที่สุด ด้วยความที่พ่อแม่ตัวเองก็คิดว่าลูกคือหลานคนที่รักมากที่สุด ก็เลยเอาบรรดาคนรุ่นหลานๆ มาอยู่ในบ้านหมด แล้วความหฤหรรษ์ก็เกิดขึ้นเพราะลูกหลานก็แสบๆ ทั้งนั้น พอมาอยู่ในบ้านเดียวกันมันก็เกิดความวุ่นวายความฮาเกิดขึ้น จะผจญความเฮี้ยนของอากงไปได้ยังไง ก็ต้องไปติดตามดูกัน นี่เล่ามาจะจบเรื่องแล้ว (หัวเราะ)
คาแร็คเตอร์ของนักแสดงแต่ละคน
จั๊ด (ธีมะ กาญจนไพริน) เล่นเป็น “เฮียหนึ่ง” เป็นพี่ชายคนโตสุดของบ้าน คนในบ้านเขาก็จะฝากความหวังไว้ว่าเขาจะต้องเป็นผู้สืบทอดกิจการของตระกูล แต่ตัวเฮียหนึ่งเขาก็มีความลับอยู่ในใจบางอย่างที่ไม่อยากบอกให้ใครรู้ คือเฮียหนึ่งเนี่ยเป็นตุ๊ด แต่ต้องแอ๊บเพื่อไม่ให้ใครรู้ แต่พออยู่ในบ้านที่มันอลเวงแล้วบ้าบอสติแตก ทุกคนก็จะได้รู้ว่าเป็นอย่างไร
ที่เลือกจั๊ดมาเล่นเพราะเขาเป็นนักแสดงที่เก่งมาก สามารถเล่นได้หลากหลายบทบาทมาก และที่เขาทำได้ดีมากคือบทตลก ซึ่งเป็นตลกแบบไม่ต้องพยายามมาก เป็นโดยธรรมชาติ คือร่วมงานกันมาตั้งแต่ “ฝัน หวาน อาย จูบ” ที่เขามาเล่นเป็นพี่เบิร์ด ซึ่งเขาเรียกเสียงฮาจากคนดูได้พอสมควร ซึ่งเรื่องนี้รับรองว่าฮากระเจิดกระเจิงกว่าแน่
สำหรับน้องอลิส (อลิส ทอย) เราเจอตอนที่เขาเล่นเรื่อง “ออกัส เพื่อนไม่มีเก่า” (ฉายปี 2554) น้องเขาเป็นนักแสดงที่มีพรสวรรค์และความสามารถนะครับ ถึงแม้จะยังใหม่อยู่ แต่พยายามเข้าใจบทบาทที่ตัวเองกำลังจะเล่น อลิสเล่นเป็น “เจ๊สอง” เป็นน้องสาวของเฮียหนึ่ง ก็คือเป็นคนที่เล่าเรื่องผ่านสายตาของตัวละครตัวนี้ เป็นคนเล่าเรื่องของบ้านหลังนี้ทั้งหมดให้คนดูฟัง เจ๊สองเนี่ยก็เหมือนเป็นผู้หญิงวัยยี่สิบต้นๆ เพิ่งจบใหม่ทำงาน แล้วก็เหมือนคนรุ่นใหม่ที่ทำงานอยู่กับคอม ทำงานออนไลน์ ก็เลยไม่ค่อยได้เจอคน ก็เลยไม่มีแฟน ทีนี้หม่าม้าก็อยากให้มีแฟน ก็หาให้ ก็บังคับให้แต่งงาน เจ๊นี่ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องแต่ง ทำไมแม่ตัวเองต้องหมกมุ่นอยู่แต่เรื่องนี้ ไม่มีคู่ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย ก็ไม่ได้ใขว่คว้าอะไรนัก แต่ก็เป็นคาแร็คเตอร์ที่ธรรมดาที่สุดแล้ว เป็นผู้เป็นคนที่สุดแล้วในบรรดาหลานๆ ทุกคน
แวน (อรรถนันต์ ปิยเศรษฐ์) นี่เราร่วมงานกันมานานแล้วตั้งแต่ “รักแห่งสยาม” เป็นมือคีย์บอร์ดของวงออกัส เป็นคนที่มีฝีมือทางการแสดงนะ หัวไว เข้าใจเร็ว เขาก็ไม่ได้ดูเป็นพระเอก หรือออกไปทางใดทางหนึ่ง เขาออกเป็นคาแร็คเตอร์กลางๆ ความสนุกก็คือว่า คาแร็คเตอร์กลางๆ ที่เหมือนจะดูดี แต่พอมาเล่นร้ายมันจะเป็นยังไง เรื่องนี้เขาเล่นเป็น “เฮียโอว” เป็นหมอคืออยู่โรงพยาบาลอาจจะเป็นคนดี แต่พอกลับมาบ้านนี้ก็เปลี่ยนเป็นคนเห็นแก่ตัว ไม่เอาใคร ไม่สนใจใคร เพราะเขาเป็นลูกคนเดียวเลี้ยงโดยถูกตามใจมาโดยตลอด คือเราก็ไม่ได้ว่าคนที่ประกอบอาชีพนี้ทั้งหมด แต่ตัวละครตัวนี้มันเป็นแบบนี้ มันเลว คือมันเป็นคนที่คิดว่าตัวเองเรียนเก่ง แล้วด้วยความที่พ่อแม่โอ๋ด้วย ก็จะข่มคนอื่นแล้วด้วยความที่มันเป็นลูกคนเดียว มันก็เลยคิดว่าคนอื่นไม่เก่งเท่ามันอะไรอย่างนี้ ก็เลยมีความเย่อหยิ่งจองหองอะไรอย่างนี้ ซึ่งผิดที่ตัวบุคคลไม่ได้ผิดที่สถาบัน แล้วแวนเขาก็ถ่ายทอดได้ดี จะให้เป็นตัวร้ายของเรื่องก็ว่าได้ คือจริงๆ แวนเป็นคนดี เป็นคนหัวอ่อนอะไรอย่างนี้ แต่ว่าคราวนี้พลิกบทบาทคือเล่นได้ร้ายมาก เล่นจนเชื่อว่าเป็นคนอย่างนั้นจริงๆ ก็เป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง แบบความเลวอย่างนี้มันก็มีความสนุกอยู่ในตัวของมันเองอยู่
ฟลุ๊ค (ศิครินทร์ ผลยงค์) เล่นเป็น “ดิว” เป็นลูกของลูกสาวคนเล็กของอากง มันก็เป็นเด็กวัยรุ่นที่ฮอร์โมนพลุ่งพล่าน เป็นเด็กที่ทะลึ่งตึงตัง เป็นโอตาขุแบบเล่นเน็ตเปิดเว็บอะไรที่เค้าไม่ให้ดูกัน ก็เป็นคนที่คิดแต่เรื่องใต้สะดือแบบนี้ได้ทุกสถานการณ์ เด็กทั่วไปก็มีแบบนี้เยอะนะ แต่เราก็ไม่ได้บอกว่ามันเป็นคนดีหรือคนเลว เราก็แค่ว่ามันเป็นคาแร็คเตอร์แบบขำๆ น่ะ เด็กมันก็แค่อยากรู้อยากลอง มันก็เป็นภาพสะท้อนในสังคมว่ามันมีคนอย่างนี้อยู่จริงๆ มันเป็นคนเลวร้ายมั้ยก็ต้องไปหาคำตอบกันเอาเองว่าเด็กแบบนี้เขาเป็นยังไง คือบทนี้มันต้องเป็นคนที่กล้าเล่นถ้าไม่กล้าก็จะไม่สนุกไง แล้วต้องเล่นได้ดีด้วย ก็หากันอยู่นาน ก็เอ๊ะน้องคนนี้เคยทำอะไรแบบนี้ในเรื่อง “เฉือน” ของพี่โขมไง เค้าทำได้หมดเลย ก็เลยถามพี่โขมว่าน้องเค้าเป็นไง พี่โขมบอกว่าเออดีๆ ก็เลยชวนเค้ามาเล่น น้องฟลุ๊คเค้าก็ทำได้ดีนะครับ แล้วก็น่าจับตา ก็ไปดูแล้วกันว่าน้องเค้าทำอะไรในหนัง
น้องเจน (เจนจิรา จำเนียรศรี) เล่นเป็น “แอร์” หลานสาวคนเล็กสุด ก่อนอื่นต้องบอกเลยว่า เจนเป็นนักแสดงที่เราเชื่อใจ ไว้ใจได้ เพราะว่าเขาเป็นคนที่เก่งมีพรสวรรค์มาก พอเขียนบทเด็กคนนี้ขึ้นมาก็นึกถึงเจนเป็นคนแรกไม่ได้นึกถึงใครเลย เพราะต้องตลก แล้วปั้นสีหน้าซื่อๆ โง่ๆ แล้วก็เหมือนเด็กวัยรุ่นสมัยนี้ที่แก่แดด แต่งตัวจัด ติดบีบี วันๆ ก็ก้มหน้าก้มตาอยู่กดบีบีนี่แหละ คุยกับเพื่อนไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน คือในหนังมันจะแบ่งรุ่นค่อนข้างชัดเจน อย่างตัวละครของจั๊ดกับอลิสที่เล่นเป็นคนโตๆ เขาก็จะมีความสนใจในชีวิตอีกอย่างหนึ่ง แต่อย่างแวนเขาก็จะสนใจอีกอย่างหนึ่ง แวนเขาต้องเล่นเป็นวัยรุ่นที่แบบต้องตั้งใจเรียนมาก ต้องสอบให้ได้ พอได้เรียนหมอแล้วมันคือเกียรติยศอันสำคัญของชีวิต แล้วอย่างรุ่นของดิวกับแอร์ก็จะเป็นอีกรุ่นหนึ่งที่เขาเป็นกันแบบนี้ น้องเจนเคยร่วมงานกันมาแล้วในหนังเรื่อง “ฝัน หวาน อาย จูบ” ก็รับบทตลกได้ค่อนข้างดี พอมาเรื่องนี้ก็ไม่ผิดหวังเช่นกัน ตีบทแตกกระจุยกระจาย
ทำไมถึงจับประเด็นครอบครัวคนจีนมาเล่น
คือรู้สึกว่าครอบครัวคนจีนมีความแน่นแฟ้น ลูกพี่ลูกน้องก็เหมือนพี่น้องกันจริงๆ ทุกคนก็ได้มาเจอกันบ่อยๆ มีปฏิสัมพันธ์กัน นอกจากนั้นมันยังมีความรู้สึกแข่งขันกันนิดๆ เป็นสีสัน แต่ก็มีความรักความกลมเกลียวกันอยู่ มันอาจเป็นเรื่องซึ่งสมัยนี้เราไม่รู้สึกว่ามันเป็นยังไงนะ แต่มันเป็นสิ่งที่เราโหยหา เป็นตระกูลที่อยู่กันแบบพร้อมหน้า มีอะไรก็คอยช่วยเหลือกัน แต่ปัจจุบันมันไม่ค่อยมีแล้วล่ะ ทุกคนแยกมาเป็นครอบครัวส่วนตัวกันหมด
คือทั้งสี่เรื่องนี่ มีเรื่องนี้ที่เพี้ยนที่สุดแล้ว
คือเพี้ยนในแง่ของความฮาบ้าๆ บอๆ แต่อันอื่นจะเพี้ยนแบบหลุดโลกหรือว่าโหดแบบในสไตล์ที่ผู้กำกับเค้าชอบ แต่เรื่องนี้ก็ไม่ได้เอาดารามาเล่น ผมว่าเรื่องนี้มันสนุกตรงที่มันเป็นกลุ่มนักแสดงที่แบบเหมือนเราทำอาหารแล้วเราเอาเครื่องปรุงมาปรุงแล้วแบบเราคิดว่ามันจะได้รสชาติที่อร่อย เพราะมันเป็นเครื่องปรุงที่คุ้นมือ แล้วมันน่าจะออกมาสนุก เป็นความตลกสไตล์เราที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ
ทีมนักแสดงนี่ถือเป็นจุดเด่นจุดหนึ่งของเรื่องนี้เลย
ใช่จริงๆ ความสนุกของเรื่องนี้อยู่ที่ตรงนี้เลย พอถ่ายไปถ่ายมาแล้วพี่วอที่เล่นเป็นป๊ามาบอกทำซิทคอมกันมั้ย คือพอเล่นไปเล่นมาแล้วมันเข้าขากันมากๆ แล้วมันสนุกมาก สนุกจนถ่ายไม่จบน่ะ (หัวเราะ) แต่สนุกมาก คือถ่ายหนังเรื่องนี้มันแฮปปี้มากจนอยากทำเป็นหนังยาวเลย รู้สึกว่าเออ...ทำหนังตลกนี่มันดีอย่างนี้เอง
คนอื่นเค้าว่าทำหนังตลกยาก มะเดี่ยวคิดว่ามันยากมั้ย
จริงๆ แล้วมันยากแหละ อย่างพี่ๆ ตลก อย่างน้าหม่ำเค้าก็ต้องเลือกเอาคนที่เค้าถนัด อย่างตุ๊กกี้ อย่างพี่ๆ ตลกทั้งหลายแหล่เนี่ย ถ้าเค้าได้คนอื่นมามันก็อาจจะไม่ขำ เราก็เหมือนกันแหละเหมือนถ้าแบบเราเอาพี่ๆ ตลกพวกนั้นมาเล่นเราก็จะคอนโทรลเค้าไม่ได้เหมือนกัน มันก็จะไม่สนุก มันก็จะเฝือไปอะไรอย่างนี้ มันอยู่ที่ว่าเราจะเลือกคนมาอยู่ในสถานการณ์อย่างนี้เนี่ยจะทำยังไงมันถึงจะตลกได้ อันนี้มันเป็นวิธีการที่แบบว่าเฉพาะตัว มันเป็นตลกคนละแนวและคิดว่านี่จะเป็นทางเลือกใหม่ๆ ให้กับหนังตลก และเราก็จะไปทำหนังตลกซะงั้น (หัวเราะ)
เรื่องนี้มีให้แง่คิดอะไรบ้าง
จริงๆ “ฮูอากง” มันเน้นความสนุกมากกว่า แต่จะให้คิดมันก็มีอะไรให้คิดเหมือนกัน มันคงพูดถึงว่าคุณอยากจะทำอะไรให้รีบทำ คุณอยู่ในสังคมยุคใหม่ที่ไม่มีใครมาบอกให้คุณทำนั่นทำนี่ พ่อแม่ไม่สามารถบังคับได้แล้ว คุณมีทางเลือกเยอะแยะเต็มไปหมด เพราะฉะนั้นคุณจงรีบทำ คนรุ่นก่อนๆ เค้าไม่ได้มีทางเลือกเยอะขนาดนี้นะ เค้าอาจจะทำสิ่งผิดพลาดในชีวิตเต็มไปหมดเลย แต่แบบคนรุ่นเราอย่างนี้มันมีทางเลือกเยอะแล้ว คุณจงเลือกให้ชัดเจนแล้วทำให้ดีที่สุดประมาณนั้น
จุดเด่นของ “ฮูอากง”
มันคือความตลกโปกฮา ความสนุกที่ดูได้ทั้งครอบครัว ชวนเพื่อนชวนใครมานั่งดูกันสนุกสนาน มันคือความบันเทิงเต็มๆ คือดูเรื่องอื่นอาจจะเครียดจิตหลุดมาแล้ว แต่หนังเรื่องนี้มันก็หลุดรั่ว คือความบันเทิงมากๆ ก่อนจะออกไปเจอความจริงข้างนอกโรงหนัง
ความน่าสนใจของโปรเจ็คต์ “หลุดสี่หลุด”
เป็นโปรเจ็คต์ที่น่าสนในมากในหนังไทยคือมันยังไม่มีหนังแนวนี้ออกมา ผู้กำกับแต่ละคนที่มาทำก็รู้สึกแฮปปี้ที่ได้อยู่ในโปรเจ็คต์เดียวกัน แล้วก็เคยเห็นผลงานกันมาก่อนแล้วก็แฮปปี้ที่จะทำงานด้วยกัน มันเป็นการยากที่เอาผู้กำกับสติแตกมารวมกันได้มากขนาดนี้อย่างพี่โขม, พี่ใหม่, มะเดี่ยว และพี่เอกสิทธิ์ คือทุกคนมีแนวทางชัดเจนมาก และทุกคนเคยทำงานที่มีคุณภาพมา แล้วตัวบทก็ดี ผู้กำกับก็ดี แล้วก็นักแสดงที่มาร่วมงานในแต่ละตอนเนี่ยก็ถือว่าโอเคทั้งนั้น และเชื่อว่าสนุกนะ คิดว่าออกมาน่าจะสนุกทุกตอน คือมันไม่ได้สยอง แล้วมันก็ไม่ได้แหวะ คือมันเป็นหนังจิตหลุด คือมันเป็นแนวทางเฉพาะตัวของพี่เอกเลย เค้าคงจะแฮปปี้พอสมควรเลยที่มันถูกถ่ายทอดมาไม่มากไปไม่น้อยไป คือถ้าบอกว่าหนัง Cult มันก็จะเยอะเกินไป ถ้าจะบอกว่าสยองขวัญมันก็จะเป็นรูปแบบมากกว่านี้ คือมันจะอยู่ตรงกลางระหว่างหนังสยองขวัญตลาดทั่วไป กับหนัง Cult น่ะ อยู่ตรงเส้นกึ่งกลางที่คิดว่าน่าจะรับได้กันนะ มันเป็นหนังที่เราทุกคนตั้งใจทำ และก็มีเซอร์ไพรส์เต็มไปหมดเลย คิดว่าเวลาที่เครียดๆ กันอยู่ หรือไม่รู้จะดูหนังอะไร นี่คือหนังไทยอีกทางเรื่องหนึ่งที่แตกต่าง ก็คิดว่าไม่น่าจะพลาดเรื่องนี้ ลองไปดูกันครับ